วันก่อนมีโยมคนหนึ่งมาหา อายุราวๆ ประมาณ 37 ใส่แว่น ใส่เสื้อขาวแขนยาว มาปรับทุกข์ให้ฟัง ทุกข์มาก แบกความทุกข์มาจากบ้านตั้งหลายกิโลกรัม ตั้งใจจะเอามาทิ้งที่วัด บังเอิญวัดสมัยนี้มันก็มีหลายแบบ วัดสร้าง วัดสอน วันเสก หากไปที่วัดสร้าง ก็อาจจะได้ก้อนอิฐหินปูนทรายกลับบ้านไป หากดันไปเจอวัดเสก ก็อาจจะได้เหรียญ โชคชะตาติดกระเป๋ากลับบ้านไป หากไปวัดสอน ได้แสงสว่าง ได้สติ กลับบ้านไป แค่จะไปวัด ก็ยังต้องยุ่งยาก
สาเหตุที่โยมท่านนี้ทุกข์ก็คือคุยกับคนรัก คุยกันไม่รู้เรื่อง โยมท่านนี้คุยกับทุกคนได้หมด ยกเว้นกับคนรักตัวเอง คุยด้วยกันไม่ถึง 5 นาที เป็นอันต้องวางสายใส่กัน ทะเลาะกัน งอนใส่กัน แต่กลับคนอื่น กลับไม่มีอะไร
ไม่ใช่ว่าต่างฝ่ายต่างคนนอกใจกัน แต่มันจะมีอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่พออีกฝ่ายหนึ่ง พูดอะไรขัดใจแล้ว จะทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง มีน้ำเสียงขึ้นมา...จะเรียกว่าทิฎฐิหรือเปล่า จะเรียกว่าอัตตาหรือเปล่า ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แม้แต่เจ้าตัวทั้งสองก็ไม่เข้าใจ
อาตมาเริ่มบทสนทนาเพื่อให้คู่สนทนา เริ่มเปิดใจ
“คุณโยม อาตมาถามหน่อยเถอะ หากคุณโยมทำกระเป๋าตังค์ หายไว้ที่บ้าน แล้วคุณโยมมาหาที่วัดจะเจอกระเป๋าตังค์ไหม”
“ไม่เจอครับ พระคุณเจ้า” โยมท่านนั้นก้มหน้าตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ทำไมไม่เจอหล่ะ” อาตมาถามกลับไป
“ก็เพราะผมทำกระเป๋าตังค์หาย ไว้ที่บ้าน มาหาที่วัดมันจะเจอได้ไง”
“แต่อย่างน้อยๆ ผมก็หวังว่า ผมอาจจะเจอกระเป๋าใบใหม่ ที่วัดแห่งนี้ แต่ไม่ใช่กระเป๋าตังค์ของผม ที่ทำหายเอาไว้ที่บ้าน”
“มันเป็นอย่างไร โยมช่วยอธิบายให้อาตมาฟังหน่อยสิ” อาตมาเริ่มคิดว่า โยมท่านนี้ชักไม่ธรรมดา สำนวนการพูดการจา เข้าท่าดี คงต้องจบสูงแน่ๆ อาคารเรียนคงอยู่ชั้น 5 ชั้น 6 ขึ้นไป อย่างนี้ถึงเรียกว่าจบสูง คงไม่ใช่ตาศรีตาสา ลูกยายมีหลานยายมา เพราะดูการแต่งตัว ก็ดูเป็นคนมีความรู้ มีฐานะ ปัญหาเรื่องแค่นี้ ทำไมต้องมารบกวนพระให้ยุ่งยาก มันก็แปลกนะ บางคนรู้ปัญหาตัวเองดีที่สุด กลับแก้ปัญหาไม่ได้ อามิตตาพุทธ
“อย่างน้อยๆ ผมก็จะได้รู้ว่า มีกระเป๋าอีกใบหนึ่ง ในวัดแห่งนี้ ไม่ใช่มีแค่กระเป๋าของผมที่หายไป แต่ผมกำลังมาตามหาความรู้สึกที่หายไป ที่ตัวเองคิดว่ามันยังไม่เต็ม” อาตมาพยักหน้าเบาๆ
“หลวงพี่ครับ ปัญหาชีวิตบางอย่าง บางทีมันก็เหมือนฝุ่นเข้าตานะครับ ซึ่งเราเอาเศษฝุ่นออกจากตาเองไม่ได้ บางครั้งก็ต้องพึ่งวานคนอื่น ช่วยเขี่ยมันออกจากตา” เอ่อ..ตกลงจะให้เราเทศน์ให้โยมฟัง หรือโยมจะเทศน์ให้เราฟัง ตอนนี้เริ่มสับสันกับสถานะภาพตัวเอง
“แฟนผมเป็นคนคิดมาก คิดเล็กคิดน้อย เรื่องไม่เป็นเรื่องเธอก็นำมาคิด ที่ผ่านมาเราก็ทะเลาะกันตลอด ส่วนใหญ่ก็เรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องหมาเรื่องแมว เรื่องที่ชาวบ้านที่เขาไม่ทะเลาะกัน บางครั้งก็เรื่องเก่าๆเดิมๆ ผมกับแฟนทะเลาะกันได้ทุกวัน ทะเลาะกันได้ทุกเรื่อง ตอนนี้ผมสับสนว่าจะแก้ที่ตัวเองก่อน หรือแก้ที่ใครก่อน” อาตมาเคยได้ยินมา มีอาจารย์ท่านหนึ่ง พูดได้สี่ห้าภาษาแต่คุยกับลูกกับเมีย กลับคุยกันไม่รู้เรื่อง นี่ก็คงเป็นอีกรายหนึ่งสินะ ที่ร่วมชะตากรรมเดียวกัน
“เอาอย่างนี้ไหมโยม เวลาเขาพูดอะไร โยมก็อย่าไปดักคอเขา น้ำเสียงก็อย่าพูดขึ้นสูง เหมือนทำท่าไม่พอใจ อย่าบ่น อาตมาเข้าใจโยมนะ บางทีเราไม่มีเจตนาหรอก แต่คนฟัง บางครั้งคิดแทนคำพูดเราไปแล้ว และให้พยายามนึกถึงวันแรกที่โยมคบกัน โยมทะเลาะกันวันแรกไหม วันนี้กับวันแรกความรู้สึกของโยมทั้งสอง มันแตกต่างกันไหม เวลาจะรักใครโยมเคยคิดที่จะยอมรับข้อเสียของเขาบ้างหรือเปล่า ขนาดสินค้ายังมีช่วงโปรโมชั่นเลยโยม” ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา นี้คงเป็น คำปลอบใจที่ดีที่สุด ที่อาตมาได้กลั่นกรองออกมาจากความรู้สึกด้วยความจริงใจ ห่วงหาอาทร ยิ่งกว่าหมู่บ้านเอื้ออาทร
ชีวิตรัก บางคู่ ผู้ชายหน้าตาดี ผู้หญิงก็หน้าตาดี แต่ครอบครัวมีปัญหา แต่บางคู่ ผู้หญิงหน้าตาบ้านๆ (นอก) ผู้ชายหน้าตาดี เลิศ (นะยะ) ทำไมเขาถึงอยู่ด้วยกันได้ มันต้องเอาใจอยู่ด้วยกัน อยู่ด้วยเพราะความรู้สึกรัก เมตตา ให้อภัยต่อกัน มันถึงจะอยู่ด้วยกันรอด หากอีกฝ่ายทำอะไรก็ดูผิดไปหมด ดูรกหูรกตาไปหมด มันก็คงอยู่ด้วยกันยาก จะให้อีกฝ่ายหนึ่ง เป็นสุญญากาศก็คงเป็นไปได้ยาก ต่อให้คุณจะสร้างบ้านราคากี่ร้านเอาไว้เป็นเรือนหอ มันก็คงสุขได้ไม่นาน
“ทุกครั้งที่เราสองคนทะเลาะกัน เวลาเห็นเธอร้องไห้ ผมรู้สึกปวดใจครับ เพราะสิ่งที่มันไหลออกจากเป้าตาของเธอ มันไม่ใช่แค่น้ำตาครับ หลวงพี่”
“แล้วมันคืออะไรหล่ะโยม หากไม่ใช่น้ำตา” อาตมาก็อดสงสัยไม่ได้
“มันคือความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ความอึดอั้นตันใจ ความคับแค้นใจ ผมเห็นมันไหลมาพร้อมกับน้ำตาของเธอ” มันเหมือนมีอะไร มาจุกที่หน้าอก เจอนักปราชญ์ผู้ซ่อนกายในเมืองใหญ่แล้ว อาตมาได้แต่อั้มอึ้ง
“ชีวิตคู่มันก็เป็นอย่างนี้แหละครับ หลวงพี่ หลวงพี่อยู่ข้างในนี้แหละดีแล้ว ข้างนอกมันวุ่นวาย มันอาบยาพิษ” ชายคนดั่งกล่าว สรุปทิ้งท้ายเอาไว้ให้น่าคิด เหมือนได้มอบเทียนเข้าพรรษาเอาไว้ให้ส่องทางในยามมืดสนิท ท่ามกลางสายฝน ที่ตกลงมากระหน่ำ รู้ทั้งๆรู้ว่า ต่อให้เดินถือเทียนเดินอยู่ท่ามกลายสายฝน อย่างไร เทียนก็ดับ
"เทียนต่อให้มันให้แสงสว่าง มันก็ยังมีน้ำตาเทียน" คำพระท่านกล่าวเอาไว้ โอ้ ชีวิต มันเป็นเช่นนั้นเอง
ในขณะที่การสนทนาก็กำลังเริ่มเข้มข้นขึ้น ก็มีเสียงเรียกมาแต่ไกล “หลวงพี่ครับๆๆๆๆ หลวงพี่มหาครับ หลวงพ่อให้มาตาม”
“โยมรอแป๊บหนึ่งนะ เดี๋ยวอาตมามา บังเอิญหลวงพ่อเรียก โยมอย่าเพิ่งไปไหนนะ” อาตมาอดที่จะกำชับเอาไว้ไม่ได้ เพราะช่วงสนทนากำลังอยู่ในช่วงท่อนฮุก
หลังจากทำธุระเสร็จ กำลังเดินผ่านหน้าศาลาการเปรียญ เห็นโยมผู้หญิงคนหนึ่ง อายุประมาณ 34-35 ปี ทำหน้าตกใจ เหมือนกำลังหาใครสักคนหนึ่ง ก็อดที่จะต้องสวมเกือกเข้าไปหา “คุณโยมมีอะไรหรือเปล่า”
“หลวงพี่คะ เห็นผู้ชายคนหนึ่ง ใส่แว่น สวมเสื้อขาว แขนยาว ไหมคะ” ผู้หญิงคนนั้นถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เออ...โยมที่เรากำลังคุยด้วย นี่หน่า” อาตมาอดคิดและสงสัยไม่ได้ "มันจะใช่คนเดียวกันหรือเปล่า หนอ"
“คือเขาสติไม่ค่อยดี หนูกำลังจะพาเขาไปโรงบาล เมื่อสักครู่หนู เข้ามาวัด มาขอเข้าห้องน้ำ อยู่ๆเขาก็ลงรถ หายไปค่ะ” ทันที ที่โยมผู้หญิงคนนี้พูดจบลง
อาตมาได้แต่ถอนหายใจ “งานเข้าแล้วสิ”
(งานเขียนของ คุณพงษ์ประภากรณ์ สุระรินทร์)
ปราชญ์ผู้ซ่อนกาย
สาเหตุที่โยมท่านนี้ทุกข์ก็คือคุยกับคนรัก คุยกันไม่รู้เรื่อง โยมท่านนี้คุยกับทุกคนได้หมด ยกเว้นกับคนรักตัวเอง คุยด้วยกันไม่ถึง 5 นาที เป็นอันต้องวางสายใส่กัน ทะเลาะกัน งอนใส่กัน แต่กลับคนอื่น กลับไม่มีอะไร
ไม่ใช่ว่าต่างฝ่ายต่างคนนอกใจกัน แต่มันจะมีอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่พออีกฝ่ายหนึ่ง พูดอะไรขัดใจแล้ว จะทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง มีน้ำเสียงขึ้นมา...จะเรียกว่าทิฎฐิหรือเปล่า จะเรียกว่าอัตตาหรือเปล่า ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แม้แต่เจ้าตัวทั้งสองก็ไม่เข้าใจ
อาตมาเริ่มบทสนทนาเพื่อให้คู่สนทนา เริ่มเปิดใจ
“คุณโยม อาตมาถามหน่อยเถอะ หากคุณโยมทำกระเป๋าตังค์ หายไว้ที่บ้าน แล้วคุณโยมมาหาที่วัดจะเจอกระเป๋าตังค์ไหม”
“ไม่เจอครับ พระคุณเจ้า” โยมท่านนั้นก้มหน้าตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ทำไมไม่เจอหล่ะ” อาตมาถามกลับไป
“ก็เพราะผมทำกระเป๋าตังค์หาย ไว้ที่บ้าน มาหาที่วัดมันจะเจอได้ไง”
“แต่อย่างน้อยๆ ผมก็หวังว่า ผมอาจจะเจอกระเป๋าใบใหม่ ที่วัดแห่งนี้ แต่ไม่ใช่กระเป๋าตังค์ของผม ที่ทำหายเอาไว้ที่บ้าน”
“มันเป็นอย่างไร โยมช่วยอธิบายให้อาตมาฟังหน่อยสิ” อาตมาเริ่มคิดว่า โยมท่านนี้ชักไม่ธรรมดา สำนวนการพูดการจา เข้าท่าดี คงต้องจบสูงแน่ๆ อาคารเรียนคงอยู่ชั้น 5 ชั้น 6 ขึ้นไป อย่างนี้ถึงเรียกว่าจบสูง คงไม่ใช่ตาศรีตาสา ลูกยายมีหลานยายมา เพราะดูการแต่งตัว ก็ดูเป็นคนมีความรู้ มีฐานะ ปัญหาเรื่องแค่นี้ ทำไมต้องมารบกวนพระให้ยุ่งยาก มันก็แปลกนะ บางคนรู้ปัญหาตัวเองดีที่สุด กลับแก้ปัญหาไม่ได้ อามิตตาพุทธ
“อย่างน้อยๆ ผมก็จะได้รู้ว่า มีกระเป๋าอีกใบหนึ่ง ในวัดแห่งนี้ ไม่ใช่มีแค่กระเป๋าของผมที่หายไป แต่ผมกำลังมาตามหาความรู้สึกที่หายไป ที่ตัวเองคิดว่ามันยังไม่เต็ม” อาตมาพยักหน้าเบาๆ
“หลวงพี่ครับ ปัญหาชีวิตบางอย่าง บางทีมันก็เหมือนฝุ่นเข้าตานะครับ ซึ่งเราเอาเศษฝุ่นออกจากตาเองไม่ได้ บางครั้งก็ต้องพึ่งวานคนอื่น ช่วยเขี่ยมันออกจากตา” เอ่อ..ตกลงจะให้เราเทศน์ให้โยมฟัง หรือโยมจะเทศน์ให้เราฟัง ตอนนี้เริ่มสับสันกับสถานะภาพตัวเอง
“แฟนผมเป็นคนคิดมาก คิดเล็กคิดน้อย เรื่องไม่เป็นเรื่องเธอก็นำมาคิด ที่ผ่านมาเราก็ทะเลาะกันตลอด ส่วนใหญ่ก็เรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องหมาเรื่องแมว เรื่องที่ชาวบ้านที่เขาไม่ทะเลาะกัน บางครั้งก็เรื่องเก่าๆเดิมๆ ผมกับแฟนทะเลาะกันได้ทุกวัน ทะเลาะกันได้ทุกเรื่อง ตอนนี้ผมสับสนว่าจะแก้ที่ตัวเองก่อน หรือแก้ที่ใครก่อน” อาตมาเคยได้ยินมา มีอาจารย์ท่านหนึ่ง พูดได้สี่ห้าภาษาแต่คุยกับลูกกับเมีย กลับคุยกันไม่รู้เรื่อง นี่ก็คงเป็นอีกรายหนึ่งสินะ ที่ร่วมชะตากรรมเดียวกัน
“เอาอย่างนี้ไหมโยม เวลาเขาพูดอะไร โยมก็อย่าไปดักคอเขา น้ำเสียงก็อย่าพูดขึ้นสูง เหมือนทำท่าไม่พอใจ อย่าบ่น อาตมาเข้าใจโยมนะ บางทีเราไม่มีเจตนาหรอก แต่คนฟัง บางครั้งคิดแทนคำพูดเราไปแล้ว และให้พยายามนึกถึงวันแรกที่โยมคบกัน โยมทะเลาะกันวันแรกไหม วันนี้กับวันแรกความรู้สึกของโยมทั้งสอง มันแตกต่างกันไหม เวลาจะรักใครโยมเคยคิดที่จะยอมรับข้อเสียของเขาบ้างหรือเปล่า ขนาดสินค้ายังมีช่วงโปรโมชั่นเลยโยม” ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา นี้คงเป็น คำปลอบใจที่ดีที่สุด ที่อาตมาได้กลั่นกรองออกมาจากความรู้สึกด้วยความจริงใจ ห่วงหาอาทร ยิ่งกว่าหมู่บ้านเอื้ออาทร
ชีวิตรัก บางคู่ ผู้ชายหน้าตาดี ผู้หญิงก็หน้าตาดี แต่ครอบครัวมีปัญหา แต่บางคู่ ผู้หญิงหน้าตาบ้านๆ (นอก) ผู้ชายหน้าตาดี เลิศ (นะยะ) ทำไมเขาถึงอยู่ด้วยกันได้ มันต้องเอาใจอยู่ด้วยกัน อยู่ด้วยเพราะความรู้สึกรัก เมตตา ให้อภัยต่อกัน มันถึงจะอยู่ด้วยกันรอด หากอีกฝ่ายทำอะไรก็ดูผิดไปหมด ดูรกหูรกตาไปหมด มันก็คงอยู่ด้วยกันยาก จะให้อีกฝ่ายหนึ่ง เป็นสุญญากาศก็คงเป็นไปได้ยาก ต่อให้คุณจะสร้างบ้านราคากี่ร้านเอาไว้เป็นเรือนหอ มันก็คงสุขได้ไม่นาน
“ทุกครั้งที่เราสองคนทะเลาะกัน เวลาเห็นเธอร้องไห้ ผมรู้สึกปวดใจครับ เพราะสิ่งที่มันไหลออกจากเป้าตาของเธอ มันไม่ใช่แค่น้ำตาครับ หลวงพี่”
“แล้วมันคืออะไรหล่ะโยม หากไม่ใช่น้ำตา” อาตมาก็อดสงสัยไม่ได้
“มันคือความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ความอึดอั้นตันใจ ความคับแค้นใจ ผมเห็นมันไหลมาพร้อมกับน้ำตาของเธอ” มันเหมือนมีอะไร มาจุกที่หน้าอก เจอนักปราชญ์ผู้ซ่อนกายในเมืองใหญ่แล้ว อาตมาได้แต่อั้มอึ้ง
“ชีวิตคู่มันก็เป็นอย่างนี้แหละครับ หลวงพี่ หลวงพี่อยู่ข้างในนี้แหละดีแล้ว ข้างนอกมันวุ่นวาย มันอาบยาพิษ” ชายคนดั่งกล่าว สรุปทิ้งท้ายเอาไว้ให้น่าคิด เหมือนได้มอบเทียนเข้าพรรษาเอาไว้ให้ส่องทางในยามมืดสนิท ท่ามกลางสายฝน ที่ตกลงมากระหน่ำ รู้ทั้งๆรู้ว่า ต่อให้เดินถือเทียนเดินอยู่ท่ามกลายสายฝน อย่างไร เทียนก็ดับ
"เทียนต่อให้มันให้แสงสว่าง มันก็ยังมีน้ำตาเทียน" คำพระท่านกล่าวเอาไว้ โอ้ ชีวิต มันเป็นเช่นนั้นเอง
ในขณะที่การสนทนาก็กำลังเริ่มเข้มข้นขึ้น ก็มีเสียงเรียกมาแต่ไกล “หลวงพี่ครับๆๆๆๆ หลวงพี่มหาครับ หลวงพ่อให้มาตาม”
“โยมรอแป๊บหนึ่งนะ เดี๋ยวอาตมามา บังเอิญหลวงพ่อเรียก โยมอย่าเพิ่งไปไหนนะ” อาตมาอดที่จะกำชับเอาไว้ไม่ได้ เพราะช่วงสนทนากำลังอยู่ในช่วงท่อนฮุก
หลังจากทำธุระเสร็จ กำลังเดินผ่านหน้าศาลาการเปรียญ เห็นโยมผู้หญิงคนหนึ่ง อายุประมาณ 34-35 ปี ทำหน้าตกใจ เหมือนกำลังหาใครสักคนหนึ่ง ก็อดที่จะต้องสวมเกือกเข้าไปหา “คุณโยมมีอะไรหรือเปล่า”
“หลวงพี่คะ เห็นผู้ชายคนหนึ่ง ใส่แว่น สวมเสื้อขาว แขนยาว ไหมคะ” ผู้หญิงคนนั้นถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เออ...โยมที่เรากำลังคุยด้วย นี่หน่า” อาตมาอดคิดและสงสัยไม่ได้ "มันจะใช่คนเดียวกันหรือเปล่า หนอ"
“คือเขาสติไม่ค่อยดี หนูกำลังจะพาเขาไปโรงบาล เมื่อสักครู่หนู เข้ามาวัด มาขอเข้าห้องน้ำ อยู่ๆเขาก็ลงรถ หายไปค่ะ” ทันที ที่โยมผู้หญิงคนนี้พูดจบลง
อาตมาได้แต่ถอนหายใจ “งานเข้าแล้วสิ”
(งานเขียนของ คุณพงษ์ประภากรณ์ สุระรินทร์)