ขออนุญาต แก้ไขความเข้าใจท่านเจ้าของกระทู้ และท่านอื่นๆ นะครับ

ระบบการรับชำระของธนาคารเป็นระบบที่ซับซ้อน  ซึ่งคิดขึ้นมาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ

จะพยายาม ค่อยๆ อธิบายง่ายๆ ให้ท่านเข้าใจนะครับ  ว่าเพราะอะไรถึงได้บอกว่ารักษาผลประโยชน์ของลูกค้า ท่านไหนที่ไม่เข้าใจถามได้ครับ

(ความจริงมันมีเงื่อนไขหลายอย่างในระบบ และข้อมูลที่ท่านเจ้าของกระทู้แจ้งมามีจำกัด ซึ่งผมไม่สามารถทราบเงื่อนไขที่เกิดขึ้นในกรณีนี้ได้ทั้งหมด หากไม่ได้ตรวจสอบ จากข้อมูลในระบบ)
ข้อมูลที่มีคือ สัญญาของท่าน เงินงวดเท่ากับ 10,800 บาท และ ระบบรับชำระแบบทุกวันสิ้นเดือน

ก่อนอื่นต้อง ทำความเข้าใจตัวระบบ และศัพท์เทคนิคของธนาคารก่อนนะครับ

ระบบของธนาคารในการรับชำระเงินงวด  ตัวระบบ จะทำการตั้งข้อมูลอัตโนมัติทุกวันสิ้นเดือน เรียกว่า “การตั้งบิล”
(ความจริงวันที่รับชำระมีหลายแบบ แล้วแต่ลูกค้าจะเลือก และตามเงื่อนไขของสินเชื่อแต่ละประเภท  เช่นแบบ วันชนวัน / แบบวันสิ้นเดือน ในกรณีนี้ คาดว่า น่าจะเป็นการตั้งบิลทุกวันสิ้นเดือนครับ)

ลำดับการรับชำระของธนาคาร จะรับชำระ
ดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อน ตามด้วยเงินต้นค้างชำระ(เรียกว่า Unpaid)
จากนั้นจึงตัด ดอกเบี้ยงวดปัจจุบัน และเงินต้นงวดปัจจุบัน

การชำระเงินต้น แบบไม่มีดอกเบี้ย ธนาคารจะเรียกว่า การชำระแบบไม่กระทบบิล

การจะชำระแบบไม่กระทบบิลได้นั้นมีเงื่อนไขหลายอย่าง จะยกเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องมาอธิบายนะครับ
1.    ระบบจะคิดดอกเบี้ยปกติ เดือนละ 1 ครั้ง หลังจากการตั้งบิล
2.    หากชำระก่อนวันตั้งบิล 1 ครั้ง ระบบจะคิดดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจริง คำนวณเป็นวัน ตั้งแต่วันสุดท้ายที่ชำระครั้งที่แล้วจนถึงวันปัจจุบัน
3.    หากชำระซ้ำอีกครั้งภายในเดือนเดียวกัน ระบบจะนำไปตัดเป็นเงินต้นทั้งหมด และเป็นการตัดแบบไม่กระทบบิล
(ที่ผ่านมาทุกครั้งที่ท่านเจ้าของกระทู้เข้าใจว่า ปกติ เป็นการชำระก่อนที่ระบบจะตั้งบิล ทำให้เป็นการชำระไม่กระทบบิล)
4.    หากชำระในวันที่ตั้งบิล หรือหลังวันที่ตั้งบิล ดอกเบี้ยจะคิดถึงวันที่ตั้งบิลเท่านั้น ดอกเบี้ยส่วนที่เกินจากวันตั้งบิลธนาคารจะยังไม่คิด  แต่จะไปรวมคิดกับการชำระรอบถัดไป
5.    หากท่านชำระในเดือนเดียวกัน ก่อนระบบจะตั้งบิลใหม่  ธนาคารจะรับชำระเป็นเงินต้น รวม เท่ากับ เงินงวดที่ต้องชำระขั้นต่ำ 1 เดือน รวมกันไม่เกิน 2 ครั้ง หลังจากนั้นจะเป็นการชำระแบบไม่กระทบบิล (มีดอกเบี้ยเกิดขึ้นในระบบแล้ว แต่ระบบรับชำระให้เป็นเงินต้นทั้งหมด ส่วนนี้ที่บอกว่าลูกค้าได้ประโยชน์มากกว่าเดิม เพราะภายในเดือนเดียวกัน ถ้าท่านชำระเพิ่ม ธนาคารจะยังไม่ตัดดอกเบี้ย ทำให้เงินต้นของท่าน ลดลงเร็วกว่าเดิม
และไม่ใช่การคิดดอกเบี้ยล่วงหน้าอย่างที่หลายท่านเข้าใจ เพราะดอกเบี้ยมันเกิดตั้งแต่วันที่ชำระครั้งก่อนหน้าแล้วครับ)
6.    กรณีที่การชำระครั้งที่ 2 ในเดือนเดียวกันก่อนจะตั้งบิลใหม่ ชำระเป็นจำนวนเงินที่ต่ำกว่าเงินงวด ในการชำระรอบถัดไป ระบบจะตัดเป็นเงินต้นค้างชำระ (Unpaid) เท่ากับ จำนวนเงินงวด-ยอดชำระครั้งก่อน ส่วนที่เหลือ จะรับชำระเป็นดอกเบี้ย

กรณีของท่านเจ้าของกระทู้ ได้ทำการชำระ 1,500 บาท ในวันที่ 30/09/56 ซึ่งระบบรับชำระ 1,500 บาท เป็นเงินต้นล่วงหน้า และจะรับชำระเงินต้นล่วงหน้าจนครบ 10,800 บาท (นับเป็น 1 งวด ตามเงื่อนไขข้อ 5 ) ทำให้ในงวดถัดไปที่ท่านเจ้าของกระทู้รับชำระ ระบบต้องนำส่วนเกินอีก 9,300 บาท ไปตัดเป็นเงินต้น จึงเหลือให้คิดดอกเบี้ยได้แค่ 1,500 บาท (ตามเงื่อนไขข้อ 6) ทั้งที่ความจริง เมื่อครบ 1 เดือน ดอกเบี้ยจะประมาณ 4,000-4,200 บาท (ขึ้นอยู่กับ ช่วงวันที่คิดดอกเบี้ย บางที 27 วัน บางที 30 วัน) ดังนั้น ในครั้งที่ 2 ที่ท่านเจ้าของกระทู้ชำระ ระบบจึงตัด ดอกเบี้ยส่วนที่เหลือทั้งหมด (ตามเงื่อนไขการรับชำระที่ระบบจะตัดดอกเบี้ยค้าง ก่อนเงินต้น) ส่วนที่เหลือจึงไปตัดเป็นเงินต้น แบบไม่กระทบบิล

ถึง คคห 46. ระบบนี้เหมือนกันทั่วประเทศครับ ไม่ว่าจะ ต่างจังหวัด หรือ กทม

edit แก้ไขคำผิดครับ