วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2556
'ธนินท์'ชี้แนะวิธีล้างขาดทุนจำนำข้าว
'ธนินท์ เจียรวนนท์'ชี้แนะ วิธีล้างขาดทุนจำนำข้าว : รายงาน
เจ้าสัวซีพีแนะ 2 วิธีล้างขาดทุนจำนำข้าว จ่ายเงินชดเชยเกษตรกร ลดพื้นที่ปลูก 30% เลิกระบายข้าวสู่ตลาด ให้มุ่งขายจีนทำเอทานอล พร้อมหนุนโครงการข้าวแลกรถไฟฟ้าความเร็วสูง ระบุที่ผ่านมาดันใช้นโยบายราคาข้าวสูงช้าไป "รังสรรค์" เตรียมทบทวนปิดบัญชีข้าว 2 ปี เชื่อตัวเลขขาดทุนของเดิมคลาดเคลื่อนความเป็นจริง
การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยังคงเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายมีความเป็นห่วงต่อกรณีการใช้เงินจำนวนมหาศาลในการเข้าไปรับซื้อข้าวจากเกษตรกร ในขณะที่การขายข้าวทำได้ล่าช้า ประกอบกับมีการคาดการณ์ถึงผลขาดทุนของโครงการจำนำซึ่งสร้างความเสียหายสูงถึง 2 แสนล้านบาทต่อปี รวมเป็นผลขาดทุนระยะ 2 ปี จำนวน 4 แสนล้านบาทนั้น
นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ แนะรัฐบาล 2 แนวทางแก้ไข ด้วยมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรในการลดผลผลิตลง ซึ่งต้องรีบดำเนินการ และนำข้าวในสต็อกรัฐที่มีปัจจุบันออกมาขายให้จีน โดยไม่ควรนำออกมาระบายในตลาด
"ไม่มีประเทศไหนที่เขาจะไม่ช่วยเกษตรกร ซึ่งเราจะต้องช่วยให้ชาวนามีรายได้ดี ไม่ใช่เราไปแข่งเป็นที่ 1 ของตลาดข้าวโลก เราควรแข่งเป็นที่หนึ่งให้เกษตรกรมีความร่ำรวยดีกว่า โดยเชื่อว่าทั้ง 2 วิธีจะช่วยลดผลขาดทุนได้แน่ และจะมีกำไรด้วยซ้ำถ้ารัฐบาลทำเป็น เพราะเมื่อไทยขายข้าวออกไปมาก ผลผลิตในสต็อกก็ลดลง หรือการนำข้าวไปแลกรถไฟฟ้ากับจีน ผลผลิตข้าวในตลาดลดลง ขาดตลาด ราคาข้าวจะสูงขึ้น" นายธนินท์ กล่าว
ทั้งนี้ แนวทางแรกรัฐต้องเอาเงินไปจ้างเกษตรกรในพื้นที่ที่มีผลผลิตข้าวต่ำให้ลดการปลูกข้าวลง และหันไปปลูกพืชชนิดอื่นแทน โดยการจ่ายเงินให้เกษตรกร เช่น ในอัตราไร่ละ 1,500 บาท โดยควรลดพื้นที่การปลูกข้าวลงให้ได้ 30% แนวทางนี้รัฐบาลจะได้ไม่ต้องมาเก็บสต็อกข้าว และสามารถลดค่าใช้จ่ายในการบริการจัดการสต็อกข้าวลงได้อีก
ส่วนการจัดการข้าวในสต็อกรัฐบาล หรือข้าวเก็บเก่านั้น ให้นำมาออกมาขายถูกให้แก่จีน เพื่อไปทำเป็นเอทานอล และอย่านำข้าวในสต็อกออกมาขายในตลาด เพราะถ้าทำเช่นนั้นก็จะทำให้ข้าวล้นตลาดอีก เมื่อทุกคนรู้ว่าประเทศไทยมีข้าวล้นเขาก็จะไม่ซื้อ หรือจะเป็นข้าวและรถไฟก็ได้
"คนจีนถ้าเขากินข้าวมากขึ้นคนละ 1 ช้อนโต๊ะ ข้าวที่ไทยจะขายให้ก็ยังไม่พอด้วยซ้ำ และถ้าเขาซื้อสินค้าใดก็ตามเมื่อไร สินค้านั้นจะมีราคาสูงขึ้นแน่นอน ซึ่งคงต้องมีคนที่มีหัวทางธุรกิจเข้าไปช่วยเหลือรัฐบาล" นายธนินท์กล่าวและว่า เราอย่าไปบอกว่าเราเป็นที่หนึ่ง เพราะในแง่พื้นที่การผลิตแล้ว อันดับหนึ่งคือ จีน อินเดีย พม่า และไทย ตามลำดับ ซึ่งไทยอยู่ในอันดับที่ 4 เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การดำเนินโครงการยกระดับราคาข้าวให้สูงขึ้นที่ผ่านมา เราทำช้าไป และเมื่อทำก็เจออุปสรรค อย่างแรกคืออินเดีย จากที่ไม่เคยมีข้าวออกมาขายมาก่อน เขาก็เอามาขาย ซึ่งเมื่อใดที่ไทยมีน้ำมาก อย่างที่เกิดเหตุน้ำท่วม ทางอินเดียจะมีผลผลิตที่ดีมาก อย่างในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีมาก่อน นอกจากนี้ค่าเงินของอินเดียก็ลดลงไปหลายสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเขาขายถูกก็เท่ากับกำไรมาก ขณะที่ข้าวไทยนอกจากจะมีราคาสูงขึ้นแล้วยังเจอเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่าอีกด้วย ส่วนเวียดนามค่าเงินก็ลดลงไปมากเช่นกัน ทำให้เขาขายของในราคาถูก
นายธนินท์ กล่าวในงานฉลองครบรอบ 60 ปีบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ถึงโครงการลงทุนของรัฐบาล 2 ล้านล้านบาท ว่า รัฐบาลควรเร่งลงทุน โดยเฉพาะลงทุนรถไฟความเร็วสูงที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองทั้งในด้านของเศรษฐกิจที่พัฒนาและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะราคาที่ดินในประเทศสูงขึ้นมาก และทุกประเทศที่มีการลงทุนทำรถไฟฟ้าล้วนมีแต่ความเจริญก้าวหน้า
"เมื่อศึกษาจากประวัติศาสตร์ ไม่มีประเทศไหนลงทุนทำรถไฟฟ้าแล้วขาดทุนประเทศยากจน หรือประเทศล่มจมเป็นหนี้ เพราะคุ้มค่า ไม่ว่าเป็นจีน ไต้หวัน ประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ประโยชน์ที่ได้จะกลับมาหลายเท่าตัว ทั้งราคาที่ดินและสภาพเศรษฐกิจที่กลับคืนมา อาจจะมากกว่าเงินลงทุน 2 ล้านล้านบาท" นายธนินท์กล่าว
นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ว่าที่ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ตามที่มีกระแสข่าวว่า คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกฤดูกาลผลิตปี 54/55 และปี 55/56 หลังจำนำข้าวไปแล้ว 43.42 ล้านตัน มีผลขาดทุนปีละ 215,000 ล้านบาทนั้น หลังเข้ามารับตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลังจะทบทวนตัวเลขการปิดบัญชีใหม่อีกครั้ง โดยจะเข้าไปร่วมพิจารณาและทำงานร่วมกับ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง เนื่องจากตนคลุกคลีกับโครงการจำนำข้าวมานานในช่วงเป็นบอร์ด ธ.ก.ส.นานถึง 8 ปี อีกทั้งมีความเชี่ยวชาญด้านการทำบัญชีมาก่อน อย่างไรก็ตาม มองว่า ตัวเลขการขาดทุนใน 2 ปี สูงกว่าปีละ 2 แสนล้านบาทนั้น อาจสูงเกินจริง จึงต้องนำกลับมาดูใหม่อีกครั้ง หากรัฐบาลรับจำนำในราคา 15,000 บาทต่อตัน เมื่อราคาตลาดอยู่ที่ 12,000 บาทต่อตัน ก็จะขาดทุน 3,000 บาทต่อตัน หากรับจำนำ 12 ล้านตัน จึงขาดทุนประมาณ 36,000 ล้านบาทเท่านั้นในบางปี คงไม่สูงนับแสนล้านตามที่เป็นข่าว
"การเปิดบัญชี ต้องประเมินราคาข้าวคงเหลือในสต็อกของรัฐบาลด้วย เพื่อดูว่าข้าวที่เก็บไว้มีราคาเท่าใด เนื่องจากยังไม่ได้ขายออกไป จึงถือว่าเป็นสินค้ามีราคาต้องนำไปคำนวณปิดบัญชีด้วย ซึ่งควรเป็นราคาตลาดและหากกังวลว่าผู้ประเมินจะเข้าข้างรัฐบาล ก็พร้อมดึงผู้ประเมินอิสระภาคเอกชนเข้ามาร่วมประเมินราคาด้วย คาดว่าจะสรุปตัวเลขการปิดบัญชีใหม่ได้โดยเร็ว เพราะถือเป็นเรื่องแรกๆ ที่จะทำหลังรับตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง" นายรังสรรค์กล่าวและว่า มองโครงการจำนำข้าวเป็นโครงการที่ดี เพราะทำให้เงินถึงมือเกษตรกร
..........................
(หมายเหตุ : 'ธนินท์ เจียรวนนท์'ชี้แนะ วิธีล้างขาดทุนจำนำข้าว : รายงาน)
http://www.komchadluek.net/detail/20131027/171394.html
'ธนินท์'ชี้แนะวิธีล้างขาดทุนจำนำข้าว
'ธนินท์'ชี้แนะวิธีล้างขาดทุนจำนำข้าว
'ธนินท์ เจียรวนนท์'ชี้แนะ วิธีล้างขาดทุนจำนำข้าว : รายงาน
เจ้าสัวซีพีแนะ 2 วิธีล้างขาดทุนจำนำข้าว จ่ายเงินชดเชยเกษตรกร ลดพื้นที่ปลูก 30% เลิกระบายข้าวสู่ตลาด ให้มุ่งขายจีนทำเอทานอล พร้อมหนุนโครงการข้าวแลกรถไฟฟ้าความเร็วสูง ระบุที่ผ่านมาดันใช้นโยบายราคาข้าวสูงช้าไป "รังสรรค์" เตรียมทบทวนปิดบัญชีข้าว 2 ปี เชื่อตัวเลขขาดทุนของเดิมคลาดเคลื่อนความเป็นจริง
การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยังคงเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายมีความเป็นห่วงต่อกรณีการใช้เงินจำนวนมหาศาลในการเข้าไปรับซื้อข้าวจากเกษตรกร ในขณะที่การขายข้าวทำได้ล่าช้า ประกอบกับมีการคาดการณ์ถึงผลขาดทุนของโครงการจำนำซึ่งสร้างความเสียหายสูงถึง 2 แสนล้านบาทต่อปี รวมเป็นผลขาดทุนระยะ 2 ปี จำนวน 4 แสนล้านบาทนั้น
นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ แนะรัฐบาล 2 แนวทางแก้ไข ด้วยมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรในการลดผลผลิตลง ซึ่งต้องรีบดำเนินการ และนำข้าวในสต็อกรัฐที่มีปัจจุบันออกมาขายให้จีน โดยไม่ควรนำออกมาระบายในตลาด
"ไม่มีประเทศไหนที่เขาจะไม่ช่วยเกษตรกร ซึ่งเราจะต้องช่วยให้ชาวนามีรายได้ดี ไม่ใช่เราไปแข่งเป็นที่ 1 ของตลาดข้าวโลก เราควรแข่งเป็นที่หนึ่งให้เกษตรกรมีความร่ำรวยดีกว่า โดยเชื่อว่าทั้ง 2 วิธีจะช่วยลดผลขาดทุนได้แน่ และจะมีกำไรด้วยซ้ำถ้ารัฐบาลทำเป็น เพราะเมื่อไทยขายข้าวออกไปมาก ผลผลิตในสต็อกก็ลดลง หรือการนำข้าวไปแลกรถไฟฟ้ากับจีน ผลผลิตข้าวในตลาดลดลง ขาดตลาด ราคาข้าวจะสูงขึ้น" นายธนินท์ กล่าว
ทั้งนี้ แนวทางแรกรัฐต้องเอาเงินไปจ้างเกษตรกรในพื้นที่ที่มีผลผลิตข้าวต่ำให้ลดการปลูกข้าวลง และหันไปปลูกพืชชนิดอื่นแทน โดยการจ่ายเงินให้เกษตรกร เช่น ในอัตราไร่ละ 1,500 บาท โดยควรลดพื้นที่การปลูกข้าวลงให้ได้ 30% แนวทางนี้รัฐบาลจะได้ไม่ต้องมาเก็บสต็อกข้าว และสามารถลดค่าใช้จ่ายในการบริการจัดการสต็อกข้าวลงได้อีก
ส่วนการจัดการข้าวในสต็อกรัฐบาล หรือข้าวเก็บเก่านั้น ให้นำมาออกมาขายถูกให้แก่จีน เพื่อไปทำเป็นเอทานอล และอย่านำข้าวในสต็อกออกมาขายในตลาด เพราะถ้าทำเช่นนั้นก็จะทำให้ข้าวล้นตลาดอีก เมื่อทุกคนรู้ว่าประเทศไทยมีข้าวล้นเขาก็จะไม่ซื้อ หรือจะเป็นข้าวและรถไฟก็ได้
"คนจีนถ้าเขากินข้าวมากขึ้นคนละ 1 ช้อนโต๊ะ ข้าวที่ไทยจะขายให้ก็ยังไม่พอด้วยซ้ำ และถ้าเขาซื้อสินค้าใดก็ตามเมื่อไร สินค้านั้นจะมีราคาสูงขึ้นแน่นอน ซึ่งคงต้องมีคนที่มีหัวทางธุรกิจเข้าไปช่วยเหลือรัฐบาล" นายธนินท์กล่าวและว่า เราอย่าไปบอกว่าเราเป็นที่หนึ่ง เพราะในแง่พื้นที่การผลิตแล้ว อันดับหนึ่งคือ จีน อินเดีย พม่า และไทย ตามลำดับ ซึ่งไทยอยู่ในอันดับที่ 4 เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การดำเนินโครงการยกระดับราคาข้าวให้สูงขึ้นที่ผ่านมา เราทำช้าไป และเมื่อทำก็เจออุปสรรค อย่างแรกคืออินเดีย จากที่ไม่เคยมีข้าวออกมาขายมาก่อน เขาก็เอามาขาย ซึ่งเมื่อใดที่ไทยมีน้ำมาก อย่างที่เกิดเหตุน้ำท่วม ทางอินเดียจะมีผลผลิตที่ดีมาก อย่างในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีมาก่อน นอกจากนี้ค่าเงินของอินเดียก็ลดลงไปหลายสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเขาขายถูกก็เท่ากับกำไรมาก ขณะที่ข้าวไทยนอกจากจะมีราคาสูงขึ้นแล้วยังเจอเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่าอีกด้วย ส่วนเวียดนามค่าเงินก็ลดลงไปมากเช่นกัน ทำให้เขาขายของในราคาถูก
นายธนินท์ กล่าวในงานฉลองครบรอบ 60 ปีบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ถึงโครงการลงทุนของรัฐบาล 2 ล้านล้านบาท ว่า รัฐบาลควรเร่งลงทุน โดยเฉพาะลงทุนรถไฟความเร็วสูงที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองทั้งในด้านของเศรษฐกิจที่พัฒนาและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะราคาที่ดินในประเทศสูงขึ้นมาก และทุกประเทศที่มีการลงทุนทำรถไฟฟ้าล้วนมีแต่ความเจริญก้าวหน้า
"เมื่อศึกษาจากประวัติศาสตร์ ไม่มีประเทศไหนลงทุนทำรถไฟฟ้าแล้วขาดทุนประเทศยากจน หรือประเทศล่มจมเป็นหนี้ เพราะคุ้มค่า ไม่ว่าเป็นจีน ไต้หวัน ประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ประโยชน์ที่ได้จะกลับมาหลายเท่าตัว ทั้งราคาที่ดินและสภาพเศรษฐกิจที่กลับคืนมา อาจจะมากกว่าเงินลงทุน 2 ล้านล้านบาท" นายธนินท์กล่าว
นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ว่าที่ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ตามที่มีกระแสข่าวว่า คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกฤดูกาลผลิตปี 54/55 และปี 55/56 หลังจำนำข้าวไปแล้ว 43.42 ล้านตัน มีผลขาดทุนปีละ 215,000 ล้านบาทนั้น หลังเข้ามารับตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลังจะทบทวนตัวเลขการปิดบัญชีใหม่อีกครั้ง โดยจะเข้าไปร่วมพิจารณาและทำงานร่วมกับ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง เนื่องจากตนคลุกคลีกับโครงการจำนำข้าวมานานในช่วงเป็นบอร์ด ธ.ก.ส.นานถึง 8 ปี อีกทั้งมีความเชี่ยวชาญด้านการทำบัญชีมาก่อน อย่างไรก็ตาม มองว่า ตัวเลขการขาดทุนใน 2 ปี สูงกว่าปีละ 2 แสนล้านบาทนั้น อาจสูงเกินจริง จึงต้องนำกลับมาดูใหม่อีกครั้ง หากรัฐบาลรับจำนำในราคา 15,000 บาทต่อตัน เมื่อราคาตลาดอยู่ที่ 12,000 บาทต่อตัน ก็จะขาดทุน 3,000 บาทต่อตัน หากรับจำนำ 12 ล้านตัน จึงขาดทุนประมาณ 36,000 ล้านบาทเท่านั้นในบางปี คงไม่สูงนับแสนล้านตามที่เป็นข่าว
"การเปิดบัญชี ต้องประเมินราคาข้าวคงเหลือในสต็อกของรัฐบาลด้วย เพื่อดูว่าข้าวที่เก็บไว้มีราคาเท่าใด เนื่องจากยังไม่ได้ขายออกไป จึงถือว่าเป็นสินค้ามีราคาต้องนำไปคำนวณปิดบัญชีด้วย ซึ่งควรเป็นราคาตลาดและหากกังวลว่าผู้ประเมินจะเข้าข้างรัฐบาล ก็พร้อมดึงผู้ประเมินอิสระภาคเอกชนเข้ามาร่วมประเมินราคาด้วย คาดว่าจะสรุปตัวเลขการปิดบัญชีใหม่ได้โดยเร็ว เพราะถือเป็นเรื่องแรกๆ ที่จะทำหลังรับตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง" นายรังสรรค์กล่าวและว่า มองโครงการจำนำข้าวเป็นโครงการที่ดี เพราะทำให้เงินถึงมือเกษตรกร
..........................
(หมายเหตุ : 'ธนินท์ เจียรวนนท์'ชี้แนะ วิธีล้างขาดทุนจำนำข้าว : รายงาน)
http://www.komchadluek.net/detail/20131027/171394.html