ขอเป็นหน้าม้าเชียร์ ซีรีย์ชุดนี้อีกสักกระทู้ >< ในเนื้อหาของกระทู้ที่แล้วผมพูดถึง แนว และ mood and tone รวมๆของเรื่อง ไม่ได้พูดถึงเนื้อเรื่องหรือโครงเรื่องหลักเลย หลายๆคนที่ไม่เคยรู้จักหรือไม่คิดจะติดตามเลยก็อาจจะยังขี้เกียจหรือเลือกที่จะยังไม่ติดติดตามอยู่ เพราะเกิดไปดูแล้วมันไม่ใช้แนวไม่ชอบก็จะเป็นการเสียเวลาดูอีก กระทู้นี้ผมก็จะขอให้ข้อมูลเพื่อนำไปตัดสินใจเพิ่มอีกสักหน่อยก็แล้วกัน ^^

แฟนฉัน หนังไทย ที่คิดว่าคงจะประทับอยู่ในใจของใครหลายๆคนมาแล้ว ด้วยการเล่าเรื่องราวที่พาเรากลับไปสู่ความทรงจำสมัยเรายังเป็นเด็กน้อย วิ่งเล่นไร้เดียงสา หัวเกรียน ติ่งหู และหากจะว่ากันจริงๆแล้ว เนื่อเรื่องมันก็ไม่มีอะไรเลย แค่ผู้ชายคนนึงที่กำลังจะไปงานแต่งงานของเพื่อนผู้ซึ่งเป็นรักแรกของเค้าเมื่อครั้งยังเป็นเด็กนั้นเอง ซึ่งหนังก็เริ่มเล่าถึงความทรงจำของชายคนนั้นออกมาเป็นภาพให้เราเห็น ซึ่งถ้าผู้ที่ชมอยู่เกิดทันยุคนั้น (อย่างผม แถมเป็นเด็กต่างจังหวัดด้วยอีกตะหาก) ก็จะพบว่ามันเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับเรา โตมากับเรา และเราเคยผ่านเรื่องเหล่านั้นมาโดยทั้งสิ้น มันอาจจะไม่ได้ดูแล้วตื่นเต้น หรือสนุกอะไรมากมาย แต่มันกลับทำให้เรารู้สึกอิ่มกับอะไรบางอย่างในหัวใจ จี๊ดไปกับบาง moment ที่เรามีประสบการณ์ร่วม และอาจถึงกับต้องเสียน้ำตาอย่างไม่รู้ตัวกับบางเหตุการณ์ในความทรงจำนั้นเอง หนังที่ทั้งเรื่องมีแต่เด็กๆเป็นนักแสดงนำ แต่มันกลับทำให้ผู้ใหญ่หลายๆคนตกอยู่ในภวังค์เป็นเวลาร่วม 2 ชั่วโมง เพราะมันได้เรียกความสวยงานในชีวิตบางอย่างที่เรากำลังจะลืมหรือลืมไปแล้วกลับมาให้เราได้คิดถึงมันอีกครั้ง

มาถึง reply 1994/1997 เรื่องหนึ่งกำลังฉายอยู่ ส่วนอีกเรื่องนั้นจบไปเรียบร้อยแล้ว สองเรื่องนี้ถูกสร้างและเขียนบทโดยทีมงานชุดเดียวกัน แถมโครงเรื่องหลักใหญ่ๆก็เรียกได้ว่าเหมือนเดิมเลยเป๊ะๆ (แต่ในส่วนของรายละเอียดย่อยๆนั้นต่างกันแน่นอน)
1994 ว่าด้วยหญิงสาวคนหนึ่งที่ในปัจจุบัน รื้อเอาวีดีโองานแต่งของตัวเองขึ้นมาดู แต่ ... ไม่บอกเราว่าเจ้าบ่าวนั้นเป็นใคร และซีรีย์ก็จะเล่าเรื่องราวพาเรากลับไปสู่ปี 1994 สมัยที่เธอยังเป็นสาวบ้านน้อกเข้ากรุงเพื่อมาเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อให้คนดูได้ลุ้นได้ติดตามว่าตกลงแล้วอิเจ้าบ่าวที่จะได้กะนางเอกเนี้ยมันเป็นใคร ตัวเรื่องจะเล่าเหตุการณ์โดดไปโดดมาระหว่างอดีตกับปัจจุบันหรือไปในปีต่างๆเพื่อหลอกล่อหักหลบคนดูอย่างเราให้ตามลุ้นบทลงเอยของนางเอก ซึ่งภาพที่เราเห็นมันก็เป็นแค่ความทรงจำ เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับคนธรรมดาอย่างเราๆนี้ละ แต่อย่างที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้นเกี่ยวกับแฟนฉัน ว่าในความไม่มีอะไรให้สนุกตื่นเต้นอินตามบทกับเรื่องราวบ้านๆของคนธรรมดาๆ มันกลับมีความสวยงามบางอย่างอยู่ มันกลับมีอะไรบางอย่างที่ดูแล้วรู้สึกหัวใจถูกเติมเต็ม บทที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ทุกอย่างถูกปูและจัดวางมาแล้วอย่างลงตัว (แค่ 3-4 ตอนที่ผ่านมา ผมดูแล้วยังรู้สึกฟินกว่าดูซีรีย์ดังๆในกระแสเต็มๆเรื่องซะอีก)
สำหรับ 1997 ที่จบไปแล้ว ก็เล่าแบบเดียวกัน นำเสนอแบบเดียวกัน โครงเรื่องแบบเดียวกัน หญิงสาวคนหนึ่งไปงานเลี้ยงรุ่นสมัยมัทยมปลาย และคนรักของเธอก็อยู่ในกลุ่มเพื่อนที่ไปงานนี้ แต่ ... ก้ไม่ยอมบอกว่าเป็นใครอีกนั้นละ ก็ต้องเป็นหน้าที่คนดูที่ต้องตามไปลุ้นไปดูเรื่องราวของเธอตั้งแต่ปี 1997 สมัยเป็นติ่งสาวมัธยมไล่กรี๊ดนักร้อง หนังสือหนังหาไม่สนใจที่จะเรียน และยังแสนจะเกรียนแบบสุดๆ เธอจะได้ลงเอยกับใครอะไรยังไงนั่น เรียกว่าต้องตามลุ้นกันถึงตอนจบเลยทีเดียว (แต่หลายๆคนก็คงจะเดาได้แบบชัวๆละว่าเรื่องนี้ใครพระเอก) สิ่งนึงที่ไม่คิดว่าจะเจอในเรื่องนี้เลยคือ ฉากฟินจิกหมอน จริงๆหมอนใบเดียวไม่น่าจะเอาอยู่ด้วยซ้ำ น่าจะเป็นทั้งที่นอนไปเลย มันดูแล้วฟินจริงๆนะ เพราะสิ่งที่เขาค่อยๆเล่าค่อยๆปูมาทั้งเรื่องนั้นละ พอมาถึงฉากฟินมันก็เลยดูสมเหตุสมผลสมความรู้สึกไปหมดซะทุกอย่าง
สรุปง่ายๆ ทั้งสองเรื่องเรียกได้ว่าไม่เน้นความเข้มข้นของเรื่องเลย ไม่มีวี่แววบอกล่วงหน้าว่าจะพีคฉากไหนเมื่อไหร่ ค่อยๆเล่าๆเนิบๆช้าๆ ให้เราได้รู้จักตัวละครไปทีละตัวๆ ซึมซับกับเหตุการณ์ไปทีละฉากๆ รู้สึกตัวอีกทีเราจะรู้สึกว่าเรารู้จักตัวละครตัวนั้นๆดีเหมือนเป็นเพื่อนเป็นครอบครัวของเรา รู้สึกตัวอีกทีเราก็จะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เรื่องได้ค่อยๆเล่ามา
ทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวแต่เพียงผู้เดียว ไม่ได้หมายความว่าเรื่องนี้เทพสุด ดีสุด เลิศเลอ ต้องดูให้ได้ หลายๆคนอาจจะไม่ชอบมันเลยก็ได้ แต่ถ้าใครที่ชอบอะไรที่มันดูแล้ว feel good ชอบความรู้สึกเช่นเดียวกับตอนที่ แฟนฉัน พาคุณกลับไปสู่วัยประถมเด็กน้อย reply ก็สามารถพาคุณกลับไปในความทรงจำสมัย มัธยม และมหาลัย ได้อย่างดีเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังแทรกไปด้วยหลายๆ moment ที่ดูแล้วรู้สึกอบอุ่นหัวใจ เรื่องนี้ไม่มีฉากเศร้าบีบน้ำตาคุณจากความรันทดของตัวละคร ไม่มีการเชือดเฉือนแก่งแย่งชิงดีจากตัวละครที่บอกยี่ห้อว่าฉันคือคือตัวร้าย และในหลายๆสิ่งที่เรามองเรารู้สึกว่ามันสวยงามในเรื่องนี้ มันก็มีและเกิดขึ้นกับชีวิตของเราจริงๆเช่นกัน เพียงแต่เราอาจจะเคยมองข้ามหรือหลงลืมมันไปเท่านั้นเอง หากคุณอ่านมาจนถึงตอนนี้ และชอบในความรู้สึกที่ผมกล่าวมา ก็ไม่อยากที่จะให้พลาดเรื่องนี้เลยจริงๆครับ ^^
ปล. สำหรับคนที่กลัวว่า 1994 จะสนุกสู้ 1997 ไม่ได้ เนื่องจากความล้มเหลวของซีรีย์ภาคต่อหลายๆเรื่อง ณ ตอนนี้ที่ออกมา 4 ตอน ผมว่าไม่มีอะไรที่ต้องห่วงเกี่ยวกับกรณีนั้นเลยละ ><
Reply 1994/1997 หากจะว่าไปมันก็คล้ายๆกับเป็น "แฟนฉัน" v. เกาหลี
แฟนฉัน หนังไทย ที่คิดว่าคงจะประทับอยู่ในใจของใครหลายๆคนมาแล้ว ด้วยการเล่าเรื่องราวที่พาเรากลับไปสู่ความทรงจำสมัยเรายังเป็นเด็กน้อย วิ่งเล่นไร้เดียงสา หัวเกรียน ติ่งหู และหากจะว่ากันจริงๆแล้ว เนื่อเรื่องมันก็ไม่มีอะไรเลย แค่ผู้ชายคนนึงที่กำลังจะไปงานแต่งงานของเพื่อนผู้ซึ่งเป็นรักแรกของเค้าเมื่อครั้งยังเป็นเด็กนั้นเอง ซึ่งหนังก็เริ่มเล่าถึงความทรงจำของชายคนนั้นออกมาเป็นภาพให้เราเห็น ซึ่งถ้าผู้ที่ชมอยู่เกิดทันยุคนั้น (อย่างผม แถมเป็นเด็กต่างจังหวัดด้วยอีกตะหาก) ก็จะพบว่ามันเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับเรา โตมากับเรา และเราเคยผ่านเรื่องเหล่านั้นมาโดยทั้งสิ้น มันอาจจะไม่ได้ดูแล้วตื่นเต้น หรือสนุกอะไรมากมาย แต่มันกลับทำให้เรารู้สึกอิ่มกับอะไรบางอย่างในหัวใจ จี๊ดไปกับบาง moment ที่เรามีประสบการณ์ร่วม และอาจถึงกับต้องเสียน้ำตาอย่างไม่รู้ตัวกับบางเหตุการณ์ในความทรงจำนั้นเอง หนังที่ทั้งเรื่องมีแต่เด็กๆเป็นนักแสดงนำ แต่มันกลับทำให้ผู้ใหญ่หลายๆคนตกอยู่ในภวังค์เป็นเวลาร่วม 2 ชั่วโมง เพราะมันได้เรียกความสวยงานในชีวิตบางอย่างที่เรากำลังจะลืมหรือลืมไปแล้วกลับมาให้เราได้คิดถึงมันอีกครั้ง
มาถึง reply 1994/1997 เรื่องหนึ่งกำลังฉายอยู่ ส่วนอีกเรื่องนั้นจบไปเรียบร้อยแล้ว สองเรื่องนี้ถูกสร้างและเขียนบทโดยทีมงานชุดเดียวกัน แถมโครงเรื่องหลักใหญ่ๆก็เรียกได้ว่าเหมือนเดิมเลยเป๊ะๆ (แต่ในส่วนของรายละเอียดย่อยๆนั้นต่างกันแน่นอน)
1994 ว่าด้วยหญิงสาวคนหนึ่งที่ในปัจจุบัน รื้อเอาวีดีโองานแต่งของตัวเองขึ้นมาดู แต่ ... ไม่บอกเราว่าเจ้าบ่าวนั้นเป็นใคร และซีรีย์ก็จะเล่าเรื่องราวพาเรากลับไปสู่ปี 1994 สมัยที่เธอยังเป็นสาวบ้านน้อกเข้ากรุงเพื่อมาเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อให้คนดูได้ลุ้นได้ติดตามว่าตกลงแล้วอิเจ้าบ่าวที่จะได้กะนางเอกเนี้ยมันเป็นใคร ตัวเรื่องจะเล่าเหตุการณ์โดดไปโดดมาระหว่างอดีตกับปัจจุบันหรือไปในปีต่างๆเพื่อหลอกล่อหักหลบคนดูอย่างเราให้ตามลุ้นบทลงเอยของนางเอก ซึ่งภาพที่เราเห็นมันก็เป็นแค่ความทรงจำ เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับคนธรรมดาอย่างเราๆนี้ละ แต่อย่างที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้นเกี่ยวกับแฟนฉัน ว่าในความไม่มีอะไรให้สนุกตื่นเต้นอินตามบทกับเรื่องราวบ้านๆของคนธรรมดาๆ มันกลับมีความสวยงามบางอย่างอยู่ มันกลับมีอะไรบางอย่างที่ดูแล้วรู้สึกหัวใจถูกเติมเต็ม บทที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ทุกอย่างถูกปูและจัดวางมาแล้วอย่างลงตัว (แค่ 3-4 ตอนที่ผ่านมา ผมดูแล้วยังรู้สึกฟินกว่าดูซีรีย์ดังๆในกระแสเต็มๆเรื่องซะอีก)
สำหรับ 1997 ที่จบไปแล้ว ก็เล่าแบบเดียวกัน นำเสนอแบบเดียวกัน โครงเรื่องแบบเดียวกัน หญิงสาวคนหนึ่งไปงานเลี้ยงรุ่นสมัยมัทยมปลาย และคนรักของเธอก็อยู่ในกลุ่มเพื่อนที่ไปงานนี้ แต่ ... ก้ไม่ยอมบอกว่าเป็นใครอีกนั้นละ ก็ต้องเป็นหน้าที่คนดูที่ต้องตามไปลุ้นไปดูเรื่องราวของเธอตั้งแต่ปี 1997 สมัยเป็นติ่งสาวมัธยมไล่กรี๊ดนักร้อง หนังสือหนังหาไม่สนใจที่จะเรียน และยังแสนจะเกรียนแบบสุดๆ เธอจะได้ลงเอยกับใครอะไรยังไงนั่น เรียกว่าต้องตามลุ้นกันถึงตอนจบเลยทีเดียว (แต่หลายๆคนก็คงจะเดาได้แบบชัวๆละว่าเรื่องนี้ใครพระเอก) สิ่งนึงที่ไม่คิดว่าจะเจอในเรื่องนี้เลยคือ ฉากฟินจิกหมอน จริงๆหมอนใบเดียวไม่น่าจะเอาอยู่ด้วยซ้ำ น่าจะเป็นทั้งที่นอนไปเลย มันดูแล้วฟินจริงๆนะ เพราะสิ่งที่เขาค่อยๆเล่าค่อยๆปูมาทั้งเรื่องนั้นละ พอมาถึงฉากฟินมันก็เลยดูสมเหตุสมผลสมความรู้สึกไปหมดซะทุกอย่าง
สรุปง่ายๆ ทั้งสองเรื่องเรียกได้ว่าไม่เน้นความเข้มข้นของเรื่องเลย ไม่มีวี่แววบอกล่วงหน้าว่าจะพีคฉากไหนเมื่อไหร่ ค่อยๆเล่าๆเนิบๆช้าๆ ให้เราได้รู้จักตัวละครไปทีละตัวๆ ซึมซับกับเหตุการณ์ไปทีละฉากๆ รู้สึกตัวอีกทีเราจะรู้สึกว่าเรารู้จักตัวละครตัวนั้นๆดีเหมือนเป็นเพื่อนเป็นครอบครัวของเรา รู้สึกตัวอีกทีเราก็จะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เรื่องได้ค่อยๆเล่ามา
ทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวแต่เพียงผู้เดียว ไม่ได้หมายความว่าเรื่องนี้เทพสุด ดีสุด เลิศเลอ ต้องดูให้ได้ หลายๆคนอาจจะไม่ชอบมันเลยก็ได้ แต่ถ้าใครที่ชอบอะไรที่มันดูแล้ว feel good ชอบความรู้สึกเช่นเดียวกับตอนที่ แฟนฉัน พาคุณกลับไปสู่วัยประถมเด็กน้อย reply ก็สามารถพาคุณกลับไปในความทรงจำสมัย มัธยม และมหาลัย ได้อย่างดีเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังแทรกไปด้วยหลายๆ moment ที่ดูแล้วรู้สึกอบอุ่นหัวใจ เรื่องนี้ไม่มีฉากเศร้าบีบน้ำตาคุณจากความรันทดของตัวละคร ไม่มีการเชือดเฉือนแก่งแย่งชิงดีจากตัวละครที่บอกยี่ห้อว่าฉันคือคือตัวร้าย และในหลายๆสิ่งที่เรามองเรารู้สึกว่ามันสวยงามในเรื่องนี้ มันก็มีและเกิดขึ้นกับชีวิตของเราจริงๆเช่นกัน เพียงแต่เราอาจจะเคยมองข้ามหรือหลงลืมมันไปเท่านั้นเอง หากคุณอ่านมาจนถึงตอนนี้ และชอบในความรู้สึกที่ผมกล่าวมา ก็ไม่อยากที่จะให้พลาดเรื่องนี้เลยจริงๆครับ ^^
ปล. สำหรับคนที่กลัวว่า 1994 จะสนุกสู้ 1997 ไม่ได้ เนื่องจากความล้มเหลวของซีรีย์ภาคต่อหลายๆเรื่อง ณ ตอนนี้ที่ออกมา 4 ตอน ผมว่าไม่มีอะไรที่ต้องห่วงเกี่ยวกับกรณีนั้นเลยละ ><