ผู้พิชิตสามก๊ก (๗) ๑๙ พ.ย.๕๙

สามก๊กฉบับลายคราม   
                                                                                                               
ผู้พิชิตสามก๊ก

ตอนที่ ๗ ปราบศึกภายใน                                                                                             

    เล่าเซี่ยงชุน



        ถึง พ.ศ.๗๗๘ พระเจ้าโจยอยเสวยราชสมบัติในเมืองลกเอี๋ยงมาได้ประมาณเก้าปี  เจ้าเมืองอิวจิ๋ว ก็มีหนังสือเข้ามาทูลฮ่องเต้ว่า กองซุน
เอี๋ยน บุตรของกองซุนของเจ้าเมืองเลียวตั๋งคิดขบถ ยกตัวเป็นเจ้าเอียนอ๋อง ตั้งแต่งขุนนางขึ้นเป็นอันมาก ให้สร้างเวียงวังค่ายคูประตูหอรบไว้เป็นมั่นคง แล้วซ่องสุมทหารได้ร้อยหมื่น จะยกมาตีเมืองลกเอี๋ยง

        พระเจ้าโจยอยจึงให้หาสุมาอี้และขุนนางทั้งปวงเข้ามาปรึกษา สุมาอี้ก็ขออาสาคุมทหารสี่หมื่นในกองของตน ยกไปตีเมืองเลียวตั๋งจับตัวกองซุนเอี๋ยนมาให้ได้ ฮ่องเต้ก็เป็นห่วงว่าทหารก็น้อย หนทางก็กันดารและไกล เกลือกจะมิได้ราชการอย่างที่คิด สุมาอี้ก็ว่าจะพยายามคิดอ่านเอาชนะผู้ขบถด้วยบารมีฮ่องเต้เป็นที่พึ่ง และคาดการณ์รบว่า

        กองซุนเอี๋ยนอาจอาจจะทิ้งเมืองเสีย แล้วหนีไปซุ่มซ่อนในป่า ก็อาจจะหนีรอดไปได้  แต่ถ้ายกทหารออกมาตั้งรับหน้าเมือง  หรือยกทหารมาตั้งที่เมืองเซียงเป๋งซึ่งเป็นปลายแดน ก็จะเอาชนะได้ไม่ยาก

        พระเจ้าโจยอยก็ยังวิตกอีกว่า สุมาอี้จะไปช้าเร็วสักเท่าใด แม้กองทัพเมืองเสฉวนหรือเมืองกังตั๋งยกมาทำอันตรายเมืองเราจะทำประการใด สุมาอี้ก็ทูลว่า

        “...........อันทางจะไปเมืองเลียวตั๋งนั้นไกลกันดารนัก ข้าพเจ้าคะเนทางจะไปถึงนั้นสักร้อยวัน จะทำสงครามก็สักร้อยวัน จะกลับมาก็สักร้อยวัน จะหยุดพักทั้งไปทั้งมานั้นสักหกสิบวัน  ครบปีหนึ่งจึงจะได้กลับมาถึงเมืองหลวง........”

        และว่าเรื่องข้าศึกจะยกมานั้น อย่าวิตกเลยได้คิดอ่านจัดทหารไว้รักษาเมืองอยู่แล้ว ฮ่องเต้ก็หายห่วง

        สุมาอี้ก็ยกกองทัพออกจากเมืองลกเอี๋ยง ไปถึงตำบลเลียวซุนพ้นแดนเมืองเซียงเป๋ง ก็เจอทหารของกองซุนเอี๋ยนมาตั้งขัดตาทัพอยู่ สุมาอี้ก็พาทหานอ้อมไปจะตีเมืองเซียงเป๋งโดยตรง ทหารของกองซุนเอี๋ยนเป็นห่วงในเมืองเพราะมีทหารน้อย ก็ถอยกลับจะเข้าเมือง พอถึงริมแม่น้ำ        เจซุ้ยก็ถูกทหารของสุมาอี้ดักโจมตีแตกพ่าย แฮหัวป๋าทหารเอกของสุมาอี้ก็ฆ่านายทหารข้าศึกตายไปคนหนึ่ง ทหารของกองซุนเอี๋ยนก็ยกเข้าเมืองปิดประตูรักษาหน้าที่เชิงเทินเข้มแข็ง สุมาอี้ก็ยกทหารเข้าล้อมเมืองเซียงเป๋งไว้

        ขณะนั้นเป็นเทศกาลวสันตฤดู ฝนตกทั้งกลางวันกลางคืนถึงเดือนเศษ น้ำท่วมแผ่นดินสูงประมาณศอกเศษ เสบียงซึ่งส่งมานั้นมิได้ขาด เป็นแต่สะเทินน้ำสะเทินบก ทหารแลม้าในกองทัพได้ความลำบากด้วยน้ำท่วม เปงเกงปลัดทัพฝ่ายขวาจึงบอกแก่สุมาอี้ว่า

        “..........ฝนตกถึงเดือนเศษแล้วยังไม่สงบ ทหารทั้งปวงได้ความลำบากด้วยน้ำท่วม ขอให้เลิกค่ายขึ้นไปตั้งอยู่บนเนินเขา แม้ฝนตกสงบแล้วเมื่อใดจึงคิดการต่อไป.........”

        สุมาอี้ก็โกรธจึงว่า

        “...........เราตั้งล้อมเมืองเซียงเป๋งไว้ เห็นจะจับตัวกองซุนเขียนได้ในวันพรุ่งนี้แล้ว เหตุใดมาว่าจะให้การเนิ่นช้าไปฉะนี้...........”

        แล้วก็ประกาศแก่นายหมวดนายกองทั้งปวงว่า

        “.............แต่นี้สืบไปอย่าให้ผู้ใดมาว่ากล่าวเหมือนปวยเกงเลย ผู้ใดไม่ฟังเราจะให้ตัดศีรษะเสียบไว้หน้าค่าย......”

        วันต่อมาชือเหลียนปลัดทัพฝ่ายซ้าย ก็เข้าไปบอกแก่สุมาอี้อีกว่า

        “................ข้าพเจ้าเห็นทหารทั้งปวงได้ความลำบากนัก จะนั่งนอนก็จมน้ำอยู่กึ่งตัวบ้าง จะหุงหาอาหารก็ไม่ใคร่จะได้ ขอให้เลิกไปตั้งอยู่ที่ดอนก่อน ถ้าฝนคลายลงเมื่อใดจึงยกเข้ามาล้อมเมืองไว้ดังเก่า...........”

        สุมาอี้ก็โกรธ จึงว่า

        “.............ตัวเราเป็นแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์ ได้ออกปากห้ามแล้วเหตุใดตัวจึงไม่ฟัง บังอาจล่วงอาญาจะให้เสียการของเรา..........”

        แล้วจึงให้ทหารเอาตัวชื่อเหลียนไปตัดศีรษะเสียบไว้หน้าค่าย มิให้ทหารดูเป็นเยี่ยงอย่าง บรรดานายทหารเห็นดังนั้นก็กลัว มิได้ว่ากล่าวทัดทานแต่อย่างใด

        อยู่มาวันหนึ่งสุมาอี้ก็ให้เลิกค่ายถอยออกไปตั้งอยู่ไกลเมืองประมาณสองร้อยเส้น แล้วก็ให้ทหารไปขอเสบียงเพิ่มเติมจากเมืองลกเอี๋ยง ต่อมาอีกสามวันเวลากลางคืนฝนมิได้ตก ก็เห็นอุกาบาตผ่านมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือข้ามเขาซิวสาน ตกลงทางทิศตะวันออกเฉียงใต้  ทหารในกองทัพก็ตกใจกลัว สุมาอี้ก็ห้ามปรามว่า

        “...........อย่าตกใจเลย อันเป็นเหตุทั้งนี้เพราะเทพดาสำแดงเหตุ จะให้เรามีชัยชนะแก่ข้าศึก พ้นไปจากนี้ห้าวันเมืองเซียงเป๋งก็จะเสียแก่เรา ซึ่งอุกาบาตตกลงแห่งใดเราก็จะฆ่ากองซุนเอี๋ยนในที่นั้น.............”

        ครั้นเวลารุ่งเช้าสุมาอี้ก็ให้ทหารยกเข้าตั้งค่ายล้อมเมืองไว้อีก และให้ขนมูลดินมาถมเป็นเนินขึ้นทั้งสี่ด้าน ให้ทำพะองแลบันไดหกไปพาดกำแพงเมืองรบพุ่งทุกด้าน และให้ทหารเกาทัณฑ์ระดมยิงเข้าไปในเมืองดังห่าฝน ทหารที่อยู่บนเชิงเทินก็รบพุ่งป้องกันไว้ทั้งกลางวันกลางคืนอย่างเข้มแข็ง สุมาอี้ก็ยังไม่สามารถตีหักเอาเมืองได้

        ขณะนั้นทหารในเมืองเซียงเป๋งขัดสนด้วยเสบียงอาหาร กองซุนเอี๋ยนจึงให้ฆ่าโคและแพะแจกทหารกิน บรรดาทหารแลไพร่บ้านพลเมืองได้ความลำบากอดอยากนัก จึงชักชวนกันเป็นขบถ จะตัดศีรษะกองซุนเอี๋ยนไปให้สุมาอี้ กองซุนเอี๋ยนก็ตกใจนัก มิได้คิดจะรบพุ่ง จึงให้นายทหารสองนายกับคนใช้สี่คน ออกไปหาสุมาอี้แล้วแจ้งว่า กองซุนเอี๋ยนจะขออ่อนน้อมยอมสามิภักดิ์ แต่สุมาอี้กลับโกรธ บอกว่า

        “..............กองซุนเอี๋ยนดูหมิ่น มิได้ออกมาคำนับเรา ใช้แต่ทหารออกมานี้เห็นจะคิดร้ายแก่เรา............”

        แล้วก็สั่งให้ตัดศีรษะนายทหารสองคนนั้น ให้คนใช้ที่มาด้วยกัน เอากลับไปให้กองซุนเอี๋ยน แล้วบอกเนื้อความให้ฟังทุกประการ รุ่งขึ้นกองซุนเอี๋ยนก็ให้โอยเอี๋ยนออกไปหาสุมาอี้อีก สุมาเอี๋ยนก็ให้ตั้งแถวทหารสองแถวคอยรับ โอยเอี๋ยนก็คลานเข้าไปคำนับสุมาอี้หน้าแถวทหาร แล้วบอกว่า พรุ่งนี้กองซุนเอี๋ยนจะให้กองซุนสิวผู้บุตรออกมาเป็นตัวจำนำก่อน แล้วตนเองกับ           ขุนนางทั้งปวงจะมัดตัวเองออกมาหา สุมาอี้ก็ตอบว่า

        “.........อันธรรมดาการสงครามมีอยู่ห้าประการ ประการหนึ่งถ้าเห็นว่าจะต้านทานได้ ก็ให้คิดอ่านรบพุ่งจงสามารถ

        ประการหนึ่งถ้าเห็นสู้มิได้ ก็อย่าออกมารบพุ่ง ให้รักษาเมืองจงมั่นคง

        ประการหนึ่งถ้ารักษาเมืองไว้มิได้ ให้หนีเอาตัวรอด

        ประการหนึ่งแม้ไม่หนีก็ให้ออกมาอ่อนน้อมโดยดี จะมีชีวิตสืบไป

        ประการหนึ่งถ้าไม่ออกมาอ่อนน้อมโดยดี ก็ควรที่จะตาย

        เหตุใดกองซุนเอี๋ยนจึงบิดพริ้วอยู่ ให้แต่ทหารออกมาเจรจาว่าจะเอาบุตรมาไว้เป็นจำนำก่อนไม่ควร ตัวจงเร่งกลับไปบอกกองซุนเอี๋ยน ให้เร่งคิดอ่านโดยดีจึงจะรอดชีวิต ถ้าขัดขวางอยู่เราจับได้ ก็จะตัดศีรษะเสียบไว้ที่ประตูเมือง...........”

        โอยเอี๋ยนก็ตกใจจนตัวสั่น คำนับลาเข้ามาบอกกองซุนเอี๋ยนทุกประการ กองซุนเอี๋ยนก็บอกให้กองซุนสิวผู้บุตร ให้จัดทหารคนสนิทไว้ เวลากลางคืนจะลอบหนีออกจากเมือง    

        สุมาอี้ก็เดาความคิดของกองซุนเอี๋ยนได้ จึงยกทหารไปตั้งที่ริมเนินเขาข้างตะวันออกเฉียงใต้ และให้บุตรทั้งสองกับนายทหารตั้งซุ่มสกัดอยู่หลายกอง ถึงเวลากลางคืนกองซุนเอี๋ยนและกองซุนสิวผู้บุตรกับทหารประมาณพันหนึ่ง ก็เปิดประตูเมืองทางทิศใต้หนีไปทางทิศ อาคเณย์ได้ประมาณร้อนเส้น ก็เจอนายทหารของสุมาอี้ดักอยู่ เมื่อแยกหนีต่อไปจนถูกสกัดหมดทุกหนทาง เห็นจวนตัวเข้าจึงพาบุตรลงจากม้าคำนับสุมาอี้ ร้องขอชีวิต แต่สุมาอี้ว่ากองซุนเอี๋ยนนี้มีใจกำเริบนัก ซึ่งจะเลี้ยงไว้นั้นไม่ได้ จึงให้เอาตัวสองพ่อลูกไปประหารชีวิตเสีย

        แล้วสุมาอี้ก็นำกองทัพเข้ายึดเมืองเลียวตั๋ง และให้จับบุตรภรรยาพรรคพวกของกองซุนเอี๋ยน กับขุนนางผู้เป็นใจด้วยนั้น ฆ่าเสียประมาณเจ็ดสิบคน แล้วปราบปรามอาณาประชาราษฎรให้อยู่เป็นปกติ ชาวเมืองก็บอกว่าเมื่อกองซุนเอี๋ยนเป็นขบถนั้น มีขุนนางสองคนได้ห้ามปราม กองซุนเอี๋ยนก็ให้ฆ่าเสีย สุมาอี้จึงให้แต่งการศพขุนนางสองคนนั้นตามธรรมเนียม แล้วให้เงินทองแก่บุตรภรรยาตามสมควร และให้เอาเงินทองสิ่งของในคลัง มาแจกทแกล้วทหารทั้งหลาย แล้วก็ยกกองทัพกลับ โดยให้ม้าใช้รีบเอาเนื้อความการรบพุ่งจนได้เมองเลียวตั๋ง ไปทูลพระเจ้าโจยอยทรงทราบก่อน

        เมื่อพระเจ้าโจยอยทรงทราบข่าวนั้น พระองค์ได้ประชวรและยกมาอยู่เมืองฮูโต๋ จึงมีรับสั่งตั้งโจฮูเป็นที่เอี๋ยนอ๋อง ไปรักษาเมืองเลียวตั๋ง เมื่อ   สุมาอี้มาถึงเมืองฮูโต๋ พระเจ้าโจยอยก็ให้        สุมาอี้เข้าเฝ้าข้างในแล้วตรัสว่า

        “...........เราป่วยหนักอยู่แล้ว เราเอาใจไว้ท่า แต่พอได้เห็นหน้าท่านหน่อยหนึ่งเถิด ถึงมาตรว่าจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต...........”

        สุมาอี้ก็ทูลว่า

        “.............ข้าพเจ้ามาถึงกลางทาง แจ้งกิตติศัพท์ว่าพระองค์ประชวรหนัก ก็ไม่มีความสบายเลย แม้มีปีกก็จะรีบบินมาให้ถึงก่อน ซึ่งข้าพเจ้าได้มาทันถวายบังคม เป็นบุญของข้าพเจ้านัก.........”

        พระเจ้าโจยอยจึงให้หาโจฮองผู้เป็นพระราชบุตรเลี้ยงอายุแปดขวบ กับโจซองบุตรของโจจิ๋น และขุนนางผู้ใหญ่อีกสองคนเข้ามาเฝ้า ฮ่องเต้ก็ยึดมือสุมาอี้ไว้แล้วตรัสว่า

        “.........ครั้งเล่าปี่ป่วยหนักอยู่ที่เมืองเป๊กเต้นั้น ให้หาเล่าเสี้ยน ขงเบ้งเข้ามา แล้วฝากเล่าเสี้ยนไว้กับขงเบ้ง เล่าปี่ก็ถึงแก่ความตาย ขงเบ้งนั้นตั้งใจทำนุบำรุงเล่าเสี้ยนมาโดยสุจริต จนขงเบ้งถึงแก่ความตายในขณะทำสงคราม เล่าเสี้ยนก็ยังตั้งตัวเป็นสุขอยู่ ณ เมืองเสฉวน บัดนี้เราจะให้โจฮองครองราชสมบัติ ให้โจซองผู้เป็นพระราชวงศ์ ช่วยประคองว่าราชการไปกว่าอายุโจฮองจะจำเริญขึ้น ให้ท่านกับราชวงศ์แลขุนนางทั้งปวงช่วยกันทำนุบำรุงโจฮองสืบไป.........”

        แล้วตรัสกับโจฮองว่าบิดานี้กับสุมาอี้ก็เหมือนกัน แลบัดนี้บิดาก็จะถึงแก่ความตายแล้ว เจ้าจงฝากตัวคำนับสุมาอี้เหมือนบิดาเถิด แล้วให้สุมาอี้อุ้มโจฮองไว้ โจฮองก็กอดคอสุมาอี้ไว้มั่นคง พระเจ้าโจยอยก็รับสั่งกับสุมาอี้ว่า

        “............โจฮองนั้นมีความอาลัยฝากตัวแก่ท่าน ท่านจงเห็นแก่เราอย่าได้ลืมลูกน้อยเสียเลย อันชีวิตเราเห็นจะตายในวันนี้แล้ว.........”

        แล้วพระเจ้าโจยอยก็ทรงพระกันแสง จนเจรจาไม่ออกสิ้นพระชนม์ไป เมื่อพระ      ชนมายุได้สามสิบหกปี เสวยราชย์มาได้สิบสามปี เมื่อ พ.ศ.๗๘๓ หมดสิ้นฮ่องเต้ของวุยก๊กไปอีกพระองค์หนึ่ง

        แล้วสุมาอี้มหาอุปราชของวุยก๊ก จะทำนุบำรุงพระเจ้าโจฮอง เหมือนขงเบ้งมหาอุปราชจ๊กก๊ก ทำนุบำรุงพระเจ้าเล่าเสี้ยนหรือไม่ ก็ต้องดูกันต่อไป.

##########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่