คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
ในสมัยอยุธยาและธนบุรีชื่อที่พบจะเป็นคำพยางค์เดียวถึง 2 พยางค์ ภาษาที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นภาษาไทย
เริ่มมีภาษาบาลีและสันสกฤตเข้ามาผสมกับคำไทยในการตั้งชื่อ เนื่องจากพระมหากษัตริย์ในสมัยอยุธยามีการทำนุบำรุงศาสนา
มีพระสงฆ์เพิ่มมากขึ้น เริ่มมีการติดต่อค้าขายพูดคุยกับชาวต่างชาติ มีการรับวัฒนธรรมจากต่างชาติ เช่น อินเดีย ศรีลังกา นอกจากนี้
ยังเป็นเมืองท่า ติดต่อกับฮอลันดา โปรตุเกส ฝรั่งเศส รวมถึงระบบวรรณะและกษัตรฺย์ก็มีผลต่อการตั้งชื่อ
การตั้งชื่อในสมัยอยุธยาจึงมีการตั้งชื่อพยางค์เดียวหรือ 2 พยางค์ โดยความหมายของชื่อมักแสดงรูปธรรมที่สัมพันธ์กับชีวิตประจำวัน และจับต้องได้อย่างชัดเจน เช่น จัน (ต้นไม้) ในที่นี้อาจหมายถึงไม้จัน ในหมู่บ้านที่มีไม้จันมาก , ทอง (ธาตุ) หอม, เหม็น ฯลฯ หรือมีความหมาย แสดงกิริยาอาการเคลื่อนไหวที่กระทำอยู่อย่างปกติ เช่น มา พูน เลื่อน ฯลฯ
โดยมากชื่อเหล่านี้จะใช้ได้ทั้งหญิงและชาย มีซ้ำกันมากมาย ส่วนชื่อยาวและไพเราะมาจากภาษาบาลีและสันสกฤต มักอยู่ในพระนามของเจ้านายเป็นส่วนใหญ่ บางชื่อฟังแล้วอาจไม่ได้ดูมีความสวยงามและเป็นสิริมงคลมาก เช่น เหม็น เนื่องจากในสมัยนั้นมีความเชื่อว่าการตั่งชื่อเช่นนี้เพื่อให้ผีแม่ซื้อหรือดวงวิญญาณร้ายไม่มารบกวนหรือมาเอาชีวิตเด็กไป หรือเด็กที่ไม่สบายบ่อยๆก็จะตั้งชื่อให้น่าเกลียดเพื่อไม่ให้มีโรคภัย พอโตขึ้นก็ไม่ได้เปลี่ยนเพราะเรียกกันติดปากแล้ว
ส่วนภาษาในกรุงศรีอยุธยาก็ได้รับอิทธิพลของภาษาจากต่างประเทศจึงรับคำในภาษาต่าง ๆ มาใช้ เช่นคำว่า กุหลาบ ที่ยืมมาจากคำว่า กุล้อบ ในภาษาเปอร์เซีย ที่มีความหมายเดิมว่า น้ำดอกไม้[60] และยืมคำว่า ปาดรื (Padre) จากภาษาโปรตุเกส แล้วออกเสียงเรียกเป็น บาทหลวง[61] เป็นต้น
เริ่มมีภาษาบาลีและสันสกฤตเข้ามาผสมกับคำไทยในการตั้งชื่อ เนื่องจากพระมหากษัตริย์ในสมัยอยุธยามีการทำนุบำรุงศาสนา
มีพระสงฆ์เพิ่มมากขึ้น เริ่มมีการติดต่อค้าขายพูดคุยกับชาวต่างชาติ มีการรับวัฒนธรรมจากต่างชาติ เช่น อินเดีย ศรีลังกา นอกจากนี้
ยังเป็นเมืองท่า ติดต่อกับฮอลันดา โปรตุเกส ฝรั่งเศส รวมถึงระบบวรรณะและกษัตรฺย์ก็มีผลต่อการตั้งชื่อ
การตั้งชื่อในสมัยอยุธยาจึงมีการตั้งชื่อพยางค์เดียวหรือ 2 พยางค์ โดยความหมายของชื่อมักแสดงรูปธรรมที่สัมพันธ์กับชีวิตประจำวัน และจับต้องได้อย่างชัดเจน เช่น จัน (ต้นไม้) ในที่นี้อาจหมายถึงไม้จัน ในหมู่บ้านที่มีไม้จันมาก , ทอง (ธาตุ) หอม, เหม็น ฯลฯ หรือมีความหมาย แสดงกิริยาอาการเคลื่อนไหวที่กระทำอยู่อย่างปกติ เช่น มา พูน เลื่อน ฯลฯ
โดยมากชื่อเหล่านี้จะใช้ได้ทั้งหญิงและชาย มีซ้ำกันมากมาย ส่วนชื่อยาวและไพเราะมาจากภาษาบาลีและสันสกฤต มักอยู่ในพระนามของเจ้านายเป็นส่วนใหญ่ บางชื่อฟังแล้วอาจไม่ได้ดูมีความสวยงามและเป็นสิริมงคลมาก เช่น เหม็น เนื่องจากในสมัยนั้นมีความเชื่อว่าการตั่งชื่อเช่นนี้เพื่อให้ผีแม่ซื้อหรือดวงวิญญาณร้ายไม่มารบกวนหรือมาเอาชีวิตเด็กไป หรือเด็กที่ไม่สบายบ่อยๆก็จะตั้งชื่อให้น่าเกลียดเพื่อไม่ให้มีโรคภัย พอโตขึ้นก็ไม่ได้เปลี่ยนเพราะเรียกกันติดปากแล้ว
ส่วนภาษาในกรุงศรีอยุธยาก็ได้รับอิทธิพลของภาษาจากต่างประเทศจึงรับคำในภาษาต่าง ๆ มาใช้ เช่นคำว่า กุหลาบ ที่ยืมมาจากคำว่า กุล้อบ ในภาษาเปอร์เซีย ที่มีความหมายเดิมว่า น้ำดอกไม้[60] และยืมคำว่า ปาดรื (Padre) จากภาษาโปรตุเกส แล้วออกเสียงเรียกเป็น บาทหลวง[61] เป็นต้น
แสดงความคิดเห็น
การตั้งชื่อชาวบ้านในสมัยอยุธยา