ผมเคยมีเรื่องราวเกี่ยวกับการขึ้นรถเมล์ ในเมื่อสมัยประมาณ 7-8 ปีที่แล้ว
ตอนนั้นผมเรียนอยู่ในโรงเรียนเเห่งหนึ่ง ซึ่งต้องนั่งรถสาย 117 อยู่เป็นประจำเจ้ารถสาย 117 ก็จะมีเส้นทางวิ่งคือ ท่าน้ำนนท์ ผ่าน
โรงเรียนเขมา สตรีนนท์ ผ่านพระจอมเกล้า เข้าบางโพธิ์ เลี้ยวซ้ายเเยกเกียกกาย เเล้วก็ตรงขึ้นสะพานเเดง เเล้วปลายทางไปสุดไหนก็ไม่รู้
ผมก็ลืม (แหะๆๆๆๆ)
ทุกๆเช้าผมก็จะนั่งรถคั้นนี้ด้วยอารมณ์เปื่อยๆ ตามสไตล์ของผมทุกวัน ซึ่งตอนนั้นผมก็อยู่ในช่วงวัยประมาณ ม.4
สิ่งที่จะติดตัวไปเรียนเป็นประจำคือ หนังสือเรียนของอาจารย์โหดๆ 1 เล่มถ้ามีคาบเรียนเเก สมุดหนาๆหน่อย 1 เล่ม
เเล้วก็สมุดอารต์ (ผมไม่รูว่าเขาเรียกว่าอะไร เป็นสมุดวาดภาพ ปกหนังสีดำ) ปากกาน้ำเงิน 1 เเท่ง เเล้วก็ดินสอ
(เครื่องเขียนอื่นๆ จะไปหายืมเอาข้างหน้า) ผมจะโดนอาจารย์เวร ด่าประจำว่าไม่เอากระเป๋ามาเรียน ทำตัวยังกะเด็กมหาลัย
คือชีวิตขึ้นรถเมลล์ช่วงนั้นจะเป็นอะไรทีเราสามารถรู้ล่วงหน้าได้เลย เช้ารอรถ (ผมรอรถที่พระราม 5 ตรงข้ามโรงเรียนพงษ์สวัสด์)
เดี๋ยวทีป้ายจะเจอพี่คนนั้นไปทำงานทีกรม ลงเเถวๆ กรมทหารเกียกกาย พอถึงป้ายนั้น ก็จะมีมนุษย์ป้าเจ้าเก่าขึ้น
(การขึ้นรถเมล์ให้ปลอดภัยคือการอยู่ห่างๆมนษย์ป้า ผมละเกรงกลัวพวกแกทีสุด รองๆจาก ไคจู) เดี๋ยวป้ายนี้มีนักเรียนขึ้น
เดี๋ยวป้ายหน้ามีพี่สาวมหาลัยสุดเอ็กซ์ที่กระดุมเเกพร้อมจะปริเเละแยกออกจากกันได้ตลอดเวลา (ประมาณว่า ข้าต้องการอิสรภาพ
ปลดปล่อยฉ๊านนนนน เฮือกกกก...อ่าาห์ผมขอบอกตรงนี้เลยนะครับ คนใส่อึดอัด คนดูเพลินนะครับ....

)
คือมันจะคล้ายๆเดจาวู ซึ่งถ้าเเตกต่างก็คงไม่มาก เพราะผมจะออกไปขึ้นรถเวลาเดิมๆ เเล้วรถก็จะเเน่นมากกกก
ได้นั่งซะส่วนน้อย ทุกๆเช้าก็ดำเนินไปเหมือนเดิมเฉกเช่นทุกวัน
แต่เเล้วในวันที่ผมได้ใชีวิตปกติเหมือนทุกที เเต่มันกลับเปลี่ยนไป ผมนั่งรถสาย 117 พอผมขึ้นรถ วันนี้กลับได้นั่ง คนก็น้อย
คิดในใจ สบายละกรู.... ยังงี้หลับยาวๆๆ พอได้หย่นก้นปุ๊บหลับเลยเหมือนกัน เวลาผ่านไปสักพักผมก็ตื่นขึ้นเพราะเเรงกระแทกบางอย่าง
ของรถพร้อมกับเสียงเบรกของรถ ผมก็เมาขี้ตาพยายามมองว่ามันเกิดอะไรขึ้น เห็นกระเป๋ารถเมล์ยืนปะทะกลอนเเร๊ปสดกับเเท็กซี่
ก็พอเดาได้ว่า รถชนกับเเท็กซี่ กระเป๋าก็เรียกผู้โดยสารลงรถ เเล้วบอกว่า ให้ขึ้นคันต่อไปใกล้มาถึงเเล้ว ไม่ต้องจ่ายค่าโดยสารเพิ่ม
ตอนนั้นเพิ่งนั่งมาได้ไม่ไกล เพิ่งจะเลยสตรีนนท์มาได้นิดเดียวเอง ก็ถอนหายใจ เฮ้ออ....นึกว่าวันดีๆเเล้วเเท้ๆ ซวยสุดๆ
ไปถึงสายรึเปล่าก็ไม่รู้ ผ่านไปได้สักพัก รถ 117 อีกคันก็มา เเต่คราวนี้เป็นรถ ปอ.(ไม่ใช่ปัญญาอ่อนนะ) คิดในใจ ก็ยังดีวะ
ได้นั่งรถเเอร์สบายๆ
พอขึ้นรถปุ๊บ ก็ว่างอีกได้นั่งเหมือนเดิม สบาย...เเอร์เย็นๆ นั่งเบาะเดี๋ยวๆ หัวพิงกระจก เเต่ยังไม่ทันจะได้หลับดี พอถึงช่วงหน้า
พระจอมเกล้าฯก็มีคนขึ้นมาก็ทำให้รถเต็มคัน มียืนบ้างคนสองคน รถก็วิ่งมาเรือยๆ เเอร์เย็นๆ มองทิวทัศน์รอบๆข้างผ่านกระจก
จนรถมาจอดป้ายต่อไป คือป้ายตรงข้ามวัดสร้อยทอง ผมก็นั่งคิดว่า เห้อ...เดี๋ยวก็มีหน้าเดิมๆขึ้น
เสียงรถเปิดประตูปั้ง!!... ผมก็หันไปมอง เเต่มันกลับไม่เหมือนทุกๆวันผมถึงกับช็อคไป 2 วินิดๆ คุณเคยเจอใครเเล้วหัวใจหยุดเต้นไหม
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันใช่ มันโดน ถ้าสมัยนั้นมีเพลง ฟิ้ว ฟึ่บ ปิ๊บๆ พี่จะเปิดให้น้องฟัง(55+) เป็นนักเรียนสาว น่ารัก มัดผมผูกโบ
มีจะงอย (ไม่รู้จะหาคำไหน) ปิดเเก้มที่เป็นสิวไว้สองข้าง(เรื่องสิวล้อเล่นนะ ไม่มีๆ 55+ หน้าใสๆ) สิ่งเเรกทีผมอยากรู้คือมอง
ว่าเธอเรียนที่ไหน สายตาหันไปปุ๊บมอง ตัวย่อได้ความว่า "ย.บ." (โรงเรียนโยธินบูรณะ) ปักจุดไว้ที่ปกหนึ่งจุดบ่งบอกว่าเธออยู่ ม.4
เเล้วเห็นสายตาของเธอหันมองไป-มา เหมือนหาที่นั่ง ผมเลยก็มองหน้ามองหลัง ว่าทีนั่งมันเต็ม เอาละกรู งานนี้สถานการณ์สร้างพระเอก
หันหน้าออกไปที่หน้าต่างพร้อมกระเเอมเล็กๆ เพื่อพร้อมที่จะลุกขึ้นไปบอกน้องเขาให้นั่ง ได้ทีก็ลุกขึ้นยืนพร้อมสกิดน้องๆเเบบเบาๆ
เเบบว่าโดนเเค่ปลายๆเสื้อ เเล้วพูดด้วยน้ำเสียงหล่อที่สุดว่า"น้องครับ"เเค่นั้นจริงๆ เเล้วน้องเขาก็หันมา เห็นว่าเราลุกให้นั่ง
น้องเหมือนจะพูดว่า"ขอบคุณค่ะ" เเต่เหมือนเราไม่ไดยินเพราะใจมันเต้นเเรงกว่า หรือน้องเขาพูดเเต่ออกเสียงเบามาก
เลยไม่ได้ยินเท่าไหร่ เเต่น้องเขาก็ก้มหัวขอบคุณให้เล็กๆ แล้วก็ยิ้มเล็กๆ พอน้องเขานั่งปุ๊บน้องเขาก็สะกิดเเล้วก็ชี้ไปที่สมุดที่เราถืออยู่
เเล้วบอกว่า "พี่ค่ะ หนูถือให้" เเล้วก็ยิ้ม โอ้ววว... นี่มันช่วงเวลาสวรรค์จริงๆ ผมเขินก็เลยส่ายหัวน้องไป เเต่น้อง เขาก็เหมือนไม่ยอม
แล้วเเบมือมาที่เรา ผมก็เลยยื่นให้เธอถือ โมเม้นท์นั้นมันทำให้เราเเบบเหมือนมีเเฟน ซึ่งก่อนหน้านั้นผมไม่เคยมีเเฟนเลย
จีบใครก็ไม่เป็น ขี้อาย ไม่ชอบคุยกับผู้หญิงในห้องเรียน พูดก็คำสองคำ เราชอบอยูกับเพื่อนมากกว่า เเต่พอเจอเหตุการณ์นี้
มันเป็นความสุข เหมือนเราลุกให้เเฟนนั่ง เเล้วเขาก็ถือกระเป๋าหรือของให้เรา ผมเเอบๆมองหน้าน้องเค้าเป็นระยะ
รู้สึกได้ว่าเขาก็อมยิ้ม (หรือไม่ก็คิดไปเอง55+) มันเป็นช่วงๆหนึ่งที่ผ่านไปช้าๆ เเบบละเอียดอ่อน เเบบได้ยินเสียงของหัวใจจริงๆ
นี่เหรอวะ "รักเเรกพบ"
ผมได้เเต่อมยิ้ม รถเมล์ผ่านไปป้ายเเล้วป้ายเล่า ผมฉุกคิดขึ้มาในใจได้ว่า เห้ย!!...มันจะถึงโรงเรียนน้องเขาเเล้วนี่หว่า ทำไงดีหวะ!!??
ช่วงนั้นเหมือนเราได้สติ รถมันเหมือนเร็วขึ้น ผ่านไปเเบบไวๆ ภาวนาให้รถติดนานๆ คิดในใจคงต้องทำอะไรสักอย่าง ได้เเต่กลัวๆกล้าๆ
ถ้าพูดจะพูดอะไร?? ถ้าขอเบอร์จะขอยังไง?? เขาขอกันเเบบไหนวะ?? โอ้ยๆๆๆๆๆๆ.....!!! จนรถขับมาถึงบนสะพานข้ามคลองบางซื่อ
น้องเขาลุกขึ้นเเล้วก็ยื่นหนังสือมาที่เรา เเล้วพูดประโยคสดท้ายกับเราว่า "ขอบคุณนะค่ะ" น้องเขาเดินไที่ประตูเเล้วกดกริ่ง พอถึงป้าย
รถจะจอด ก็เห็นว่าเธอเเอบหันมา เเต่ผมก็ได้เเค่มองเธอเดินลงไปเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย
เเล้วรถก็ออกจากป้ายพร้อมเสียงประตูรถ มันเหมือนโดนประตูบานนั้นปิดกันความรู้สึกไว้หมดสิ้น ผมได้เเต่มองผ่านหน้าต่างเห็นเธอวิ่ง
ข้ามถนน ได้เเต่คิดว่า อยากลงรถไปส่งเธอหน้าโรงเรียน จูงมือข้ามถนน นั่งรถไปโรงเรียนด้วยกันจัง มันก็ได้แต่โทษตัวเองว่าปอดเเหก
เลยทำให้เธอหลุดลอยไป วันนั้นทังวันก็ได้เเต่นั่งคิดเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเช้า
ตอนเย็นกลับมาบ้านก็ยังนั่งคิดๆๆ เลยคิดว่า มันผ่านมาเเล้วก็มันผ่านไป เเต่ถ้าเจออีกคราวนี้จะไม่ให้เธอผ่านไปเเบบนี้อีก
เลยผุดไอเดียเด็ดๆขึ้นมา ผมไปหยิบหนังสือเรียน ที่ตัวเองมีทั้งหมดมา เขียนชื่อ เขียนเบอร์ เเบบว่าบรรจงคัดสุดๆ พอดูๆมันไม่ ขิกขุ
ก็เติมจุด จุด จุด เเล้วก็รูปหัวใจนิดๆ ดาวหน่อยๆ เเหม...คงจะเข้าใจอารมณผมตอนนั้นนะ 55+ แผนของผมก็คือ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปเวลาเดิม
เเล้วยืนให้นั่งอีก เขาก็ต้องขอหนังสือเราไปถือ เเล้วเราก็เเกล้งลงก่อนโดยลืมหนังสือไว้ที่เธอ เเล้วหนังสือมีเบอร์เรา ยังไงก็ต้องโทรมา
เเผนเเจ่มเเมวไปเลย!!!! กั่กๆๆๆๆ!!
เช้ารุ่งขึ้มาถึงกะเวลาว่าประมาณ 20 นาที ไปให้สายกว่าทุกวันมันต้องเจอเเน่ๆ ขึ้นรถใจเต้นตุ๊บๆตั๊บๆ หนีบสมุดหนังไว้เเน่น
ผ่านหน้าเขมา ผ่านพระจอม เอาเเล้วๆๆ อีกเเยกเดียวก็ถึง รถตีโค้งหน้าวัดสร้อยทอง รถเริ่มค่อยๆจอด เอาเเล้วๆๆเสียงประตูค่อยๆเปิด
ผมหันไปมองเหมือนเดิม เเต่กลับไม่เห็นวี่เเววของเธอเลย ผมก็รู้สึกเสียใจนิดๆ เเต่ไม่เป็นไร ชีวิดยังมีพรุ่งนี้เสมอ พรุ่งนี้เริ่มต้นใหม่
วันที่สองลองนั่งรถปอ. เพราะคิดได้ว่าเราเจอกับเธอบนรถ ปอ. โอกาสเจอน่าจะเยอะกว่า เอาวะยอมเสียค่ารถมากว่าทุกครั้ง
เเต่ความพยามก็ไร้ผล เหมือนเดิม ไม่เห็นเธอเลยผมทำอยู่เเบบนี้เป็นเวลา 1 เทอมเต็มๆ โดยนั่งเเต่รถ ปอ. เเต่มันก็ผ่านไปเเบบ
ไม่เคยเจอเธออีกเลย เเต่ช่วงเวลานั้นก็คงเป็นความทรงจำดีๆในวัยใสๆ ของผม ที่นึกถึงก็อดอมยิ้มไม่ได้
ปล. เหตุการณ์นี้เป็นความรู้สึกฝั่งผมเองล้วนๆ น้องเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไร อาจจะคิดว่าผมโรคจิตก็เป็นได้ เเต่เรื่องการไม่มีรถ
มันก็มีมุมดีๆของคนนั่งรถเมล์เเบบผม เห็นอ่านกระทู้บินเดี่ยวเเล้วได้คู่ ถ้าบินเเล้วมันยังไม่ได้คู่ก็ลองมานั่งรถเมล์ไปทำงานดูบ้าง
หรือมันยังไม่ได้อีกก็พีวินมอเตอร์ไซด์อะครับ อาศัยความใกล้ชิดเอา 55555+
พักนี้มีกระทู้เกี่ยวกับรถเมล์ให้อ่าน เลยทำให้นึกถึงเรื่องบางเรื่องออก...
ตอนนั้นผมเรียนอยู่ในโรงเรียนเเห่งหนึ่ง ซึ่งต้องนั่งรถสาย 117 อยู่เป็นประจำเจ้ารถสาย 117 ก็จะมีเส้นทางวิ่งคือ ท่าน้ำนนท์ ผ่าน
โรงเรียนเขมา สตรีนนท์ ผ่านพระจอมเกล้า เข้าบางโพธิ์ เลี้ยวซ้ายเเยกเกียกกาย เเล้วก็ตรงขึ้นสะพานเเดง เเล้วปลายทางไปสุดไหนก็ไม่รู้
ผมก็ลืม (แหะๆๆๆๆ)
ทุกๆเช้าผมก็จะนั่งรถคั้นนี้ด้วยอารมณ์เปื่อยๆ ตามสไตล์ของผมทุกวัน ซึ่งตอนนั้นผมก็อยู่ในช่วงวัยประมาณ ม.4
สิ่งที่จะติดตัวไปเรียนเป็นประจำคือ หนังสือเรียนของอาจารย์โหดๆ 1 เล่มถ้ามีคาบเรียนเเก สมุดหนาๆหน่อย 1 เล่ม
เเล้วก็สมุดอารต์ (ผมไม่รูว่าเขาเรียกว่าอะไร เป็นสมุดวาดภาพ ปกหนังสีดำ) ปากกาน้ำเงิน 1 เเท่ง เเล้วก็ดินสอ
(เครื่องเขียนอื่นๆ จะไปหายืมเอาข้างหน้า) ผมจะโดนอาจารย์เวร ด่าประจำว่าไม่เอากระเป๋ามาเรียน ทำตัวยังกะเด็กมหาลัย
คือชีวิตขึ้นรถเมลล์ช่วงนั้นจะเป็นอะไรทีเราสามารถรู้ล่วงหน้าได้เลย เช้ารอรถ (ผมรอรถที่พระราม 5 ตรงข้ามโรงเรียนพงษ์สวัสด์)
เดี๋ยวทีป้ายจะเจอพี่คนนั้นไปทำงานทีกรม ลงเเถวๆ กรมทหารเกียกกาย พอถึงป้ายนั้น ก็จะมีมนุษย์ป้าเจ้าเก่าขึ้น
(การขึ้นรถเมล์ให้ปลอดภัยคือการอยู่ห่างๆมนษย์ป้า ผมละเกรงกลัวพวกแกทีสุด รองๆจาก ไคจู) เดี๋ยวป้ายนี้มีนักเรียนขึ้น
เดี๋ยวป้ายหน้ามีพี่สาวมหาลัยสุดเอ็กซ์ที่กระดุมเเกพร้อมจะปริเเละแยกออกจากกันได้ตลอดเวลา (ประมาณว่า ข้าต้องการอิสรภาพ
ปลดปล่อยฉ๊านนนนน เฮือกกกก...อ่าาห์ผมขอบอกตรงนี้เลยนะครับ คนใส่อึดอัด คนดูเพลินนะครับ....
คือมันจะคล้ายๆเดจาวู ซึ่งถ้าเเตกต่างก็คงไม่มาก เพราะผมจะออกไปขึ้นรถเวลาเดิมๆ เเล้วรถก็จะเเน่นมากกกก
ได้นั่งซะส่วนน้อย ทุกๆเช้าก็ดำเนินไปเหมือนเดิมเฉกเช่นทุกวัน
แต่เเล้วในวันที่ผมได้ใชีวิตปกติเหมือนทุกที เเต่มันกลับเปลี่ยนไป ผมนั่งรถสาย 117 พอผมขึ้นรถ วันนี้กลับได้นั่ง คนก็น้อย
คิดในใจ สบายละกรู.... ยังงี้หลับยาวๆๆ พอได้หย่นก้นปุ๊บหลับเลยเหมือนกัน เวลาผ่านไปสักพักผมก็ตื่นขึ้นเพราะเเรงกระแทกบางอย่าง
ของรถพร้อมกับเสียงเบรกของรถ ผมก็เมาขี้ตาพยายามมองว่ามันเกิดอะไรขึ้น เห็นกระเป๋ารถเมล์ยืนปะทะกลอนเเร๊ปสดกับเเท็กซี่
ก็พอเดาได้ว่า รถชนกับเเท็กซี่ กระเป๋าก็เรียกผู้โดยสารลงรถ เเล้วบอกว่า ให้ขึ้นคันต่อไปใกล้มาถึงเเล้ว ไม่ต้องจ่ายค่าโดยสารเพิ่ม
ตอนนั้นเพิ่งนั่งมาได้ไม่ไกล เพิ่งจะเลยสตรีนนท์มาได้นิดเดียวเอง ก็ถอนหายใจ เฮ้ออ....นึกว่าวันดีๆเเล้วเเท้ๆ ซวยสุดๆ
ไปถึงสายรึเปล่าก็ไม่รู้ ผ่านไปได้สักพัก รถ 117 อีกคันก็มา เเต่คราวนี้เป็นรถ ปอ.(ไม่ใช่ปัญญาอ่อนนะ) คิดในใจ ก็ยังดีวะ
ได้นั่งรถเเอร์สบายๆ
พอขึ้นรถปุ๊บ ก็ว่างอีกได้นั่งเหมือนเดิม สบาย...เเอร์เย็นๆ นั่งเบาะเดี๋ยวๆ หัวพิงกระจก เเต่ยังไม่ทันจะได้หลับดี พอถึงช่วงหน้า
พระจอมเกล้าฯก็มีคนขึ้นมาก็ทำให้รถเต็มคัน มียืนบ้างคนสองคน รถก็วิ่งมาเรือยๆ เเอร์เย็นๆ มองทิวทัศน์รอบๆข้างผ่านกระจก
จนรถมาจอดป้ายต่อไป คือป้ายตรงข้ามวัดสร้อยทอง ผมก็นั่งคิดว่า เห้อ...เดี๋ยวก็มีหน้าเดิมๆขึ้น
เสียงรถเปิดประตูปั้ง!!... ผมก็หันไปมอง เเต่มันกลับไม่เหมือนทุกๆวันผมถึงกับช็อคไป 2 วินิดๆ คุณเคยเจอใครเเล้วหัวใจหยุดเต้นไหม
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันใช่ มันโดน ถ้าสมัยนั้นมีเพลง ฟิ้ว ฟึ่บ ปิ๊บๆ พี่จะเปิดให้น้องฟัง(55+) เป็นนักเรียนสาว น่ารัก มัดผมผูกโบ
มีจะงอย (ไม่รู้จะหาคำไหน) ปิดเเก้มที่เป็นสิวไว้สองข้าง(เรื่องสิวล้อเล่นนะ ไม่มีๆ 55+ หน้าใสๆ) สิ่งเเรกทีผมอยากรู้คือมอง
ว่าเธอเรียนที่ไหน สายตาหันไปปุ๊บมอง ตัวย่อได้ความว่า "ย.บ." (โรงเรียนโยธินบูรณะ) ปักจุดไว้ที่ปกหนึ่งจุดบ่งบอกว่าเธออยู่ ม.4
เเล้วเห็นสายตาของเธอหันมองไป-มา เหมือนหาที่นั่ง ผมเลยก็มองหน้ามองหลัง ว่าทีนั่งมันเต็ม เอาละกรู งานนี้สถานการณ์สร้างพระเอก
หันหน้าออกไปที่หน้าต่างพร้อมกระเเอมเล็กๆ เพื่อพร้อมที่จะลุกขึ้นไปบอกน้องเขาให้นั่ง ได้ทีก็ลุกขึ้นยืนพร้อมสกิดน้องๆเเบบเบาๆ
เเบบว่าโดนเเค่ปลายๆเสื้อ เเล้วพูดด้วยน้ำเสียงหล่อที่สุดว่า"น้องครับ"เเค่นั้นจริงๆ เเล้วน้องเขาก็หันมา เห็นว่าเราลุกให้นั่ง
น้องเหมือนจะพูดว่า"ขอบคุณค่ะ" เเต่เหมือนเราไม่ไดยินเพราะใจมันเต้นเเรงกว่า หรือน้องเขาพูดเเต่ออกเสียงเบามาก
เลยไม่ได้ยินเท่าไหร่ เเต่น้องเขาก็ก้มหัวขอบคุณให้เล็กๆ แล้วก็ยิ้มเล็กๆ พอน้องเขานั่งปุ๊บน้องเขาก็สะกิดเเล้วก็ชี้ไปที่สมุดที่เราถืออยู่
เเล้วบอกว่า "พี่ค่ะ หนูถือให้" เเล้วก็ยิ้ม โอ้ววว... นี่มันช่วงเวลาสวรรค์จริงๆ ผมเขินก็เลยส่ายหัวน้องไป เเต่น้อง เขาก็เหมือนไม่ยอม
แล้วเเบมือมาที่เรา ผมก็เลยยื่นให้เธอถือ โมเม้นท์นั้นมันทำให้เราเเบบเหมือนมีเเฟน ซึ่งก่อนหน้านั้นผมไม่เคยมีเเฟนเลย
จีบใครก็ไม่เป็น ขี้อาย ไม่ชอบคุยกับผู้หญิงในห้องเรียน พูดก็คำสองคำ เราชอบอยูกับเพื่อนมากกว่า เเต่พอเจอเหตุการณ์นี้
มันเป็นความสุข เหมือนเราลุกให้เเฟนนั่ง เเล้วเขาก็ถือกระเป๋าหรือของให้เรา ผมเเอบๆมองหน้าน้องเค้าเป็นระยะ
รู้สึกได้ว่าเขาก็อมยิ้ม (หรือไม่ก็คิดไปเอง55+) มันเป็นช่วงๆหนึ่งที่ผ่านไปช้าๆ เเบบละเอียดอ่อน เเบบได้ยินเสียงของหัวใจจริงๆ
นี่เหรอวะ "รักเเรกพบ"
ผมได้เเต่อมยิ้ม รถเมล์ผ่านไปป้ายเเล้วป้ายเล่า ผมฉุกคิดขึ้มาในใจได้ว่า เห้ย!!...มันจะถึงโรงเรียนน้องเขาเเล้วนี่หว่า ทำไงดีหวะ!!??
ช่วงนั้นเหมือนเราได้สติ รถมันเหมือนเร็วขึ้น ผ่านไปเเบบไวๆ ภาวนาให้รถติดนานๆ คิดในใจคงต้องทำอะไรสักอย่าง ได้เเต่กลัวๆกล้าๆ
ถ้าพูดจะพูดอะไร?? ถ้าขอเบอร์จะขอยังไง?? เขาขอกันเเบบไหนวะ?? โอ้ยๆๆๆๆๆๆ.....!!! จนรถขับมาถึงบนสะพานข้ามคลองบางซื่อ
น้องเขาลุกขึ้นเเล้วก็ยื่นหนังสือมาที่เรา เเล้วพูดประโยคสดท้ายกับเราว่า "ขอบคุณนะค่ะ" น้องเขาเดินไที่ประตูเเล้วกดกริ่ง พอถึงป้าย
รถจะจอด ก็เห็นว่าเธอเเอบหันมา เเต่ผมก็ได้เเค่มองเธอเดินลงไปเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย
เเล้วรถก็ออกจากป้ายพร้อมเสียงประตูรถ มันเหมือนโดนประตูบานนั้นปิดกันความรู้สึกไว้หมดสิ้น ผมได้เเต่มองผ่านหน้าต่างเห็นเธอวิ่ง
ข้ามถนน ได้เเต่คิดว่า อยากลงรถไปส่งเธอหน้าโรงเรียน จูงมือข้ามถนน นั่งรถไปโรงเรียนด้วยกันจัง มันก็ได้แต่โทษตัวเองว่าปอดเเหก
เลยทำให้เธอหลุดลอยไป วันนั้นทังวันก็ได้เเต่นั่งคิดเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเช้า
ตอนเย็นกลับมาบ้านก็ยังนั่งคิดๆๆ เลยคิดว่า มันผ่านมาเเล้วก็มันผ่านไป เเต่ถ้าเจออีกคราวนี้จะไม่ให้เธอผ่านไปเเบบนี้อีก
เลยผุดไอเดียเด็ดๆขึ้นมา ผมไปหยิบหนังสือเรียน ที่ตัวเองมีทั้งหมดมา เขียนชื่อ เขียนเบอร์ เเบบว่าบรรจงคัดสุดๆ พอดูๆมันไม่ ขิกขุ
ก็เติมจุด จุด จุด เเล้วก็รูปหัวใจนิดๆ ดาวหน่อยๆ เเหม...คงจะเข้าใจอารมณผมตอนนั้นนะ 55+ แผนของผมก็คือ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปเวลาเดิม
เเล้วยืนให้นั่งอีก เขาก็ต้องขอหนังสือเราไปถือ เเล้วเราก็เเกล้งลงก่อนโดยลืมหนังสือไว้ที่เธอ เเล้วหนังสือมีเบอร์เรา ยังไงก็ต้องโทรมา
เเผนเเจ่มเเมวไปเลย!!!! กั่กๆๆๆๆ!!
เช้ารุ่งขึ้มาถึงกะเวลาว่าประมาณ 20 นาที ไปให้สายกว่าทุกวันมันต้องเจอเเน่ๆ ขึ้นรถใจเต้นตุ๊บๆตั๊บๆ หนีบสมุดหนังไว้เเน่น
ผ่านหน้าเขมา ผ่านพระจอม เอาเเล้วๆๆ อีกเเยกเดียวก็ถึง รถตีโค้งหน้าวัดสร้อยทอง รถเริ่มค่อยๆจอด เอาเเล้วๆๆเสียงประตูค่อยๆเปิด
ผมหันไปมองเหมือนเดิม เเต่กลับไม่เห็นวี่เเววของเธอเลย ผมก็รู้สึกเสียใจนิดๆ เเต่ไม่เป็นไร ชีวิดยังมีพรุ่งนี้เสมอ พรุ่งนี้เริ่มต้นใหม่
วันที่สองลองนั่งรถปอ. เพราะคิดได้ว่าเราเจอกับเธอบนรถ ปอ. โอกาสเจอน่าจะเยอะกว่า เอาวะยอมเสียค่ารถมากว่าทุกครั้ง
เเต่ความพยามก็ไร้ผล เหมือนเดิม ไม่เห็นเธอเลยผมทำอยู่เเบบนี้เป็นเวลา 1 เทอมเต็มๆ โดยนั่งเเต่รถ ปอ. เเต่มันก็ผ่านไปเเบบ
ไม่เคยเจอเธออีกเลย เเต่ช่วงเวลานั้นก็คงเป็นความทรงจำดีๆในวัยใสๆ ของผม ที่นึกถึงก็อดอมยิ้มไม่ได้
ปล. เหตุการณ์นี้เป็นความรู้สึกฝั่งผมเองล้วนๆ น้องเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไร อาจจะคิดว่าผมโรคจิตก็เป็นได้ เเต่เรื่องการไม่มีรถ
มันก็มีมุมดีๆของคนนั่งรถเมล์เเบบผม เห็นอ่านกระทู้บินเดี่ยวเเล้วได้คู่ ถ้าบินเเล้วมันยังไม่ได้คู่ก็ลองมานั่งรถเมล์ไปทำงานดูบ้าง
หรือมันยังไม่ได้อีกก็พีวินมอเตอร์ไซด์อะครับ อาศัยความใกล้ชิดเอา 55555+