สวัสดีค่ะ เราอ่านเวปพันทิปมานานมาก แต่พึ่งมีโอกาสมาสมัคร และมาตั้งกระทู้คะ
เราคบกันแฟนคนนี้ตอนเราเรียนจบแล้ว มาเจอเค้าจากเฟชบุคค่ะ ช่วงนั้นเราเลิกกับแฟนเก่าพอดี และมาเจอเค้า ช่วงนั้นเค้ามีปัญหา เราตอบเค้าทางข้อความเฟชบุค คอยปลอบเค้า ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรเลยค่ะ คิดว่าเค้าคงมีความทุกข์มาก อาจอยากมีคนคอยรับฟัง เรารับฟังและปลอบเค้าทางเฟชบุคอยู่นานเหมือนกันค่ะ ประมาน1เดือน
หลังจากที่คุยกันมาสักพักเค้าขอเบอร์โทรเรา และเราก็เริ่มคุยกัน ก่อนหน้านั้นเรามีคนที่เข้ามาอยู่2คน แต่เค้าดูเหมือนจะเป็นคนที่ดีที่สุด โทรหาเราตลอดเวลา เป็นห่วงตลอด หลังจากคุยกันไม่นาน เราก็ได้นัดเจอทานข้าวกลางวันกันค่ะ
ครั้งแรกที่เราเจอเค้าก็ไม่ได้ประทับใจอะไรมากค่ะ เค้าอายุมากกว่าเราหลายปี ทานข้าวเสร็จเค้าก็ส่งเรากลับอพาท์เม้นท์ เป็นแบบนี้อยุ่ประมาน2เดือน
เค้าก็บอกว่าตกลงเราเป็นแฟนกันนะ
หลังจากที่ตกลงคบเป็นแฟนกัน เค้าก็มีข้อห้ามต่างๆกับเรามากมาย ห้ามแต่งตัวเยอะ ห้ามใส่กางเกงขาสั้น จากที่เราเคยแต่งตัวเปรี้ยวๆ เราก็ปรับเปลี่ยนตัวเองเป็นคนละคนเลยค่ะ เราเคยนัดเจอเพื่อนเก่าสมัยมอต้น นัดเจอที่สยาม เพื่อนตกใจ ว่าเราเปลี่ยนไปมากๆ และบอกเราว่า ให้เราเป็นตัวของตัวเองเถอะ
เรายอมรับเลยค่ะ ว่าเราไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง เราไม่ค่อยได้เจอเพื่อนอีก จะเจอก็แต่เพื่อนเค้า ไม่ได้แต่งตัวที่ชอบเหมือนสมัยก่อน (เราไม่ได้แต่งตัวโป๊นะคะ )เหมือนวัยรุ่นปกติทั่วไปคะ
แต่เราก็ปรับตัวเราและคิดว่าเค้าคงเป็นห่วงเราจริงๆ แค่นี้เราปรับได้อยู่แล้ว
แต่บางอย่างเราก็รุ้สึกเบื่อ และก็เหมือนไม่ใช่ตัวของตัวเองตลอดคะ
พอเริ่มคบกัน เราได้เห็นอะไรมากขึ้น เวลาเรากดเงินที่ตุ้เอทีเอ็ม เค้าจะดูตลอด ตอนแรกๆเราก็ว่าเค้าว่าเราไม่เคยดูของเค้าเลยคะ ทำไมต้องมายื่นดู (งานที่เราทำเป็นงานครอบครัว มีรายได้พอสมควรคะ)
แต่เค้าไม่ได้ทำอะไรที่เป็นงานประจำ เค้าจะบอกเราเสมอว่าบ้านเค้ามีคะ แรกๆเรายังไม่รู้สึกอะไรเท่าไร่ค่ะ เพราะเรายังไม่ได้คิดถึงเรื่องแต่งงงานค่ะ
หลังจากนั้นเราเริ่มเห็นอะไรๆมากขึ่น เค้าจะไม่จ่ายเองทั้งค่าน้ำมัน ค่าโทรศัพท์ ค่าอะไรต่างๆที่บ้านเค้าเป็นคนจ่ายค่ะ เราเริ่มรุ้สึกว่าเค้าโตขนาดนี้ แต่ทำไมไม่รับผิดชอบตัวเองเลย เรารู้สึกตลอดและก็ได้แต่ปล่อยให้มันผ่านไปค่ะ
เข้าสู่ปีที่สอง เราลืมบอกเค้าเป็นคนทานเหล้าเยอะค่ะ ทานบ่อยมากๆ และเรื่องการงานก็ยังเหมือนเดิมคะ คือไม่มีอะไรประจำ ในขณะที่อายุสามสิบกว่าแล้ว และดูเหมือนเค้าก็ไม่ซี้เรียสอะไรมากมายที่บ้านเค้ายังเป็นคนจ่ายเหมือนเดิมค่ะ เค้าเริ่มพูดเรื่องแต่งงาน แต่เราคิดว่าเราคงไม่พร้อมที่จะแต่งตอนนี้ เราคิดว่าเรายังอยากอยู่กับพ่อแม่เรา และเราคิดว่าเค้าเป็นคนไม่ขยันเลยค่ะ ทานเหล้าบ่อย จะดูแลเราได้หรือเปล่า
จนมาถึงประเด็นสำคัณค่ะ เราพุดให้เค้าทำงานตลอด และเลิกทานเหล้าบ้าง ทานให้น้อยลง ไม่ได้ขอให้เค้างดไปเลยนะคะ เพราะรู้ว่าเค้าก็มีสังคมของเค้าอยู่
ในวันที่เราพูดให้เค้ามั่นคง อยากให้เค้าทำงาน เค้าพูดว่า ชีวิตเค้าไม่เคยต้องดิ้นรน อยากได้อะไรก็ได้ อย่ามาบีบบังคับ เราฟังแล้วก็ร้องไห้โฮออกมาเลยค่ะ เค้าก็ยังพูดต่อ (ตอนนั้นเค้าทานเหล้ามาคะ) เราเริ่มรู้สึกหมดหวังแล้ว สองสามปีตลอดมาที่คบกัน เราอยากให้เค้าทำงานมากๆค่ะ เราคิดว่าถ้าเค้าทำงาน เค้าจะมีความรับผิดชอบมากขึ้น ทั้งต่อตนเองและคนอื่นๆ แต่เรารู้สึกหมดหวัง เหมือนเค้าคิดแบบนี้จากจิตสำนึกของเค้าจริงๆ เราก็เลยพุดว่า ไม่ว่าจะอยู่กับเรา หรืออยู่กับคนอื่น เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญนะ คนเราจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่ทำงาน เราขอให้เค้าทำอะไรก็ได้นะคะ แค่อย่าให้ว่าง แล้วต้องไปทานเหล้า แต่พอเค้าพูดแบบนี้มา เรารู้สึกว่ามาจากจิตสำนึกของเค้าจริงๆ
หลังจากเรื่องนี้ เราเริ่มไม่เหมือนเดิมกันค่ะ เราไปเจอเค้าแต่เราก็รุ้สึกไม่เหมือนเดิม หมดหวัง แล้วก็ไม่อยากพุดอะไรมากแล้ว เราพุดมาตลอดสองสามปีคะ
เค้าบอกว่า เค้าทำเท่าที่ทำได้ เราก็เริ่มรุ้สึกว่าเค้าคงจะดูแลเราไม่ได้จริงๆ เพราะตัวเค้าเองยังดูแลตัวเองไม่ได้
เราลืมบอกไปว่า ที่บ้านเค้าพอมีที่จะดูแลเค้านะคะ แต่ก็ไม่ได้มากมายค่ะ แต่เราก็มานึกย้อนดูตัวเราเอง ที่บ้านเราเราก็ไม่เคยลำบาก พอเราเรียนจบทำงาน เราสามารถดูแลครอบครัวเราได้ เสียค่าใช้จ่ายต่างๆในบ้าน ให้พ่อแม่ได้ทุกเดือน และส่งเงินเดือนน้องอีกทุกเดือน
เราบอกเค้าว่า ความคิดเรากับเค้าต่างกันมากๆ เราก็ไม่เคยลำบาก แต่เรานึกดิ้นรนตลอด เราอยากให้พ่อแม่เราสบาย ไม่ห่วงในตัวเรา อะไรที่เราทำให้พ่อแม่ได้เราทำเราซื้อให้หมดคะ
เราเริ่มทุกข์ใจมาก คุยกับน้องชาย ว่าถ้าพี่ไม่มีแฟน หรือไม่ได้แต่งงาน เพราะพี่ไม่ค่อยได้ไปไหน ทำงานที่บ้าน น้องอย่าทิ้งพี่นะ พี่จะเก็บเงิน เดี่ยวจะทำประกันชีวิตให้อีก เพราะเราไม่มีอะไรที่เบิกได้ และคิดว่าถ้าน้องจบมาไม่ได้ทำงานออฟฟิต เราจะทำประกันชีวิตและสุขภาพให้น้องด้วย ส่วนพ่อกับแม่เราเป็นข้าราชการเบิกได้ เราไม่ต้องห่วงมากคะ (น้องชายเราตอบว่า ไม่ทิ้งหรอกนะ เรามีบุณคุณกับน้องมาก จะทิ้งได้ยังไง ) เราก็น้ำตาไหลเลยค่ะ น้องเรายังเรียนไม่จบนะคะ แต่เป็นเด็กดีพอสมควรคะ รุ้จักใช้เงิน และก็รักพ่อแม่เหมือนเราค่ะ
เราเริ่มปลง และคิดว่าจะทำยังไงดี ให้มีทางออกที่ดีที่สุด เราไม่อยากทำร้ายจิตใจเค้า และครอบครัวเค้าก็ดีกับเรามากๆค่ะ
แต่ในความเป็นจริงทุกวันนี้ เราคิดว่าสภาพสังคมอะไรหลายๆอย่างมันแพงขึ้น ต่อให้เรามีเงินมากๆ แต่เราไม่รุ่จักหาไม่รู้จักเก็บมันก็หมด และเราคิดว่า เราอาจเปลี่ยนความคิดเค้าไม่ได้ เพราะเค้าเป็นอย่างนี้มานานมากแล้ว
สุดท้ายนี้ เราหวังว่า ไม่ว่าเราจะคบกันได้หรือไม่ได้ เราอยากทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพราะเราก็เป็นห่วงเค้าคะ เราคิดว่า การงานสำคัญจริงๆ เราไม่ควรเป็นภาระกับพ่อแม่ ครอบครัวคะ
เราปรึกษาพี่ที่สนิท เค้าบอกว่า ตัวเราเลี้ยงตัวเราเองกับครอบครัวเราได้สบายๆ ถ้าจะต้องไปลำบากอย่าเลย นึกถึงพ่อแม่เราไว้ และพี่ก็บอกว่า ถ้าเค้าไม่ขยัน หรือไม่รู้จักทำมาหากิน ต่อไปเรานี่แหละที่จะลำบาก เพราะต้องเลี้ยงตัวเอง และเลี้ยงเค้าด้วย ทำให้เราได้ข้อคิดคะ
เราอ่านในพันทิบมานาน มีปัณหาหลายๆอย่างที่เราอ่านแล้วคิดว่า ถ้าเป็นเราเราจะแก้ปัณหายังไง พอมาเจอปัณหากับตัวเอง เราก็อยากปรึกษาหรือได้ข้อคิดคะ
ขอบคุณมากคะ
เราจะไปด้วยกันได้ไหม ถ้าเป็นแบบนี้
เราคบกันแฟนคนนี้ตอนเราเรียนจบแล้ว มาเจอเค้าจากเฟชบุคค่ะ ช่วงนั้นเราเลิกกับแฟนเก่าพอดี และมาเจอเค้า ช่วงนั้นเค้ามีปัญหา เราตอบเค้าทางข้อความเฟชบุค คอยปลอบเค้า ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรเลยค่ะ คิดว่าเค้าคงมีความทุกข์มาก อาจอยากมีคนคอยรับฟัง เรารับฟังและปลอบเค้าทางเฟชบุคอยู่นานเหมือนกันค่ะ ประมาน1เดือน
หลังจากที่คุยกันมาสักพักเค้าขอเบอร์โทรเรา และเราก็เริ่มคุยกัน ก่อนหน้านั้นเรามีคนที่เข้ามาอยู่2คน แต่เค้าดูเหมือนจะเป็นคนที่ดีที่สุด โทรหาเราตลอดเวลา เป็นห่วงตลอด หลังจากคุยกันไม่นาน เราก็ได้นัดเจอทานข้าวกลางวันกันค่ะ
ครั้งแรกที่เราเจอเค้าก็ไม่ได้ประทับใจอะไรมากค่ะ เค้าอายุมากกว่าเราหลายปี ทานข้าวเสร็จเค้าก็ส่งเรากลับอพาท์เม้นท์ เป็นแบบนี้อยุ่ประมาน2เดือน
เค้าก็บอกว่าตกลงเราเป็นแฟนกันนะ
หลังจากที่ตกลงคบเป็นแฟนกัน เค้าก็มีข้อห้ามต่างๆกับเรามากมาย ห้ามแต่งตัวเยอะ ห้ามใส่กางเกงขาสั้น จากที่เราเคยแต่งตัวเปรี้ยวๆ เราก็ปรับเปลี่ยนตัวเองเป็นคนละคนเลยค่ะ เราเคยนัดเจอเพื่อนเก่าสมัยมอต้น นัดเจอที่สยาม เพื่อนตกใจ ว่าเราเปลี่ยนไปมากๆ และบอกเราว่า ให้เราเป็นตัวของตัวเองเถอะ
เรายอมรับเลยค่ะ ว่าเราไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง เราไม่ค่อยได้เจอเพื่อนอีก จะเจอก็แต่เพื่อนเค้า ไม่ได้แต่งตัวที่ชอบเหมือนสมัยก่อน (เราไม่ได้แต่งตัวโป๊นะคะ )เหมือนวัยรุ่นปกติทั่วไปคะ
แต่เราก็ปรับตัวเราและคิดว่าเค้าคงเป็นห่วงเราจริงๆ แค่นี้เราปรับได้อยู่แล้ว
แต่บางอย่างเราก็รุ้สึกเบื่อ และก็เหมือนไม่ใช่ตัวของตัวเองตลอดคะ
พอเริ่มคบกัน เราได้เห็นอะไรมากขึ้น เวลาเรากดเงินที่ตุ้เอทีเอ็ม เค้าจะดูตลอด ตอนแรกๆเราก็ว่าเค้าว่าเราไม่เคยดูของเค้าเลยคะ ทำไมต้องมายื่นดู (งานที่เราทำเป็นงานครอบครัว มีรายได้พอสมควรคะ)
แต่เค้าไม่ได้ทำอะไรที่เป็นงานประจำ เค้าจะบอกเราเสมอว่าบ้านเค้ามีคะ แรกๆเรายังไม่รู้สึกอะไรเท่าไร่ค่ะ เพราะเรายังไม่ได้คิดถึงเรื่องแต่งงงานค่ะ
หลังจากนั้นเราเริ่มเห็นอะไรๆมากขึ่น เค้าจะไม่จ่ายเองทั้งค่าน้ำมัน ค่าโทรศัพท์ ค่าอะไรต่างๆที่บ้านเค้าเป็นคนจ่ายค่ะ เราเริ่มรุ้สึกว่าเค้าโตขนาดนี้ แต่ทำไมไม่รับผิดชอบตัวเองเลย เรารู้สึกตลอดและก็ได้แต่ปล่อยให้มันผ่านไปค่ะ
เข้าสู่ปีที่สอง เราลืมบอกเค้าเป็นคนทานเหล้าเยอะค่ะ ทานบ่อยมากๆ และเรื่องการงานก็ยังเหมือนเดิมคะ คือไม่มีอะไรประจำ ในขณะที่อายุสามสิบกว่าแล้ว และดูเหมือนเค้าก็ไม่ซี้เรียสอะไรมากมายที่บ้านเค้ายังเป็นคนจ่ายเหมือนเดิมค่ะ เค้าเริ่มพูดเรื่องแต่งงาน แต่เราคิดว่าเราคงไม่พร้อมที่จะแต่งตอนนี้ เราคิดว่าเรายังอยากอยู่กับพ่อแม่เรา และเราคิดว่าเค้าเป็นคนไม่ขยันเลยค่ะ ทานเหล้าบ่อย จะดูแลเราได้หรือเปล่า
จนมาถึงประเด็นสำคัณค่ะ เราพุดให้เค้าทำงานตลอด และเลิกทานเหล้าบ้าง ทานให้น้อยลง ไม่ได้ขอให้เค้างดไปเลยนะคะ เพราะรู้ว่าเค้าก็มีสังคมของเค้าอยู่
ในวันที่เราพูดให้เค้ามั่นคง อยากให้เค้าทำงาน เค้าพูดว่า ชีวิตเค้าไม่เคยต้องดิ้นรน อยากได้อะไรก็ได้ อย่ามาบีบบังคับ เราฟังแล้วก็ร้องไห้โฮออกมาเลยค่ะ เค้าก็ยังพูดต่อ (ตอนนั้นเค้าทานเหล้ามาคะ) เราเริ่มรู้สึกหมดหวังแล้ว สองสามปีตลอดมาที่คบกัน เราอยากให้เค้าทำงานมากๆค่ะ เราคิดว่าถ้าเค้าทำงาน เค้าจะมีความรับผิดชอบมากขึ้น ทั้งต่อตนเองและคนอื่นๆ แต่เรารู้สึกหมดหวัง เหมือนเค้าคิดแบบนี้จากจิตสำนึกของเค้าจริงๆ เราก็เลยพุดว่า ไม่ว่าจะอยู่กับเรา หรืออยู่กับคนอื่น เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญนะ คนเราจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่ทำงาน เราขอให้เค้าทำอะไรก็ได้นะคะ แค่อย่าให้ว่าง แล้วต้องไปทานเหล้า แต่พอเค้าพูดแบบนี้มา เรารู้สึกว่ามาจากจิตสำนึกของเค้าจริงๆ
หลังจากเรื่องนี้ เราเริ่มไม่เหมือนเดิมกันค่ะ เราไปเจอเค้าแต่เราก็รุ้สึกไม่เหมือนเดิม หมดหวัง แล้วก็ไม่อยากพุดอะไรมากแล้ว เราพุดมาตลอดสองสามปีคะ
เค้าบอกว่า เค้าทำเท่าที่ทำได้ เราก็เริ่มรุ้สึกว่าเค้าคงจะดูแลเราไม่ได้จริงๆ เพราะตัวเค้าเองยังดูแลตัวเองไม่ได้
เราลืมบอกไปว่า ที่บ้านเค้าพอมีที่จะดูแลเค้านะคะ แต่ก็ไม่ได้มากมายค่ะ แต่เราก็มานึกย้อนดูตัวเราเอง ที่บ้านเราเราก็ไม่เคยลำบาก พอเราเรียนจบทำงาน เราสามารถดูแลครอบครัวเราได้ เสียค่าใช้จ่ายต่างๆในบ้าน ให้พ่อแม่ได้ทุกเดือน และส่งเงินเดือนน้องอีกทุกเดือน
เราบอกเค้าว่า ความคิดเรากับเค้าต่างกันมากๆ เราก็ไม่เคยลำบาก แต่เรานึกดิ้นรนตลอด เราอยากให้พ่อแม่เราสบาย ไม่ห่วงในตัวเรา อะไรที่เราทำให้พ่อแม่ได้เราทำเราซื้อให้หมดคะ
เราเริ่มทุกข์ใจมาก คุยกับน้องชาย ว่าถ้าพี่ไม่มีแฟน หรือไม่ได้แต่งงาน เพราะพี่ไม่ค่อยได้ไปไหน ทำงานที่บ้าน น้องอย่าทิ้งพี่นะ พี่จะเก็บเงิน เดี่ยวจะทำประกันชีวิตให้อีก เพราะเราไม่มีอะไรที่เบิกได้ และคิดว่าถ้าน้องจบมาไม่ได้ทำงานออฟฟิต เราจะทำประกันชีวิตและสุขภาพให้น้องด้วย ส่วนพ่อกับแม่เราเป็นข้าราชการเบิกได้ เราไม่ต้องห่วงมากคะ (น้องชายเราตอบว่า ไม่ทิ้งหรอกนะ เรามีบุณคุณกับน้องมาก จะทิ้งได้ยังไง ) เราก็น้ำตาไหลเลยค่ะ น้องเรายังเรียนไม่จบนะคะ แต่เป็นเด็กดีพอสมควรคะ รุ้จักใช้เงิน และก็รักพ่อแม่เหมือนเราค่ะ
เราเริ่มปลง และคิดว่าจะทำยังไงดี ให้มีทางออกที่ดีที่สุด เราไม่อยากทำร้ายจิตใจเค้า และครอบครัวเค้าก็ดีกับเรามากๆค่ะ
แต่ในความเป็นจริงทุกวันนี้ เราคิดว่าสภาพสังคมอะไรหลายๆอย่างมันแพงขึ้น ต่อให้เรามีเงินมากๆ แต่เราไม่รุ่จักหาไม่รู้จักเก็บมันก็หมด และเราคิดว่า เราอาจเปลี่ยนความคิดเค้าไม่ได้ เพราะเค้าเป็นอย่างนี้มานานมากแล้ว
สุดท้ายนี้ เราหวังว่า ไม่ว่าเราจะคบกันได้หรือไม่ได้ เราอยากทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพราะเราก็เป็นห่วงเค้าคะ เราคิดว่า การงานสำคัญจริงๆ เราไม่ควรเป็นภาระกับพ่อแม่ ครอบครัวคะ
เราปรึกษาพี่ที่สนิท เค้าบอกว่า ตัวเราเลี้ยงตัวเราเองกับครอบครัวเราได้สบายๆ ถ้าจะต้องไปลำบากอย่าเลย นึกถึงพ่อแม่เราไว้ และพี่ก็บอกว่า ถ้าเค้าไม่ขยัน หรือไม่รู้จักทำมาหากิน ต่อไปเรานี่แหละที่จะลำบาก เพราะต้องเลี้ยงตัวเอง และเลี้ยงเค้าด้วย ทำให้เราได้ข้อคิดคะ
เราอ่านในพันทิบมานาน มีปัณหาหลายๆอย่างที่เราอ่านแล้วคิดว่า ถ้าเป็นเราเราจะแก้ปัณหายังไง พอมาเจอปัณหากับตัวเอง เราก็อยากปรึกษาหรือได้ข้อคิดคะ
ขอบคุณมากคะ