ก่อนอื่นผมขอแนะนำก่อนน่ะครับ จะแบ่งเป็น Profile ให้อ่านเพื่อให้เอาไปวิเคราะห์กันนะครับ ซึ่งตรงไหนที่ไม่เข้าหูหรือทำให้น่าหงุดหงิดโมโห เสียใจ ไม่พอใจยังไง หรือยาวเป็นหางว่าว ผมขออภัยมา ณ ทีนี้และขอขอบคุณที่ทนอ่าน ถึงแม้ว่าบางท่านจะอ่านลวกๆหรือ จนเมามันส์ ครับ
การเรียน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ผมเป็นนักศึกษาแห่งหนึ่งของมหาวิทยาลัยในเขตดุสิต คณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ โดยใช้คะแนน Admission เข้ามา ซึ่งในภาคการเรียนที่นี้ ผมมีผลการเรียนที่ดีอยู่พอสมควร คือสามารถเรียนเก็บ A ได้3วิชา B+1 วิชา B 1วิชา และ C+ 1วิชา จากทั้งหมด 6 วิชา แต่เป็นนักศึกษาในโครงการช่วยเหลือของทางมหาวิทยาลัย
แต่เดิมทีเคยเรียนในคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ในมหาลัยของภาคใต้แห่งหนึ่ง แต่ซิ่วออกมาเพราะมีปัญหาทางสุขภาพและไม่สามารถเรียนได้ผ่านเกณฑ์) โดยใช้คะแนน Admission เข้ามา ซึ่งก่อนที่จะเรียนที่นั้น ผมเคยสอบ
>กสทพ.(ติดแต่สละสิทธิ์เพราะรู้ตัวเองว่ามีปัญหาสุขภาพอาจส่งผลต่อให้บริการคนไข้ หรืออีกความหมายคือ ตัวเองยังเอาไม่รอด จะไปรับผิดชอบคนอื่นได้ยังไง)
>สอบตรง มศว. ไม่ติด
ได้ทุนของ บริษัท แห่งหนึ่ง ให้ไปเรียนทางด้านเทคโนโลยีการสื่อสารและเครือข่าย ซึ่งให้ผมสงเอกสารการเรียนเพื่อยืนยันสิทธิ์ แต่ทางรร.ออกอกสารให้ไม่ทันตามที่ผมยืนขอไป จะหมดสิทธิ์ไป
ซึ่งผมจบม.6 จากรร.รัฐ ในชนบท แห่งหนึ่ง ซึ่งได้เกรดเฉลี่ย 3.2X 2.6X และ 1.98 เรียงจากม.4ไปม.6
และจบม.3จาก รร.เดียวกัน แต่ผมจำเกรดเฉลี่ยไม่ได้เพราะช่วงม.3ป่วย
จบป.6จาก รร.เอกชนในพื้นที่เดียวกัน เกรดเฉลี่ยทุกปีอยู่ที่ 3.6X
สุขภาพ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ผมเป็รโรคภูมิแพ้และหอบหืดเรื้อรังตั้งแต่เด็ก และช่วงอายุ14-15ปีเคยล้มป่วยเพราะโรคเกี่ยวกับระบบประสาทและสมอง ทำให้ไม่สามารถเดินเหินได้ปกติ พูดไม่ชัด หยิบจับสิ่งของไม่ถนัด เป็นอยู่1ปีและอาการก็เริ่มหายเอาดื้อๆ โดยที่ยังสรุปสาเหตุต้นต่อไม่ได้ และทางบ้านก็ตัดสินใจไม่ส่งตัวมารักษาต่อเพราะคิดว่าหายดีแล้ว จนกระทั้งหลังจากมาเรียนที่ กรุงเทพฯ ก็ไปหาหมอใหม่ และควบคู่กับการให้หมอตามสรุปปิดแฟ้มผมว่าหายแล้วจริงๆ แต่ก็ต้องมารักษาโรคใหม่ที่ตอนนี้ยังวิฉัยเบื้องต้นว่าเป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง ซึ่งกำลังตามหาต้นต่ออยู่ แต่ติดตรงที่ว่า ข้อมูลที่กำลังรักษากันอยู่นี้เป็นข้อมูลจากปากของคนไข้เพียงอย่างเดียว ญาติหรือเพื่อน หรือคนรู้จักมาให้ข้อมูล
สังคม พฤติกรรม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อันนี้ผมขอไล่เอาตั้งแต่ที่ผมจำความได้เลยนะครับ
ผมเริ่มจำความได้ตั้งแต่2ขวบซึ่งผมพอรู้คำพูดมั้งแค่บางคำ และอยู่เล่นที่บ้านได้ไม่นานเท่าไหร่ผมก็ถูกส่งไปเรียนอนุบาล 1 โดยที่ผมได้ฉลองวันเกิดครบ3ขวบ และจำได้ว่าช่วงหนึ่งผมมีความรู้สึกที่ไม่ได้กับพ่อเอามากๆจนลืมและนึกไม่ออกมาจนถึงตอนนี้ ซึ่งผมในช่วงนั้นจะไม่ชอบไปยุ้งกับใครและจะเอาแต่เล่นกับของเล่นอยู่คนเป็นประจำ ไม่นอนกลางวัน และชอบไปฉีกตาคนอื่นเพื่อมองดูว่านัยตานนั้นมีอะไร ผมก็อยู่แบบนี้จนอนุบาล2ก็เริ่มมีรุ่นพี่และเพื่อนร่วมชั้น ว่าล้อเล่นเป็นเด็กบ้าอยู่บ่อยๆ และไม่มีใครกล้ายุ้งหรือเล่นกับผม ซึ่งผมก็ไม่ได้ต้องการพวกเขาอยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นแบบนี้จนถึงชั้นประถม ก็ยังมีพฤติกรรมแบบเดิมๆ และงานกลุ่มที่ครูสั่งก็มันจะต้องทำอยู่คนเดียว ซึ่งทำให้ผลการเรียนในบางวิชาไม่ได้เรื่องและต้องเหนื่อยพ่อแม่ตลอด ซึ่งก็ทำให้หนักใจในสภาพที่ผมเป็นอยู่นี้มาก และมักจะถูกต่อว่าอย่างรุนแรงบ่อยๆ จนผมต้องไปนั่งคุยกับอาๆที่มานั่งพูดคุยหน้าบ้านเป็นประจำ เพื่อให้ลดความเครียด เพราะไม่เข้าใจความรู้สึกพ่อแม่ ซึ่งแรกๆก็ยุ้งคุยได้ จนแม่รู้เรื่องนี้เข้าก็เลยถูกสั่งห้ามอย่างเด็ดขาดไม่ให้ไปคุยเรื่องนี้กับคนอื่น ซึ่งผมจำต้องยอมรับทนคำดุด่าทั้งพ่อ แม่ ย่า (รุมดุด่าซะด้วย)โดยที่ไม่มีใครที่เราให้พูดคุยว่า ทำไม? จนผมต้องเริ่มไปหาคำตอบเองว่าเราทำที่เขาไม่พอใจเราหนักหนา ซึ่งผมก็เริ่มอ่านหนังสือเยอะมากซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เรียนเลย แต่จะเป็นหนังสือวิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ปรัชญา สังคม เศษตรศาสตร์ เพื่อจะให้เอามาถกเถียงกับพ่อ แม่ ย่าได้ว่า เราไม่ได้ผิดจริงๆ และสิ่งที่เราเข้าใจมานั้นอ้างอิงแหล่งที่มาได้ แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวครับ ผู้ใหญ่ ก็ลงโทษเราหนักกว่าเดิม และบังคับให้ฟังเขาเพียงอย่างเดียว ซึ่งผมก็ต้องก้มหน้าก้มตายอมรับไป โดยที่ไม่มีใครที่เราพูดปรับทุกข์ได้เลย ไม่มีเพื่อนที่เราไปเล่นด้วยได้ จนมัธยมชะตากรรมผมก็ไม่ต่างจากประถมมาก ซึ่งจะครู รุ่นพี่ เพื่อนร่วมชั้นปีบางส่วน และรุ่นน้องหลายๆคนมักชมว่า ผมเรียนเก่งและรู้มาก แต่ผมก็ไม่รู้จริงๆว่าจะต้องปฏิบัติกับคนเหล่านี้อย่างไร ควรทำอย่างไร ผมไม่รู้เลยจริงๆ จนกระทั้งผมล้มป่วยด้วยตอนม.3ผมก็มีเพื่อนร่วมห้องที่คอยช่วยพาไปเรียน โดยที่ผมก็ไม่รู้อีกว่าควรขอบคุณตอบแทนพวกเขายังไงดี จนกระทั้งม.4ต่างคนก็แยกย้ายกันไป แลัผมก็หายเป็นปกติ และผมก็คิดว่า เราน่าจะลองสนใจคนอื่นดูบ้าง จึงพยายามพูดคุยกับคนโน้นทีคนนี้ที ชวนไปเรียนโน้นเที่ยวนี้ แต่ ไม่มีใครที่สนใจหรือรับปากแต่พอถึงเวลาจริงๆก็ไม่มากันซักคนแถมติดต่อไปก็ไม่ได้ ผมทำแบบนี้โดยใช้ความคิดที่ดีๆเข้าหาพวกเขาไว้จน ผมเองเริ่มจะหมดกำลังใจและรู้สึกเหนื่อยพร้อมๆกับความเครียดที่ทะเลาะกับพ่ออย่างรุนแรง และเช่นเดิม ผมก็ต้องเก็บปัญหานี้ไว้คนเดียวอีก และตัดสินใจอยู่2-3เดือน เพื่อจะย้ายโรงเรียน เผื่อว่า ที่นี้อาจไม่เหมาะกับเราจริงๆ แต่ก็โดนแม่ปฏิเสธทันควันและจัดหนักมา1ชุดใหญ่ๆ ผมจึงจนปัญญาไร้คนที่พูดคุยหรือช่วยแก้ปัญหาด้วยกัน ผมจึงตัดสินใจปิดตัวเองสนิทแบบ ราวกับว่า ทั้งห้องมีเพียงแค่ผมคนเดียวเหมือนอย่างที่ผมเคยทำในอดีด จากม.5 ผมก็ต้องนั่งทนอยู่กับเสียงที่เขาเอ่ยชื่อเราและพูดโน้นนี่ หรือมาชี้หน้าด่าทำราวกับว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น จนจบม.6 ก็ไม่มีใครหน้าไหนโผล่มาพูดคุยจนวาระสุดท้ายนี้ ผมจึงสรุปได้แค่ว่า พวกเขาคงเกลียดเรามากโดยที่เราเองก็ไม่รู้เลยว่า ฉันไปทำอะไรให้พวกเขาเกลียด จนเมื่อมาอยู่ในวิศวกรรมคอมฯ ผมก็ยังใช้ชีวิตของผมไปโดยไม่ยุ้งเกี่ยวกับใครให้มากนัก แต่ไม่น่านักก็มีคนจับสังเกตผมได้ แต่ก็โดนหมายหัวทั้งรุ่นพี่และเพื่อนร่วมชั้นปีอย่างไว จนผมต้องถอยห่างจากพวกเขาให้มากที่สุด เพราะความกลัวว่าจะเจอความทรงจำที่เลวร้ายเหมือนตอนม.ปลายมาให้หลอกหลอนอีก จนกระทั้ง มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ตื้อผมไม่ยอมเลิกรา หาทางและพูดคุยกับผมจนได้ และผมก็ต้องยอมเขา เพราะเข้าช่วยเหลือเราเยอะมากถึงแม้ว่าเราจะรำคาญเขา แต่เราก็ไม่กล้าจะปฏิเสธเขาและกลัวว่าเขาจะเสียใจ ทั้งๆที่เขาก็หน้าตาดีในระดับหลีดของมหาลัย ผมก็ยังคิดไม่ตกว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เหตุที่ต้องเข้ามายุ้งกับชีวิตผมมากถึงเพียงนี้และผมกับเขาก็ได้พูดคุยกันบ่อยมาก จนเขาขอมาอยู่คุยและขอนอนด้วย แต่ผมก็ได้ตกลงกับเขาในเรื่องอย่างว่า ไม่ให้เกินเลยกัน และต่างฝ่ายต่างมีสิทธิ์ป้องกันตัวเองได้ (แต่หลังๆเพิ่มไม่ถือกันถ้าเห็นXXXอีกฝ่าย) ผมอยู่กับเขาแบบนี้มาร่วมเดือน ป่วยไข้ ทำงานก็ดูแลด้วยกันอย่างดี และทำให้ผมสามารถเรียนรู้ที่จะเข้ากับคนอื่นได้โดยมีเขาคอยช่วย จนกระทั้งเธอล้มป่วยอย่างรุนแรงกระทันหันเพราะโรคลูคิเมีย ที่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน หลายเป็นเจ้าหญิงนินทราไป ชีวิตหลังจากที่เธอไม่อยู่ ผมก็เริ่มทำอะไรหลายๆอย่างได้ไม่ราบลื่น การเรียนมีปัญหา และจบลงด้วยการออกจาก คณะนั้นไป แต่ผมก็ยังไม่ได้ทิ้งเขาไปไหน ผมยังเรียนหลักสูตรพิเศษของสถาบันอาชีวะเอกชนแห่งหนึ่ง เพื่อรอ Admission ใหม่ เพื่อให้ช่วงกลางวันผมยังไปพบเขาได้ทุกวัน จนกระทั้งวาระสุดท้าย ของเขามาถึงอย่างสงบ
ช่วงเวลาหลังจากที่เขาจากไปแบบไม่มีวันกลับนั้น ผมก็เลยต้องมาวางแผนเพื่อไปเจอสังคมใหม่ซึ่งผมต้องเอาจากที่เธอได้ทำเอาไว้ให้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ ถึงก็เวลานั้น ช่วงแรกผมยังพอเข้ากับคนแปลกหน้าในที่แห่งใหม่นี้ได้ แต่หลังๆปัญหาที่ผมมองไม่เห็นและไม่รู้สึกก็เริ่มทำให้ผมรู้สึกว่า เขารังเกียจเราเข้าให้แล้ว เหมือนอย่างที่ผมเคยเจอช่วงม.ปลาย ผมจึงลองทุกวิธีทางทั้ง อ. ที่ผมขอความช่วยเหลือ และพยายามลองพูดคุยกับคนโน้นทีคนนี้ทีเฉพาะ Section เดียวกันและพยายามแสรงว่า เราเรียนดีแล้วยังยิ้มและร่างเริ่งน่าคบ ให้เขาเห็นอยู่4-5วัน และกลับสู่สภาพเดิม เพื่อที่ว่า พวกเขาจะสนใจเราบ้างหลังจากที่เราพอยิ้มให้เขาและพูดคุยได้พักนึงแล้ว สุดท้ายผมก็คว้าน้ำเหลวในการเข้าสังคมอย่างแรงเลยครับ ไม่มีใครอยากจะพูดคุย เข้าหาหรือถามโน้นนี้ ช่วยไปโน้นนี้ แม้แต่งานกลุ่มก็ยังไม่มีใครคิดจะชวนกันเลย ช่วงสุดท้ายของเทอม 1 ผมจึงทำได้แค่ นั่งคิดว่าเราพลาดอะไรไป โดยที่ผมก็รู้อยู่แกใจว่า ผมไม่มีวันรู้แน่ถ้า ไม่มีคนที่มาทนรับข้อเสียของผมตรงนี้ได้
จนกระทั้งตอนนี้เข้าสู่เทอม2ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีแม้แต่คนที่จะมาถามเกรดเรา(หรือในโชว์ในListจนทั้งม.รู้กันหมดแล้วผมก็ไม่ทราบ) และผมก็เรียนครอม Section ไปแบบเงี่ยบๆ ตัวคนเดียวเหมือนอย่างที่เคยทำมาในอดีต และหนีออกจาก Section เดิมให้ได้มากที่สุด เพื่อที่ผมจะไม่ต้องเจออะไรที่ผมเคยเจอ และพวกเขาจะได้สบายใจที่ไม่มีผมมานำเสนองานกลุ่มที่ทำคนเดียวในชั้นปีอีกแล้ว
และมานั่งในม้านั่งตัวเดิม นี้ ผมจึงทำได้เพียงแค่นั่งนิ่งๆปล่อยให้เวลาผ่านไปวันๆเข้าเรียนทำงานเสร็จส่ง ได้ที่ไม่มี อ.คนไหน รุ่นพี่คนไหน เพื่อนร่วมชั้นปีคนใด เข้ามาถามว่า
"เป็นอะไรรึเปล่ามีอะไรที่ฉันช่วยได้ไหม ???"
สรุปการสังเกตและมุมมองความคิดของผมเอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ลักษณะแบบนี้น่าจะเป็นไปได้อย่างเดียวคือ F84.5 หรือที่เรียกกันว่า Asperger's syndrome หนึ่งในโรค Autism ที่กว่าจะมารักษากันก็ยากจะเยี่ยวยาแล้ว และความเครียดสะสมเรื้อรัง จนกลายไปอาการซึ่มเศร้าอย่างรุนแรงเพราะความศูนย์และความผิดหวังหลายต่อหลายครั้งในความพยายามที่จะปรับตัวเองให้เข้าสู่สังคมคนปกติ
จนตอนนี้ ผมทำได้แค่ นั่งนิ่งๆและวางแผนทบทวนสิ่งที่เรามองไม่เห็นและเป็นสาเหตุที่ทำเราต้องเป็นแบบนี้เพื่อไปปรับปรุงตัวใหม่ในภายภาคหน้าใน โดยที่ผมไม่เหลือหรือมีใครที่พอจะคุยด้วยได้แล้ว ศูนย์การเรียนของมหาวิทยาลัยแห่งนั้น ในมานั่งตัวเดิมแทบทุกวัน ถ้าไม่มีใครแย่งที่ไป ผมก็จะนั่งอยู่เพื่อรอให้โอกาสมาถึงหรือผมคิดสร้างมันได้เสียก่อน และหวังว่า สักวันมันต้องจบลงในเร็ววันไม่ว่าจะสวยงามหรือล้มเหลวจนถึงแก่ชีวิต
แต่ในตอนนี้ผมในตอนนี้ไม่กล้าจะเป็นฝ่ายลงมือก่อนแล้ว ขอเก็บแรงไว้สู้ตอนจบป.ตรีและต่อป.โท เอาดีกว่า โดยหวังว่า เวลา3ปี และอีก4ปีที่กำลังจะเสียไปนี้ ผมจะไม่พลาดเป็นครั้งที่ 4หรือ5อีก และต่อให้พลาดอีกจนถึงวัยทำงาน ผมแค่ต้องทนกับความทุกข์ที่เราไม่เข้าใจและไม่รู้จักนี้ต่อไป ถึงจะโดดเดียวยังไง แต่ถ้ายังไม่ตาย เรื่องมันก็ไม่จบ ผมก็จะเอาให้ตายหรือบ้ากันไปข้างนึง...
ปล.ผมขอไม่ตอบอะไรเพิ่มนะครับ ผมจะนั่งอ่านที่ท่านที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันนะครับ ขอบคุณมากครับ (เว้นแต่จะหลังไมค์มาถาม)
อยากจะแชร์ประสบการณ์และผู้พูดคุยเกี่ยวกับปัญหาการเข้าสังคมของผมหน่อยครับ
การเรียน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สุขภาพ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สังคม พฤติกรรม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สรุปการสังเกตและมุมมองความคิดของผมเอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ปล.ผมขอไม่ตอบอะไรเพิ่มนะครับ ผมจะนั่งอ่านที่ท่านที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันนะครับ ขอบคุณมากครับ (เว้นแต่จะหลังไมค์มาถาม)