*** พรบ.ยกเข่ง...ดูให้ดี อาจจะมีแต่เข่ง***

กระทู้สนทนา
นั่งดูเรื่อง พรบ. นิรโทษ มาสักพัก ฟังทางโน้น ฟังทางนี้ เพื่อที่จะประมวลหาข้อมูลในการวิเคราะห์   ความจริงเคยแสดงความเห็นไปบางส่วนในกระทู้คุณตระกองขวัญ  (http://pantip.com/topic/31146110)

ผมไปนั่งเปิดอ่าน พรบ.ยกเข่ง พบว่า มาตรา 3 และ 5 เป็นมาตราที่ถูกถกเถียงกันมากที่สุด  ขอยกมาดังนี้

ฉบับของวรชัย ที่ต้นเรื่อง มาตรา 3 วรรคหนึ่งเขียนเหมือนกันกับของกรรมาธิการ แต่ไปต่างกันตรงวรรค 2  โดยของวรชัยบอกว่า  

"การกระทำในวรรคหนึ่ง ไม่รวมการถึงการกระทำใด ๆ ไม่รวมถึงผู้ซึ่งมีอำนาจหรือตัดสินใจหรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในห้วงระยะเวลาดังกล่าว"

ส่วนของกรรมาธิการ ฯ เพิ่มมาดังนี้


การกระทำตามวรรคหนึ่งให้หมายความถึงการกระทำของบุคคลดังต่อไปนี้
       (1) การกระทำทั้งหลายของบุคคลที่เกิดจากการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่ห้ามการชุมนุม การกล่าววาจาหรือโฆษณาด้วยวิธีใดเพื่อเรียกร้องหรือให้มีการต่อต้านรัฐ การต่อสู้ขัดขืนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือการประท้วงด้วยวิธีใดๆอันเป็นการกระทบต่อร่างกายหรือทรัพย์สินของบุคคลอื่นซึ่งเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงออกทางการเมือง
       (2) การกระทำทั้งหลายของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลใดๆ อันเกี่ยวเนื่องกับการป้องกันระงับหรือปราบปรามในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือการกระทำใดที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าว
-------------------------------------------------------------------------------------------

ส่วนมาตรา 5 เขียนว่า

"มาตรา 5 ให้ถือว่าบุคคลที่ได้รับผลระทบจากการดำเนินการหรือการปฏิบัติทั้งหลายขององค์กรหรือคณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งโดยประกาศหรือคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) หรือคำสั่งของหัวหน้า คปค. ซึ่งได้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 หรือการดำเนินการหรือการปฏิบัติทั้งหลายขององค์กร หรือหน่วยงานอื่นใดอันเป็นผลสืบเนื่องจากการดำเนินการหรือการปฏิบัติขององค์กรหรือของคณะบุคคลดังกล่าว มิได้เป็นผู้ถูกกล่าวหาหรือเป็นผู้กระทำความผิด โดยให้นำความในมาตรา 4 มาใช้บังคับโดยอนุโลม และให้องค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติต่อบุคคลที่ได้รับผลกระทบนั้นให้เป็นไปตามหลักนิติธรรมต่อไป"
--------------------------------------------------------------

ผมมีความเห็นอย่างหนึ่ง ข้อ 2 ของมาตรา 3  ว่า ให้ไปแปรญัตติ  (เขียนใหม่) ว่า

" ...การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่มิได้เป็นการเกินสมควรแก่ชีวิตหรืออันตรายทางร่างกายแก่บุคคลอื่น....ฯ"

**ผมเสริมตรงนี้หน่อยว่า ...การกระทำของทหารวันนั้น มันเป็นการยิงมั่ว และเป็นปฏิบัติการที่ผิดพลาดจริง ๆ  คนเราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำร้ายผู้อื่น ซึ่งในกฎหมายอาญา มีเขียนระบุไว้อยู่แล้ว อย่าเอา พรบ.เฉพาะการแบบนี้ มาทำลาย กฎหมายที่เขียนมาแต่ไหนแต่ไรอย่างกฎหมายอาญาเลย

เพราะแม้แต่ใน กม.อาญา เขียนว่า

"   ในกรณีที่บัญญัติไว้ใน มาตรา ๖๗ และ มาตรา ๖๘ นั้น ถ้า ผู้กระทำ ได้กระทำไป เกินสมควรแก่เหตุ หรือ เกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็น หรือ เกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำ เพื่อป้องกัน ศาลจะลงโทษ น้อยกว่า ที่กฎหมายกำหนดไว้ สำหรับความผิดนั้น เพียงใด ก็ได้ แต่ถ้า การกระทำนั้น เกิดขึ้นจาก ความตื่นเต้น ความตกใจ หรือ ความกลัว ศาลจะไม่ลงโทษ ผู้กระทำ ก็ได้"

คือ ทหารนั้นผิดแน่นอน..แต่ไม่ใช่จะไปไล่เตะทหาร แต่ให้ว่า ทหารนั้นผิด มีความผิดในการกระทำ

ผมขอยก บทความของคุณชำนาญ จันทร์เรืองมา (ยาวหน่อย ขอตัดมา)

"แต่ตามกฎการใช้กำลังของกองทัพไทยตามเอกสารหมาย ล.12 ผนวก จ.ข้อ 5.8 ทหารที่ปฏิบัติการปราบจลาจลจะใช้กำลังได้เฉพาะเพื่อป้องกันตนเอง หรือป้องกันชีวิตผู้อื่นจากอันตรายใกล้จะถึงจากกลุ่มบุคคลที่มีอาวุธเท่านั้น และการปฏิบัติภารกิจดังกล่าวโดยใช้กำลังทหารติดอาวุธ โดยสภาพย่อมต้องกระทำโดยความระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะการใช้วิธีการดังกล่า วย่อมเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อชีวิตและร่างกายของผู้ชุมนุมโดยสุจริตได้

เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของกองกำลังทหารในบังคับบัญชาตามคำสั่งและในสังกัดของจำเลยที่ 2 และที่ 5 ได้ก่อผลให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัส การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการกระทำโดยละเมิดสิทธิของโจทก์ทั้งสอง

จากคดีที่กล่าวมาข้างต้นนั้นจริงๆแล้วเป็นการละเมิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นอำนาจของศาลปกครอง แต่ศาลปกครองถูกจำกัดอำนาจไว้ตามมาตรา 16 ของ พรก.ฉุกเฉินฯ ที่บัญญัญัติว่าข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำตามพระราชกำหนดนี้ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองแต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการ ตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 17 ของ พรก.ฉุกเฉินฯ คดีจึงถูกนำไปฟ้องยังศาลแพ่งตามมาตรา 218 ของรัฐธรรมนูญ ปี 50

ประเด็นที่ผมยังมาทั้งหมดนี้คงมิใช่ว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลไหน แต่ประเด็นก็คือว่าผลที่ตามมาภายหลังจากคดีนี้หากถึงที่สุดแล้วจะเป็นอย่างไร แน่นอนว่ากองทัพก็คงจะต้องดำเนินอุทธรณ์ไปจนถึงที่สุด หากผลแห่งคำพิพากษาออกมาว่ายกฟ้องก็แล้วไป แต่หากแพ้คดีและต้องชำระค่าสียหายให้แก่โจทก์ดังคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้วจะทำอย่างไร

แน่นอนว่าหากเป็นเช่นนั้นกองทัพก็ต้องชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษา แต่ที่สำคัญก็คือค่าเสียหายที่กองทัพนำไปชำระนั้นย่อมมาจากงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีอากรของประชาชนตาดำๆนั่นเอง ในกระบวนการทางกฎหมายนั้นเรื่องยังคงไม่จบเพียงแค่กองทัพนำเงินไปชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์เท่านั้นเพราะเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบตั้งแต่ผู้ออกคำสั่งในระดับสูงสุดเป็นต้นมาจะต้องถูกไล่เบี้ยตาม พรบ.ว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 8 ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายเพื่อการละเมิดของเจ้าหน้าที่ ให้หน่วยงานของรัฐมีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวแก่หน่วยงานของรัฐได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ได้กระทำการนั้นไปด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ซึ่งในกรณีนี้ก็ปรากฏชัดเจนอยู่แล้วใน คำพิพากษาศาลแพ่งนี้ว่ากระทำไม่ชอบตามหลักสากลซึ่งถือได้ว่าเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

เว้นเสียแต่ว่าจะพิสูจน์เป็นรายๆไปได้ว่าใครประมาทเลินเล่อหรือไม่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เพราะหากไม่ใช่การประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง พรบ.ว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดฯก็จะให้การคุ้มครองไว้ ไม่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่หน่วยงานของรัฐนั้นได้ และหากเจ้าหน้าที่ของรัฐคนใดตั้งแต่ผู้บังคับบัญชาสูงสุดลงมาหากถูกเรียกให้ชำระเงินแล้วไม่พอใจก็สามารถอุทธรณ์คำสั่ง หากอุทธรณ์แล้วยังไม่พอใจก็สามารถนำคดีไปสู่ศาลปกครองได้อีก(คนละขั้นตอนกับมาตรา 16 ของ พรบ.ฉุกเฉินฯแล้ว)"

(อ่านเพิ่มเติม https://www.facebook.com/notes/นายหนหวย-หงุดหงิดรายวัน/สลายการชุมนุมเกินกว่าเหตุ-ไม่ได้จบแค่ศาลแพ่งหรือศาลจังหวัดพระโขนงเท่านั้น/275762202435757)
-------------------------------------------------------------------------------- (จบส่วนเพิ่มเติม)

เพราะอ่านดูต้นฉบับ  มันกว้างไปหน่อย  อ่าน ๆ ดู ฟังไปฟังมา เหมือนเป็นแนวคิดของร่าง ฯ ฉบับ เฉลิม

คือ เจ้าหน้าที่รัฐ ก็หมายถึงทหารตำรวจ อส.  อย่าไปใส่คำว่า บุคคลใด  เพราะบุคคลใด มันตีความได้เยอะ ซึ่งก็คือบรรดากรรมการ ศอ.ฉ. ทั้งหมด ที่ถูกแต่งตั้งมา ที่โดยเต็มใจบ้าง โดนบังคับบ้างมานั่นแหละ

และให้ตัดคำว่าปราบปรามออก เพราะการปราบปราม เป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ ไม่ใช่เป้นการระงับเหตุ

ของวรชัยก็เขียนกว้าง เพราะ มาร์คเขาไม่ได้มีความเคลื่อนไหวทางการเมือง (ในการสั่งปราบประชาชน แต่เป็นการกระทำของผู้มีอำนาจตัดสินใจ)  มันทำให้ไปตีความได้เฉพาะแกนนำเหลืองกับแดงเท่านั้น ไม่ได้ cover สองคนนั่น

-----------------------------------------------

ส่วนมาตรา 5 ที่ยกมา   เท่าที่พิจารณาดู  ไม่ได้หมายความว่าจะล้างผิดให้ทักษิณ แต่ให้รื้อคดีมาทำใหม่  (ดูคำว่า "..และให้องค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติต่อบุคคลที่ได้รับผลกระทบนั้นให้เป็นไปตามหลักนิติธรรมต่อไป..")

สรุปสั้น ๆ ผมไปอ่านความเห็นของ ดร.วีรพัฒน์ ก็พอจะเห็นพ้องด้วยหลายจุด

ส่วนของกรรมาธิการ ฝากบอกคุณสมชาย คุณเฉลิม และเจ๊แดงด้วยว่า  ให้กลับไปนอนคิดอีกรอบ ถ้าคิดไม่ออก ให้มาอ่านในราชดำเนินนี่ เจ๊แดงคิดให้ดี จำตอนยงยุทธ ถูกทหารไปค้นบ้านได้มั้ย หรือ เนวิน ถูกจับแก้ผ้า   หรือ เจ๊แดงจะถูกยึดทรัพย์  ลูกสาวเจ๊แดง น้องเชียร์ โดนเว้นวรรค เพราะอะไร

อย่าโง่ครับ

ทั้งหลายทั้งปวงนี้ สมมติว่า พรบ.ผ่านสภา ฯ หมด   ตอนเอาไปบังคับใช้ ใครจะเป็นคนพิจารณา  ก็หมายถึงพนักงานสอบสวนทั้งตำรวจ ดีเอสไอ อัยการ และศาล  โดยเฉพาะอัยการที่ต้องทำความเห็นว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง


หรือถ้าจะดึงดันเอาแบบนี้ให้ได้...ขออย่างได้มั้ยครับ...อย่าเพิ่งคลอด พรบ.ออกมา...ให้ อัยการสั่งฟ้องสองคนนั่นก่อน
กระทู้นี้ ผมจะไม่ขอตอบอะไรมากนะ จะนั่งอ่านอย่างเดียว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่