เกร็ดสามก๊ก
ผู้พิชิตสามก๊ก
ตอนที่ ๕ ลางแพ้ของเสฉวน
เล่าเซี่ยงชุน
กองทัพเมืองเสฉวนหายเงียบไปถึงสองปี พอเข้าเดือนสี่ พ.ศ.๗๗๔ ขงเบ้งก็ยกทัพสิบหมื่นออกจากเมืองฮันต๋งมาตั้งที่กิสานอีกเป็นครั้งที่ห้า พระเจ้าโจยอยก็ปรึกษากับสุมาอี้ว่าครั้งนี้จะทำประการใดดี สุมาอี้ก็ว่าโจจิ๋นก็ถึงแก่ความตายแล้ว ซึ่งขงเบ้งยกมาครั้งนี้ไว้พนักงานข้าพเจ้า จะอาสาคิดอ่านเอาชัยชนะให้ได้ แล้วก็จัดกองทัพกราบถวายบังคมลา ออกจากเมืองลกเอี๋ยง พระเจ้าโจยอยก็ดีพระทัย ทรงรถออกมาส่งกองทัพสุมาอี้ถึงประตูเมือง
สุมาอี้มาถึงเมืองเตียงฮันแล้วก็จัดกองทัพใหญ่จะยกไป เตียวคับผู้รักษาเมืองก็ว่าการศึกครั้งนี้ ตนจะขออาสาเอาชัยชนะขงเบ้งให้ได้ สุมาอี้ก็ว่า
“.............ขงเบ้งยกมานี้เป็นทัพใหญ่หลวงนัก ซึ่งท่านจะไปแต่ผู้เดียวนั้น เห็นจะสู้ความคิดขงเบ้งไม่ได้ ถ้าท่านรับเป็นกองหน้าแล้ว เราจะแต่งกองหลังไปตั้งอยู่รักษาเมืองหลงเส แลท่านทั้งปวงจงยกเป็นกอง ๆ ไปคิดอ่านรบพุ่งกับขงเบ้งที่เขากิสาน..........”
เตียวคับก็ว่าซึ่งจะให้ตนเป็นกองหน้านั้น จะขออาสาทำการกว่าจะสิ้นชีวิต สุมาอี้จึงให้โกฉุยคุมทหารไปอยู่รักษาเมืองหลงเส ให้เตียวคับถืออาญาสิทธิ์เป็นกองหน้า บังคับบัญชานายทหารทุกกองแล้วพากันยกไปสกัดข้าศึกอยู่ที่เขากิสาน การศึกครั้งนี้สุมาอี้ก็เป็นฝ่ายตั้งรับเช่นเคย ยกทหารออกไปรบทีไรก็ถูกกลอุบายของขงเบ้งหลอกล่อเอาทุกครั้ง เสียทหารไปเป็นจำนวนมาก จนต้องมีหนังสือไปถึงเมืองเลียงจิ๋วและเมืองเลงจิ๋ว ให้ยกทหารมาช่วย ซุนเล้ก็ยกทหารประมาณยี่สิบหมื่นมาตั้งค่ายใกล้เมืองโลเสียซึ่งขงเบ้งยึดดครองอยู่ แต่ก็ไม่สามารถตีหักเอาเมืองได้
บังเอิญแม่กองเสบียงของขงเบ้ง ส่งเสบียงมาไม่ทันขงเบ้งจึงต้องถอยทัพกลับ เมื่อทหารของขงเบ้งที่เขากิสานเริ่มถอนกำลังนั้น เตียวคับก็รู้แต่มิได้ยกทหารติดตามไป ด้วยเกรงกลศึกของขงเบ้ง จึงกลับมาบอกเนื้อความทั้งปวงแก่สุมาอี้ให้ทราบ สุมาอี้จึงว่า อันกลศึกขงเบ้งนั้น ลึกลับนัก ท่านอย่าตามไปรบพุ่งเลย จงไปตั้งอยู่ ณ เขากิสานเถิด แม้กองทัพขงเบ้งที่เมืองโลเสียขาดเสบียงเมื่อใด ก็จะยกกลับไปเอง งุยเป๋งนายทหารเอกคนหนึ่งจึงว่า
“...........ข้าศึกถอยไปท่านมิได้ติดตาม จะมานิ่งอยู่ดังนี้ไพร่บ้านพลเมืองจะหัวเราะเยาะ ว่าท่านคิดเกรงทหารเมืองเสฉวน เหมือนหนึ่งฝูงเนื้ออันกลัวเสือ ขอให้ยกกองทัพติดตามตีให้ทหารขงเบ้งระส่ำระสาย จึงจะได้ทีทำการสืบไป.........”
แต่สุมาอี้ก็มิได้ฟังคงนิ่งเฉยอยู่ จนมาใช้มาบอกว่ากองทัพขงเบ้งในเมืองโลเสียได้ถอยออกไปแล้ว สุมาอี้ก็ขึ้นไปดูใกล้กำแพงเมือง ก็เห็นธงทิวปักอยู่บนเชิงเทินเป็นอันมาก แลควันเพลิงก็มีอยู่เป็นปกติ สุมาอี้ก็ว่าขงเบ้งเลิกกองทัพไปแล้ว ยังทำอุบายไว้ฉะนี้เล่า จึงให้ทหารเข้าไปตรวจตราดูในเมืองก็มิได้เห็นผู้คน คราวนี้สุมาอี้หาผู้ที่จะตามไปตีให้ทหารขงเบ้งระส่ำระสายบ้าง
เตียวคับก็ขออาสาไปโจมตีตัดท้ายขงเบ้งให้แตกขึ้นไปจนถึงทัพหน้า แต่สุมาอี้ก็ว่าเตียวคับนั้นใจรวดเร็วนัก ซึ่งจะให้ไปเกรงว่าจะเสียท่วงที เตียวคับก็ว่าตนเป็นกองหน้าหวังจะสู้รบต้านทานข้าศึก เมื่อข้าศึกถอยไปเป็นธรรมเนียมกองหน้าจะต้องติดตาม เหตุใดจึงมาห้ามเสีย สุมาอี้ก็ชี้แจงว่า
“..............ซึ่งข้าศึกถอยไปเป็นธรรมเนียมกองหน้าได้ติดตามนั้นก็จริงอยู่ แต่ทางซึ่งจะไปนั้นเป็นซอกธารเขากันดารนัก เราเกรงว่าขงเบ้งจะให้ซุ่มทหารอยู่คอยตีกระหนาบ เราจึงห้ามท่านไว้หวังจะให้มีสติ ท่านจะไปก็ตามเถิด แต่จงประหยัดอย่าเบาความ แม้ครั้งนี้เสียทีมาภายหน้าจะทำการสืบไป ท่านก็จะย่อท้อต่อข้าศึก............”
เตียวคับจึงตอบอย่างเด็ดขาดว่า ตัวข้าพเจ้าเป็นชาติทหารจะอาสาเจ้าโดยสุจริต ถึงมาตรว่าจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต แล้วก็คุมทหารห้าพันเป็นกองหน้า งุยเป๋งคุมทหารสองหมื่นหนุนตามไป ส่วนสุมาอี้คุมทหารสามพันเป็นกองหลัง
เมื่องุยเป๋งและสุมาอี้ยกทหารตามเตียวคับมาประมาณพันเส้น ก็พบทหารกองหน้าถอยมาบอกว่า เตียวคับได้รบกับอุยเอี๋ยนและกวนหิน ถลำเข้าไปในซอกเขาทางบอกบุ๋น จึงถูกทหารขงเบ้งล้อมยิงด้วยเกาทัณฑ์และทิ้งก้อนศิลาลงมาถูกเตียวคับ ตายอยู่ในซอกเขานั้นเอง
สุมาอี้ก็เสียใจนักรำพึงว่า เตียวคับตายทั้งนี้เป็นเหตุเพราะตนใจเบา ยอมให้ไปจึงถึงแก่ความตาย จึงให้ทหารเอาศพเตียวคับกลับไปเมืองลกเอี๋ยง กราบทูลพระเจ้าโจยอยตามที่ได้ทำศึกกับขงเบ้งจนเสียเตียวคับทหารเอกไป พระเจ้าโจยอยก็ทรงพระโศกนักตรัสว่า
“............เตียวคับนี้เป็นทหารเอกแต่ครั้งพระอัยกาแลพระบิดา จนมาถึงเรา บัดนี้มาถึงแก่ความตายในท่านกลางศึก สมควรเป็นชาติทหาร..........”
แล้วก็มีรับสั่งให้แต่งการฝังศพไว้ ณ เมืองลกเอี๋ยง ตามตำแหน่งนายทหารผู้ใหญ่ การศึกระหว่างเมืองเสฉวนกับเมืองลกเอี๋ยงก็ว่างลงรวมสามปี
ถึง พ.ศ.๗๗๖ เดือนสี่ ขงเบ้งก็ยกกองทัพมีพลประมาณสี่สิบหมื่น มาทางเขากิสานอีกเป็นครั้งที่หก พระเจ้าโจยอยก็ปรึกษากับสุมาอี้ว่าครั้งนี้จะคิดอ่านประการใด สุมาอี้ก็กราบทูลว่า
“..............ข้าพเจ้าดูดาวและตำราเห็นว่า ฝ่ายเมืองเรารุ่งเรืองสุกใสอยู่ อันดาวสำหรับเมือเสฉวนนั้นเศร้าหมองนัก ซึ่งขงเบ้งยกมาครั้งนี้เหมือนหนึ่งหาภัยใส่ตัว พระองค์อย่าคิดวิตกเลย ไว้ข้าพเจ้าจะอาสาไปต้านทานเอาชัยชนะให้ได้...........”
พระเจ้าโจยอยก็ตรัสว่า
“............อันการทั้งปวงซึ่งจะยกไปนั้น ถ้าเห็นผู้ใดมีความคิดหลักแหลมกล้าหาญ พอจะทำสงครามได้ ก็ให้ท่านตั้งแต่งเป็นขุนนางตามสมควรเถิด...........”
สุมาอี้ก็ยกพลประมาณสี่สิบหมื่น พร้อมเครื่องศัสตราวุธ ออกจากเมืองลกเอี๋ยงไปตั้งที่เมืองเตียงฮัน และเอาบุตรแฮหัวเอี๋ยนนายทหารเอกของโจโฉสี่คนไปด้วย แล้วก็ออกไปตั้งค่ายที่แม่น้ำอุยโหทั้งสองฟาก แล้วให้ทำสะพานข้ามแม่น้ำไว้ถึงเก้าตำบล กับให้โกฉุยกับซุนเล้ ยกไปตั้งค่ายที่ตำบลปักหงวน เพื่อป้องกันเมืองหลงเส
ส่วนฝ่ายขงเบ้งนั้น ม้าใช้มารายงานสุมาอี้ว่า ได้ตั้งค่ายรายทางตั้งแต่ด่านเกียมโก๊ะมาจนถึงเขากิสานประมาณสิบห้าค่าย แล้วให้ทหารตัดไม้ทำแพเตรียมไว้เป็นจำนวนมาก สุมาอี้จึงแจ้งแก่นายทหารทั้งปวงว่า
“.............ขงเบ้งคิดกลศึกจะให้เป็นกังวลหน้าหลัง แล้วก็จะลอยแพมาทำลายสะพานเราเสีย จำจะคิดป้องกันมิให้กองทัพเราเป็นอันตรายได้...........”
แล้วก็ให้ม้าใช้ไปบอกแก่โกฉุยกับซุนเล้ว่า แม้ทหารขงเบ้งจะยกมาตีก็อย่าสะดุ้ง สะเทือน ให้ทั้งสองคุมทหารออกมาซุ่มอยู่กลางทาง ถ้าเห็นทหารข้าศึกยกเมื่อเมื่อไรก็ให้ออกโจมตี ตนจะยกหนุนไปฃ่วยมิให้ข้าศึกตั้งตัวได้ แล้วให้แฮหัวฮุยกับแฮหัวป๋าคุมทหารซุ่มอยู่นอกค่ายทางทิศใต้ แม้เห็นข้าศึกยกมาตีหน้าค่าย ก็เข้าโจมตีอย่าให้ตั้งตัวได้เช่นกัน กับให้เตียวฮองกับงักหลิม ให้คุมทหารเกาทัณฑ์คนละพัน ไปซุ่มอยู่ที่เชิงสะพานทั้งสองฟาก แม้เห็นทหารข้าศึกวางแพลอยมาก็ให้ระดมยิงเกาทัณฑ์ อย่าให้ทหารข้าศึกทันจุดเชื้อเพลิงทำลายสะพานได้ สุดท้ายสั่งให้สุมาสูกับ สุมาเจียวอยู่รักษาค่ายคนละฝั่ง ตนเองจะยกทหารไปที่ตำบลปักหงวน ถ้าข้าศึกยกมาปล้นค่ายใดก็ให้คุมทหารข้ามไปช่วยตีกระหนาบเอาชนะให้จงได้ สั่งการเรียบร้อยแล้ว สุมาอี้ก็คุมทหารลอบออกไปทางหลังค่าย ลัดทางไปซุ่มอยู่ใกล้ตำบลปักหงวน
ครั้นเวลารุ่งขึ้นขงเบ้งก็แบ่งกำลังทหารเข้าตีทุกแห่งตามที่วางแผนไว้ อุยเอี๋ยนกับม้าต้ายยกไปตีค่ายปักหงวนก็ถูกโกฉุยกับซุนเล้ และสุมาอี้ตีกระหนาบจนแตกกระเจิง เสียทหารไปเป็นอันมาก ต้องหนีมาถึงริมแม่น้ำ งออี้ก็พาทั้งสองนายลงแพข้ามฟากไป ส่วนงอปั้นควบคุมแพที่จะลอยไปเผาสะพาน พอใกล้ถึงก็ถูกระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์ดังห่าฝน ถูกงอปั้นถึงแก่ความตาย แลทหารทั้งปวงก็ล้มตายลงเป็นอันมาก แพก็พัดเข้าไปติดตลิ่ง ฝ่ายสุมาอี้ก็จับทหารข้าศึกไว้ได้บ้างโจนหนีไปบ้างตกน้ำตายบ้าง และอีกหกนายที่คุมทหารเข้าตีค่ายใหญ่นั้นก็ถูกสองพี่น้องบุตรของ แฮหัวเอี๋ยน คุมพลเข้าล้อมโจมตีไล่ฆ่าฟันข้าศึกตายไปประมาณกึ่งหนึ่ง ตัวนายทั้งหกสุดที่จะต้านทานไหว ต้องพาทหารที่เหลือรบฝ่าหนีกลับไป
เมื่อสุมาอี้มีชัยชนะต่อขงเบ้งในการรบที่แม่น้ำอุยโหแล้ว ก็คิดการที่จะหาทางเอาชนะขงเบ้งอีก จึงส่งแต้บุ๋นเข้าไปเป็นไส้ศึกในกองทัพขงเบ้ง วันหนึ่งก็มีทหารของขงเบ้งชื่อกิตุ้น ถือหนังสือเข้ามาหาสุมาอี้ บอกว่า
“..........ตัวข้าพเจ้ากับแต้บุ๋นเป็นชาวเมืองลกเอี๋ยงด้วยกัน ครั้นข้าพเจ้าพลัดไปอยู่เมืองเสฉวน เข้าเป็นทหารเลวในกองทัพขงเบ้ง บัดนี้แต้บุ๋นทำความชอบต่อขงเบ้งเป็นอันมาก ขงเบ้งตั้งให้แต้บุ๋นเป็นนายทหารเอก แต้บุ๋นจึงให้ข้าพเจ้าถือหนังสือมาให้ท่าน..........”
สุมาอี้ก็รับหนังสือมาอ่านดู มีใจความว่า
ข้าพเจ้าแต้บุ๋นขอคำนับมาถึงสุมาอี้ ด้วยการทั้งปวงนั้นได้ทีอยู่แล้ว พรุ่งนี้เวลาสองยาม ให้ท่านยกมาปล้นค่ายขงเบ้งเถิด ข้าพเจ้าจะจุดเพลิงขึ้นในค่าย แล้วจึงจะตีกระหนาบออกไป
สุมาอี้ก็อ่านทบทวนไปมาเป็นหลายกลับ จำได้ว่าเป็นลายมือของแต้บุ๋นแน่ ก็มิได้มีความสงสัย จึงให้จัดโต๊ะเลี้ยงกิตุ้น แล้วว่าท่านจงกลับไปบอกแต้บุ๋นให้เตรียมการไว้จงพร้อม พรุ่งนี้เวลาสองยามเราจะยกไปปล้นค่ายขงเบ้งให้ได้ กิตุ้นก็คำนับลาไป
สุมาอี้ก็ให้จัดแจงทหารเตรียมจะยกไปตีค่ายขงเบ้งอีกครั้ง ก่อนที่สุมาอี้จะยกทหารไปตีค่ายขงเบ้ง สุมาสูและสุมาเจียวผู้บุตรก็ทักท้วงว่า
“...........ซึ่งบิดาจะทำการครั้งนี้ อย่าเพ่อเชื่อหนังสือแต้บุ๋นก่อน เกลือกขงเบ้งคิดอ่านซ้อนกลก็จะมีอันตรายถึงท่าน ขอให้แต่งนายทหารยกไปปล้นค่าย ท่านจงยกหนุนไปข้างหลัง ถึงอับจนก็จะได้แก้ไขง่าย.........”
สุมาอี้ก็เห็นชอบด้วย จึงให้จีนล่งคุมทหารหมื่นหนึ่งเป็นกองหน้า ยกไปปล้นค่ายขงเบ้ง คืนนั้นเกิดพายุพยับฝน จีนล่งยังไม่ทันเข้าตีค่ายขงเบ้ง ก็ถูกข้าศึกล้อมทั้งสี่ด้าน สุมาอี้ได้ยินเสียงโห่ร้องอื้ออึง ไม่แจ้งว่าจีนล่งตีค่ายได้หรือยัง ก็ยกหนุนขึ้นไป ก็ถูกล้อมไว้อีก ทหารเมือง เสฉวนก็ไล่ฆ่าฟันทหารของสุมาอี้ล้มตายลงเป็นอันมาก ตัวจีนล่งก็ตายในที่รบ สุมาอี้ก็พาทหารที่เหลือตายกลับมาค่าย ตอนใกล้รุ่ง ตั้งแต่นั้นสุมาอี้ก็ไม่ยกทหารออกไปรบอีก หวังจะรอให้ขงเบ้งขาดเสบียงอาหาร
##########
เกร็ดสามก๊ก ๒๖ ต.ค.๕๖
ผู้พิชิตสามก๊ก
ตอนที่ ๕ ลางแพ้ของเสฉวน
เล่าเซี่ยงชุน
กองทัพเมืองเสฉวนหายเงียบไปถึงสองปี พอเข้าเดือนสี่ พ.ศ.๗๗๔ ขงเบ้งก็ยกทัพสิบหมื่นออกจากเมืองฮันต๋งมาตั้งที่กิสานอีกเป็นครั้งที่ห้า พระเจ้าโจยอยก็ปรึกษากับสุมาอี้ว่าครั้งนี้จะทำประการใดดี สุมาอี้ก็ว่าโจจิ๋นก็ถึงแก่ความตายแล้ว ซึ่งขงเบ้งยกมาครั้งนี้ไว้พนักงานข้าพเจ้า จะอาสาคิดอ่านเอาชัยชนะให้ได้ แล้วก็จัดกองทัพกราบถวายบังคมลา ออกจากเมืองลกเอี๋ยง พระเจ้าโจยอยก็ดีพระทัย ทรงรถออกมาส่งกองทัพสุมาอี้ถึงประตูเมือง
สุมาอี้มาถึงเมืองเตียงฮันแล้วก็จัดกองทัพใหญ่จะยกไป เตียวคับผู้รักษาเมืองก็ว่าการศึกครั้งนี้ ตนจะขออาสาเอาชัยชนะขงเบ้งให้ได้ สุมาอี้ก็ว่า
“.............ขงเบ้งยกมานี้เป็นทัพใหญ่หลวงนัก ซึ่งท่านจะไปแต่ผู้เดียวนั้น เห็นจะสู้ความคิดขงเบ้งไม่ได้ ถ้าท่านรับเป็นกองหน้าแล้ว เราจะแต่งกองหลังไปตั้งอยู่รักษาเมืองหลงเส แลท่านทั้งปวงจงยกเป็นกอง ๆ ไปคิดอ่านรบพุ่งกับขงเบ้งที่เขากิสาน..........”
เตียวคับก็ว่าซึ่งจะให้ตนเป็นกองหน้านั้น จะขออาสาทำการกว่าจะสิ้นชีวิต สุมาอี้จึงให้โกฉุยคุมทหารไปอยู่รักษาเมืองหลงเส ให้เตียวคับถืออาญาสิทธิ์เป็นกองหน้า บังคับบัญชานายทหารทุกกองแล้วพากันยกไปสกัดข้าศึกอยู่ที่เขากิสาน การศึกครั้งนี้สุมาอี้ก็เป็นฝ่ายตั้งรับเช่นเคย ยกทหารออกไปรบทีไรก็ถูกกลอุบายของขงเบ้งหลอกล่อเอาทุกครั้ง เสียทหารไปเป็นจำนวนมาก จนต้องมีหนังสือไปถึงเมืองเลียงจิ๋วและเมืองเลงจิ๋ว ให้ยกทหารมาช่วย ซุนเล้ก็ยกทหารประมาณยี่สิบหมื่นมาตั้งค่ายใกล้เมืองโลเสียซึ่งขงเบ้งยึดดครองอยู่ แต่ก็ไม่สามารถตีหักเอาเมืองได้
บังเอิญแม่กองเสบียงของขงเบ้ง ส่งเสบียงมาไม่ทันขงเบ้งจึงต้องถอยทัพกลับ เมื่อทหารของขงเบ้งที่เขากิสานเริ่มถอนกำลังนั้น เตียวคับก็รู้แต่มิได้ยกทหารติดตามไป ด้วยเกรงกลศึกของขงเบ้ง จึงกลับมาบอกเนื้อความทั้งปวงแก่สุมาอี้ให้ทราบ สุมาอี้จึงว่า อันกลศึกขงเบ้งนั้น ลึกลับนัก ท่านอย่าตามไปรบพุ่งเลย จงไปตั้งอยู่ ณ เขากิสานเถิด แม้กองทัพขงเบ้งที่เมืองโลเสียขาดเสบียงเมื่อใด ก็จะยกกลับไปเอง งุยเป๋งนายทหารเอกคนหนึ่งจึงว่า
“...........ข้าศึกถอยไปท่านมิได้ติดตาม จะมานิ่งอยู่ดังนี้ไพร่บ้านพลเมืองจะหัวเราะเยาะ ว่าท่านคิดเกรงทหารเมืองเสฉวน เหมือนหนึ่งฝูงเนื้ออันกลัวเสือ ขอให้ยกกองทัพติดตามตีให้ทหารขงเบ้งระส่ำระสาย จึงจะได้ทีทำการสืบไป.........”
แต่สุมาอี้ก็มิได้ฟังคงนิ่งเฉยอยู่ จนมาใช้มาบอกว่ากองทัพขงเบ้งในเมืองโลเสียได้ถอยออกไปแล้ว สุมาอี้ก็ขึ้นไปดูใกล้กำแพงเมือง ก็เห็นธงทิวปักอยู่บนเชิงเทินเป็นอันมาก แลควันเพลิงก็มีอยู่เป็นปกติ สุมาอี้ก็ว่าขงเบ้งเลิกกองทัพไปแล้ว ยังทำอุบายไว้ฉะนี้เล่า จึงให้ทหารเข้าไปตรวจตราดูในเมืองก็มิได้เห็นผู้คน คราวนี้สุมาอี้หาผู้ที่จะตามไปตีให้ทหารขงเบ้งระส่ำระสายบ้าง
เตียวคับก็ขออาสาไปโจมตีตัดท้ายขงเบ้งให้แตกขึ้นไปจนถึงทัพหน้า แต่สุมาอี้ก็ว่าเตียวคับนั้นใจรวดเร็วนัก ซึ่งจะให้ไปเกรงว่าจะเสียท่วงที เตียวคับก็ว่าตนเป็นกองหน้าหวังจะสู้รบต้านทานข้าศึก เมื่อข้าศึกถอยไปเป็นธรรมเนียมกองหน้าจะต้องติดตาม เหตุใดจึงมาห้ามเสีย สุมาอี้ก็ชี้แจงว่า
“..............ซึ่งข้าศึกถอยไปเป็นธรรมเนียมกองหน้าได้ติดตามนั้นก็จริงอยู่ แต่ทางซึ่งจะไปนั้นเป็นซอกธารเขากันดารนัก เราเกรงว่าขงเบ้งจะให้ซุ่มทหารอยู่คอยตีกระหนาบ เราจึงห้ามท่านไว้หวังจะให้มีสติ ท่านจะไปก็ตามเถิด แต่จงประหยัดอย่าเบาความ แม้ครั้งนี้เสียทีมาภายหน้าจะทำการสืบไป ท่านก็จะย่อท้อต่อข้าศึก............”
เตียวคับจึงตอบอย่างเด็ดขาดว่า ตัวข้าพเจ้าเป็นชาติทหารจะอาสาเจ้าโดยสุจริต ถึงมาตรว่าจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต แล้วก็คุมทหารห้าพันเป็นกองหน้า งุยเป๋งคุมทหารสองหมื่นหนุนตามไป ส่วนสุมาอี้คุมทหารสามพันเป็นกองหลัง
เมื่องุยเป๋งและสุมาอี้ยกทหารตามเตียวคับมาประมาณพันเส้น ก็พบทหารกองหน้าถอยมาบอกว่า เตียวคับได้รบกับอุยเอี๋ยนและกวนหิน ถลำเข้าไปในซอกเขาทางบอกบุ๋น จึงถูกทหารขงเบ้งล้อมยิงด้วยเกาทัณฑ์และทิ้งก้อนศิลาลงมาถูกเตียวคับ ตายอยู่ในซอกเขานั้นเอง
สุมาอี้ก็เสียใจนักรำพึงว่า เตียวคับตายทั้งนี้เป็นเหตุเพราะตนใจเบา ยอมให้ไปจึงถึงแก่ความตาย จึงให้ทหารเอาศพเตียวคับกลับไปเมืองลกเอี๋ยง กราบทูลพระเจ้าโจยอยตามที่ได้ทำศึกกับขงเบ้งจนเสียเตียวคับทหารเอกไป พระเจ้าโจยอยก็ทรงพระโศกนักตรัสว่า
“............เตียวคับนี้เป็นทหารเอกแต่ครั้งพระอัยกาแลพระบิดา จนมาถึงเรา บัดนี้มาถึงแก่ความตายในท่านกลางศึก สมควรเป็นชาติทหาร..........”
แล้วก็มีรับสั่งให้แต่งการฝังศพไว้ ณ เมืองลกเอี๋ยง ตามตำแหน่งนายทหารผู้ใหญ่ การศึกระหว่างเมืองเสฉวนกับเมืองลกเอี๋ยงก็ว่างลงรวมสามปี
ถึง พ.ศ.๗๗๖ เดือนสี่ ขงเบ้งก็ยกกองทัพมีพลประมาณสี่สิบหมื่น มาทางเขากิสานอีกเป็นครั้งที่หก พระเจ้าโจยอยก็ปรึกษากับสุมาอี้ว่าครั้งนี้จะคิดอ่านประการใด สุมาอี้ก็กราบทูลว่า
“..............ข้าพเจ้าดูดาวและตำราเห็นว่า ฝ่ายเมืองเรารุ่งเรืองสุกใสอยู่ อันดาวสำหรับเมือเสฉวนนั้นเศร้าหมองนัก ซึ่งขงเบ้งยกมาครั้งนี้เหมือนหนึ่งหาภัยใส่ตัว พระองค์อย่าคิดวิตกเลย ไว้ข้าพเจ้าจะอาสาไปต้านทานเอาชัยชนะให้ได้...........”
พระเจ้าโจยอยก็ตรัสว่า
“............อันการทั้งปวงซึ่งจะยกไปนั้น ถ้าเห็นผู้ใดมีความคิดหลักแหลมกล้าหาญ พอจะทำสงครามได้ ก็ให้ท่านตั้งแต่งเป็นขุนนางตามสมควรเถิด...........”
สุมาอี้ก็ยกพลประมาณสี่สิบหมื่น พร้อมเครื่องศัสตราวุธ ออกจากเมืองลกเอี๋ยงไปตั้งที่เมืองเตียงฮัน และเอาบุตรแฮหัวเอี๋ยนนายทหารเอกของโจโฉสี่คนไปด้วย แล้วก็ออกไปตั้งค่ายที่แม่น้ำอุยโหทั้งสองฟาก แล้วให้ทำสะพานข้ามแม่น้ำไว้ถึงเก้าตำบล กับให้โกฉุยกับซุนเล้ ยกไปตั้งค่ายที่ตำบลปักหงวน เพื่อป้องกันเมืองหลงเส
ส่วนฝ่ายขงเบ้งนั้น ม้าใช้มารายงานสุมาอี้ว่า ได้ตั้งค่ายรายทางตั้งแต่ด่านเกียมโก๊ะมาจนถึงเขากิสานประมาณสิบห้าค่าย แล้วให้ทหารตัดไม้ทำแพเตรียมไว้เป็นจำนวนมาก สุมาอี้จึงแจ้งแก่นายทหารทั้งปวงว่า
“.............ขงเบ้งคิดกลศึกจะให้เป็นกังวลหน้าหลัง แล้วก็จะลอยแพมาทำลายสะพานเราเสีย จำจะคิดป้องกันมิให้กองทัพเราเป็นอันตรายได้...........”
แล้วก็ให้ม้าใช้ไปบอกแก่โกฉุยกับซุนเล้ว่า แม้ทหารขงเบ้งจะยกมาตีก็อย่าสะดุ้ง สะเทือน ให้ทั้งสองคุมทหารออกมาซุ่มอยู่กลางทาง ถ้าเห็นทหารข้าศึกยกเมื่อเมื่อไรก็ให้ออกโจมตี ตนจะยกหนุนไปฃ่วยมิให้ข้าศึกตั้งตัวได้ แล้วให้แฮหัวฮุยกับแฮหัวป๋าคุมทหารซุ่มอยู่นอกค่ายทางทิศใต้ แม้เห็นข้าศึกยกมาตีหน้าค่าย ก็เข้าโจมตีอย่าให้ตั้งตัวได้เช่นกัน กับให้เตียวฮองกับงักหลิม ให้คุมทหารเกาทัณฑ์คนละพัน ไปซุ่มอยู่ที่เชิงสะพานทั้งสองฟาก แม้เห็นทหารข้าศึกวางแพลอยมาก็ให้ระดมยิงเกาทัณฑ์ อย่าให้ทหารข้าศึกทันจุดเชื้อเพลิงทำลายสะพานได้ สุดท้ายสั่งให้สุมาสูกับ สุมาเจียวอยู่รักษาค่ายคนละฝั่ง ตนเองจะยกทหารไปที่ตำบลปักหงวน ถ้าข้าศึกยกมาปล้นค่ายใดก็ให้คุมทหารข้ามไปช่วยตีกระหนาบเอาชนะให้จงได้ สั่งการเรียบร้อยแล้ว สุมาอี้ก็คุมทหารลอบออกไปทางหลังค่าย ลัดทางไปซุ่มอยู่ใกล้ตำบลปักหงวน
ครั้นเวลารุ่งขึ้นขงเบ้งก็แบ่งกำลังทหารเข้าตีทุกแห่งตามที่วางแผนไว้ อุยเอี๋ยนกับม้าต้ายยกไปตีค่ายปักหงวนก็ถูกโกฉุยกับซุนเล้ และสุมาอี้ตีกระหนาบจนแตกกระเจิง เสียทหารไปเป็นอันมาก ต้องหนีมาถึงริมแม่น้ำ งออี้ก็พาทั้งสองนายลงแพข้ามฟากไป ส่วนงอปั้นควบคุมแพที่จะลอยไปเผาสะพาน พอใกล้ถึงก็ถูกระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์ดังห่าฝน ถูกงอปั้นถึงแก่ความตาย แลทหารทั้งปวงก็ล้มตายลงเป็นอันมาก แพก็พัดเข้าไปติดตลิ่ง ฝ่ายสุมาอี้ก็จับทหารข้าศึกไว้ได้บ้างโจนหนีไปบ้างตกน้ำตายบ้าง และอีกหกนายที่คุมทหารเข้าตีค่ายใหญ่นั้นก็ถูกสองพี่น้องบุตรของ แฮหัวเอี๋ยน คุมพลเข้าล้อมโจมตีไล่ฆ่าฟันข้าศึกตายไปประมาณกึ่งหนึ่ง ตัวนายทั้งหกสุดที่จะต้านทานไหว ต้องพาทหารที่เหลือรบฝ่าหนีกลับไป
เมื่อสุมาอี้มีชัยชนะต่อขงเบ้งในการรบที่แม่น้ำอุยโหแล้ว ก็คิดการที่จะหาทางเอาชนะขงเบ้งอีก จึงส่งแต้บุ๋นเข้าไปเป็นไส้ศึกในกองทัพขงเบ้ง วันหนึ่งก็มีทหารของขงเบ้งชื่อกิตุ้น ถือหนังสือเข้ามาหาสุมาอี้ บอกว่า
“..........ตัวข้าพเจ้ากับแต้บุ๋นเป็นชาวเมืองลกเอี๋ยงด้วยกัน ครั้นข้าพเจ้าพลัดไปอยู่เมืองเสฉวน เข้าเป็นทหารเลวในกองทัพขงเบ้ง บัดนี้แต้บุ๋นทำความชอบต่อขงเบ้งเป็นอันมาก ขงเบ้งตั้งให้แต้บุ๋นเป็นนายทหารเอก แต้บุ๋นจึงให้ข้าพเจ้าถือหนังสือมาให้ท่าน..........”
สุมาอี้ก็รับหนังสือมาอ่านดู มีใจความว่า
ข้าพเจ้าแต้บุ๋นขอคำนับมาถึงสุมาอี้ ด้วยการทั้งปวงนั้นได้ทีอยู่แล้ว พรุ่งนี้เวลาสองยาม ให้ท่านยกมาปล้นค่ายขงเบ้งเถิด ข้าพเจ้าจะจุดเพลิงขึ้นในค่าย แล้วจึงจะตีกระหนาบออกไป
สุมาอี้ก็อ่านทบทวนไปมาเป็นหลายกลับ จำได้ว่าเป็นลายมือของแต้บุ๋นแน่ ก็มิได้มีความสงสัย จึงให้จัดโต๊ะเลี้ยงกิตุ้น แล้วว่าท่านจงกลับไปบอกแต้บุ๋นให้เตรียมการไว้จงพร้อม พรุ่งนี้เวลาสองยามเราจะยกไปปล้นค่ายขงเบ้งให้ได้ กิตุ้นก็คำนับลาไป
สุมาอี้ก็ให้จัดแจงทหารเตรียมจะยกไปตีค่ายขงเบ้งอีกครั้ง ก่อนที่สุมาอี้จะยกทหารไปตีค่ายขงเบ้ง สุมาสูและสุมาเจียวผู้บุตรก็ทักท้วงว่า
“...........ซึ่งบิดาจะทำการครั้งนี้ อย่าเพ่อเชื่อหนังสือแต้บุ๋นก่อน เกลือกขงเบ้งคิดอ่านซ้อนกลก็จะมีอันตรายถึงท่าน ขอให้แต่งนายทหารยกไปปล้นค่าย ท่านจงยกหนุนไปข้างหลัง ถึงอับจนก็จะได้แก้ไขง่าย.........”
สุมาอี้ก็เห็นชอบด้วย จึงให้จีนล่งคุมทหารหมื่นหนึ่งเป็นกองหน้า ยกไปปล้นค่ายขงเบ้ง คืนนั้นเกิดพายุพยับฝน จีนล่งยังไม่ทันเข้าตีค่ายขงเบ้ง ก็ถูกข้าศึกล้อมทั้งสี่ด้าน สุมาอี้ได้ยินเสียงโห่ร้องอื้ออึง ไม่แจ้งว่าจีนล่งตีค่ายได้หรือยัง ก็ยกหนุนขึ้นไป ก็ถูกล้อมไว้อีก ทหารเมือง เสฉวนก็ไล่ฆ่าฟันทหารของสุมาอี้ล้มตายลงเป็นอันมาก ตัวจีนล่งก็ตายในที่รบ สุมาอี้ก็พาทหารที่เหลือตายกลับมาค่าย ตอนใกล้รุ่ง ตั้งแต่นั้นสุมาอี้ก็ไม่ยกทหารออกไปรบอีก หวังจะรอให้ขงเบ้งขาดเสบียงอาหาร
##########