ALEX FERGUSON : MY AUTOBIOGRAPHY # บทที่ 11 : VAN NISTELROOY

พอดี เรามีโอกาสได้อ่านไปบ้างแล้วนิดหน่อย เลยขออณุญาติแปลมาให้อ่านกันค่ะ (ยืมเขามาอ่าน) ไม่แน่ใจว่าจะเป็นปัญหาอะไรมั้ย เราเลือกอ่านแค่เฉพาะบทที่ชอบ ไม่ได้เรียงบท และอาจจะมีผิดพลาดไปบ้าง ต้องขออภัยล่วงหน้า คือบางคำเราไม่เข้าใจประโยคก็จะพิมพ์ตามความเข้าใจตัวเองไปเลย ใครอยากแก้อะไรตรงไหนก็ช่วยเสริมได้เลยนะคะ



# บทที่ 11 : VAN NISTELROOY

ค่ำคืนที่หิมะตกโปรยปรายในเดือนมกราคม 2010 ขณะที่โทรศัพท์ของผมมีเสียง "บี๊บ!" ดังขึ้นเป็นเสียงของข้อความที่มีเนื้อหาว่า "ผมไม่รู้ว่าคุณยังจำผมได้อีกหรือไม่ แต่ว่าผมอยากจะโทรหาคุณ - รุด ฟานนิสเตลรอย" พระเจ้า นี่มันอะไรกันเนี่ย? ผมบอกกับ เคธี่(ภรรยา) "เขาไปตั้ง 4 ปีแล้วนี่? เขาต้องการอะไรน่ะ ไม่ใช่ว่าอยากจะกลับมาแมนฯยูหรอกนะ"

"ไม่หรอก อย่าโง่น่า" ผมบอกเธอ

ผมคิดไม่ออกว่านี่มันหมายถึงอะไร แต่ผมก็ส่งข้อความกลับไปหาเขา "ตกลง" และเมื่อเราได้คุยกัน ก่อนอื่นเลย มันเป็นการพูดคุยสั้นๆ เรื่องอาการบาดเจ็บ เรื่องความฟิต ไม่ค่อยได่ลงเล่น นี่นั่น บลาๆๆ และสุดท้ายเขาก็เข้าเรื่องจนได้ "ผมอยากขอโทษคุณถึงเรื่องพฤติกรรมผมในปีสุดท้ายที่แมนฯยู"

ผมชอบคนที่ "ขอโทษเป็น" นั่นทำให้ผมเลื่อมใส ในวัฒนธรรมของคนยุคใหม่ ที่ตั้งเรื่องของตนเองเป็นใหญ่ ผู้คนพากันลืมคำพูดแบบคำคำนี้แหละ คำว่า "ผมเสียใจ" นักฟุตบอลถูกบ่มเพาะจากผู้จัดการทีมและสโมสร, เอเยนต์ หรือแม้แต่เพื่อนที่สามารถบอกเขาได้ว่าอะไรดีหรือไม่ดีต่อตัวเขา เพราะฉะันั้น มันเป็นเรื่องที่แปลกใหม่จริงๆ กับการที่ใครสักคนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วโทรหาใครสักคนเพื่อบอกว่า "เป็นความผิดของผมเอง ผมเสียใจ" กับเรื่องที่ผ่านไปนานนมแล้ว

รุดไม่ได้มีทีท่าว่าอยากจะอธิบายถึงมันนัก แต่นี่เป็นโอกาสที่ผมจะได้ถามเขาอย่างจริงๆจังๆเสียที "นายกลายเป็นแบบนั้นได้ไง"

การที่รุดโทรมาหาผมยามค่ำคืนในคืนที่เหน็บหนาว ผมรู้จักกับทีม 2-3 ทีมในพรีเมียร์ที่สนใจในตัวเขาอยู่ แต่ผมก็ยังไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงต้องอยากคุยกับผมอยู่ดี มันไม่จำเป็นเลย กับการที่เขาจะต้องมารื้อฟื้นความสัมพันธ์กับยูไนเต็ด ต่อให้เขาอยากจะย้ายไปอยู่สโมสรอื่นในพรีเมียร์ฯก็ตาม ผมเลยคิดว่า มันคงเป็นเรื่องการสำนึกผิด กับในช่วงวัยขนาดนี้ รุดคงยังมีข้อสงสัยกับตัวเองกับคนแบบที่เขาเป็นในปัจจุบัน

สัญญาณ ที่เป็นดั่ง ปัญหาด้านความสัมพันธ์ยืดยาวของรุด เริ่มต้นจากการที่เขาปิดปากตัวเองตลอดเวลา ไม่ยอมพูดกับ คาลอส กุยรอส (ผู้ช่วยชาวโปรตุเกสของเฟอร์กี้) เกี่ยวกับเรื่องของโรนัลโด้ มันมีเรื่องการถกเถียงกันอยู่นิดหน่อย แต่ที่สุดก็ไม่มีใครเข้าไปจัดการมันอย่างจริงๆจังๆ จนกระทั่งรุดเริ่มเบนเป้าหมายไปที่คนอื่นแทน คนนั้คือ แกรี่ เนวิลล์ แต่คนแบบแกรี่ เขาเตรียมพร้อมเสมออยู่แล้วกับเรื่องแบบนี้ และเขาก็ชนะในศึกนี้ด้วย ดาวิด แบลลิยง* (นักเตะอีกคนของแมนฯยูในตอนนั้น) เป็นอีกคนที่รับเคราะห์เรื่องความฉุนเฉียวของรุด มีการพิพาทเกิดขึ้นในช่วงปีสุดท้ายของรุดกับแมนฯยู แต่หลักๆเลย .. มันเป็นเรื่องของรุด กับ โรนัลโด้

ตอนจบฤดูกาล 2004-05 เราสามารถไปถึงรอบรองของ FA CUP เราพบกับอาเซนอล รุดลงเล่นในเกมนั้นได้เลวร้ายจริงๆ ก่อนหน้านั้นเอเยนต์ของเขา รอดเจอร์ ลินซ์ ได้เข้าไปคุยกับ เดวิด กิลล์ และบอกว่ารุดขอย้ายทีม "รุดอยากจะไป"

เดวิดบอกว่า "เรากำลังมีแข่งรอบชิงบอลถ้วยวันเสาร์นะ (เอเยนต์มาบอกวันพุธ) มันไม่ใช่เวลาที่เหมาะนักหรอกที่ หน้าเป้า จะมาร้องขอย้ายทีมตอนนี้น่ะ" เดวิดถามเขาว่า รุดอยากจะไป เพราะอะไร? ลินซ์ บอกว่า --- เพราะรุดคิดว่า ทีมเริ่มติดแหงก และเขาไม่มั่นใจนักว่าเราจะสามารถชนะแชมเปียนลีกส์ได้ มุมมองของเขาคือ เราไม่มีทางชนะถ้วยยุโรปด้วยนักเตะเด็กๆแบบรูนีย์ หรือ โรนัลโด้หรอก ---

หลังจากรอบชิง เดวิดเรียก ลินซ์มาคุยและบอกเขาว่าอยากขอประชุมกับรุด

ตอนนั้นบทบาทของเราค่อนข้างจะมั่นคงอยู่แล้ว เพราะรีล มาดริดไม่ยอมจ่าย 35 ล้าน เพื่อเขา มันชัดเจนอยู่แล้ว แต่ผมก็มั่นใจว่า นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมรุดถึงอยากไป ถ้ามาดริดกลับมาอีกพร้อมกับ 35 ล้าน เขาอาจจะอยากต่อรองกับสโมสรเรื่องค่าธรรมเนียมในการย้ายที่พอตกลงได้ เป้นความคิดที่งี่เง่ามาก

แต่หลังจากนั้นเราก็มีประชุม รุดบอกว่า เขาขี้เกียจรอกับการเตรียมพร้อมโรนัลโด้และรูนีย์ "เดี๋ยวก่อน พวกนั้นเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมนะ" ผมบอกเขาไปแบบนั้น "นายต้องเป็นผู้นำใ้ห้กับเด็กๆ ช่วยเหลือพวกเขา" แต่รุดก็ยังคงพูดเหมือนเดิมว่า เขาไม่อยากรอ

"เอาล่ะ ตอนนี้เรากำลังจะเซนต์สัญญากับนักเตะใหม่ เพื่อจะทำให้เรากลับไปอยู่ที่ระดับเดิมอีกครั้ง" ผมบอกเขา "เราไม่อยากแพ้รอบชิง ไม่มีใครอยากแพ้ในเกมลีก เมื่อนายสร้างทีม นายก็ต้องอดทน ไม่แค่ฉัน แต่เป็นผู้เล่นทุกคน นั่นถึงจะทำให้เรากลายเป็นทีมที่ดีได้" เขายอมรับคำดุด่าของผม และเราก็จับมือกัน

ฤดูกาลนั้นเราเซนต์สัญญากับ วีดิค และ เอฟร่า และนั่นก็เป็นการจุดชนวนให้กับเรื่องราวเลวร้ายของเรากับรุดตลอดมา ในคาร์ลิงคัพ ผมให้ซาฮาลงเล่นตลอด จนกระทั่งเราไปถึงรอบชิง ผมบอกกับรุดว่า "มันไมุ่ยุติธรรมเลย ถ้าฉันจะไม่ให้เขาลงเล่น ฉันรู้นายชอบเล่นในรอบชิง เอาเป็นว่าฉันหวังว่าฉันจะสามารถส่งนายลงได้ละกัน"

เราควบคุมเกมได้เป็นอย่างดีตอนเจอกับวีแกน และนั่นทำให้ผมมองเห็นโอกาสที่จะส่งเอฟร่าและวีดิคลงไปเพื่อให้พวกเขาไอ้ลิ้มรสของเกมการแข่งขัน พวกเขาเป็นสำรอง 2 คนสุดท้ายในโควต้า ผมเลยไปหารุดแล้วบอกกับเขาว่า "ฉันจะส่งสองคนนั่นลงไป" เพราะอยากให้พวกเขาได้สัมผัสบรรยากาศของการชิงชัยแข่งขัน และการได้รับชัยชนะอะไรสักอย่างกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

"คุณมันเฮงซวย" รุดตอบกลับผมแบบนั้น ผมจำได้แม่นยำเลยทีเดียว และไม่อยากจะเชื่อด้วย คาลอส กุยเรซเดินเข้ามาหาเขาทันที และก็เกิดความเกรี้ยวกราดขึ้นในที่นั่งสำรองข้างสนามทันที ตอนนั้นผู้เล่นคนอื่นๆต่างบอกกับรุดว่า "แกควรทำตัวดีกว่านี้"

และนั่นคือจุดจบของรุด เรารู้ว่าเราไม่สามารถพาเขากลับมาได้อีกต่อไป เขาเผาเรือของตัวเองทิ้งเสียแล้ว  และหลังจากเหตุการณ์นั้นเป็นต้นมา พฤติกรรมของเขา นับวันจะยิ่งเลวร้ายลงทุกที

................ มีต่อ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่