กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อแก้ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับการขายโรงกลั่นไทยออยล์และการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
กระทู้นี้ เฉพาะประเด็นเกี่ยวกับบริษัทไทยออยล์เท่านั้น
ใครต้องการแลกเปลี่ยนเรื่องการเมือง ผมตั้งไว้อีกกระทู้ที่ห้องราชดำเนิน
http://pantip.com/topic/31135810
กลับมาที่ประเด็นการกล่าวหา ที่ว่า นายอานันท์ขายหุ้นโรงกลั่นไทยออยล์ให้นายเกษม จาติกวณิช มีความจริงเป็นอย่างไร
ผมค้นเจอบทความ 2 ตอน ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันปี 2536 เขียนโดย นายรังสรรค์ ธนะพรพันธุ์
บทความทั้ง 2 ตอน ตาม link
http://goo.gl/FavKQT
http://goo.gl/rCI5hS
พอสรุปประเด็นได้ดังนี้
1.บริษัทไทยออยล์ ก่อตั้งโดยเอกชน คือนายเชาว์ เชาว์ขวัญยืน เป็นผู้รับอนุญาตให้สร้างโรงกลั่น โดยมีข้อตกลงยกกรรมสิทธิ์ในโรงกลั่นให้เป็นของรัฐ (โดยกระทรวงอุตสาหกรรม)
2. มีการปรับปรุงโครงสร้างผู้ถือหุ้นในปี 2522 ถือหุ้นโดย ปตท 49% สำนักงานทรัพย์สิน 2% ที่เหลือเป็นภาคเอกชน โดยมีข้อตกลงสัญญาการร่วมทุนที่ทำในปี 2522 ระบุไว้ว่า หากไทยออยล์ต้องการเพิ่มทุนในอนาคต ต้องทำโดยการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น
3. ปี 2531 รัฐบาลอนุมัติให้ไทยออยล์ขยายกำลังการผลิต เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต โดยระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์
4. ปี 2533 ไทยออยล์ขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ถูกปฏิเสธ ด้วยเหตุผลว่า ไม่มีโรงกลั่นเป็นของตัวเอง และสัญญาเช่าเหลือเพียง 11 ปี
5. ปี 2534 เป็นสมัยรัฐบาลนายอานันท์ ไทยออยล์ เสนอขอซื้อโรงกลั่น 2 แห่งจากกระทรวงอุตสาหกรรม และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการระดับกระทรวง
6. ปี 2534 เมื่อข้อเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ถูกคัดค้านจากนายมีชัย ฤชุพันธ์ มีการตั้งคณะกรรมการพิจารณา แต่รัฐบาลหมดวาระไปก่อน
7. ปี 2535 รัฐบาลอานันท์ 2 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้กระทรวงอุตสาหกรรมขายโรงกลั่น 2 แห่งให้แก่บริษัทไทยออยล์ ในราคา 8,764 ล้านบาท และต่ออายุสัญญาเช่าที่ดินกรมธนารักษ์อีก 30 ปี
รายละเอียดยังมีอีกพอสมควร ใครอยากรู้ลองไปอ่าน
ประเด็นที่นายพานทองแท้ ระบุว่า นายอานันท์ขายหุ้นโรงกลั่นไทยออยล์ให้นายเกษม จาติกวณิช ในราคา 8,000 กว่าล้าน จึงเป็นความเข้าใจผิด เพราะ นายเกษม ขณะนั้นเป็นผู้บริหารของไทยออยล์
และผู้ขาย คือกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้ซื้อคือ บริษัทไทยออยล์ ไม่ใช่นายเกษม
ส่วนราคา ที่ว่าขายถูก แค่ 8000 ล้าน ทั้งๆที่มีคนขอซื้อ 15000 ล้าน ก็ไม่เป็นความจริง
เพราะราคาจากผู้ประเมิน 4 ราย ให้ราคาสูงสุดแค่ 200ล้านเหรียญเท่านั้น
และเป็นนโยบายที่โรงกลั่นน้ำมันต้องอยู่ในความควบคุมของรัฐ ไม่สามารถขายให้เอกชน
รายละเอียดมีในเอกสารตอนที่ 2
http://goo.gl/rCI5hS
เส้นทางของโรงกลั่นไทยออยล์
กระทู้นี้ เฉพาะประเด็นเกี่ยวกับบริษัทไทยออยล์เท่านั้น
ใครต้องการแลกเปลี่ยนเรื่องการเมือง ผมตั้งไว้อีกกระทู้ที่ห้องราชดำเนิน
http://pantip.com/topic/31135810
กลับมาที่ประเด็นการกล่าวหา ที่ว่า นายอานันท์ขายหุ้นโรงกลั่นไทยออยล์ให้นายเกษม จาติกวณิช มีความจริงเป็นอย่างไร
ผมค้นเจอบทความ 2 ตอน ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันปี 2536 เขียนโดย นายรังสรรค์ ธนะพรพันธุ์
บทความทั้ง 2 ตอน ตาม link
http://goo.gl/FavKQT
http://goo.gl/rCI5hS
พอสรุปประเด็นได้ดังนี้
1.บริษัทไทยออยล์ ก่อตั้งโดยเอกชน คือนายเชาว์ เชาว์ขวัญยืน เป็นผู้รับอนุญาตให้สร้างโรงกลั่น โดยมีข้อตกลงยกกรรมสิทธิ์ในโรงกลั่นให้เป็นของรัฐ (โดยกระทรวงอุตสาหกรรม)
2. มีการปรับปรุงโครงสร้างผู้ถือหุ้นในปี 2522 ถือหุ้นโดย ปตท 49% สำนักงานทรัพย์สิน 2% ที่เหลือเป็นภาคเอกชน โดยมีข้อตกลงสัญญาการร่วมทุนที่ทำในปี 2522 ระบุไว้ว่า หากไทยออยล์ต้องการเพิ่มทุนในอนาคต ต้องทำโดยการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น
3. ปี 2531 รัฐบาลอนุมัติให้ไทยออยล์ขยายกำลังการผลิต เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต โดยระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์
4. ปี 2533 ไทยออยล์ขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ถูกปฏิเสธ ด้วยเหตุผลว่า ไม่มีโรงกลั่นเป็นของตัวเอง และสัญญาเช่าเหลือเพียง 11 ปี
5. ปี 2534 เป็นสมัยรัฐบาลนายอานันท์ ไทยออยล์ เสนอขอซื้อโรงกลั่น 2 แห่งจากกระทรวงอุตสาหกรรม และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการระดับกระทรวง
6. ปี 2534 เมื่อข้อเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ถูกคัดค้านจากนายมีชัย ฤชุพันธ์ มีการตั้งคณะกรรมการพิจารณา แต่รัฐบาลหมดวาระไปก่อน
7. ปี 2535 รัฐบาลอานันท์ 2 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้กระทรวงอุตสาหกรรมขายโรงกลั่น 2 แห่งให้แก่บริษัทไทยออยล์ ในราคา 8,764 ล้านบาท และต่ออายุสัญญาเช่าที่ดินกรมธนารักษ์อีก 30 ปี
รายละเอียดยังมีอีกพอสมควร ใครอยากรู้ลองไปอ่าน
ประเด็นที่นายพานทองแท้ ระบุว่า นายอานันท์ขายหุ้นโรงกลั่นไทยออยล์ให้นายเกษม จาติกวณิช ในราคา 8,000 กว่าล้าน จึงเป็นความเข้าใจผิด เพราะ นายเกษม ขณะนั้นเป็นผู้บริหารของไทยออยล์
และผู้ขาย คือกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้ซื้อคือ บริษัทไทยออยล์ ไม่ใช่นายเกษม
ส่วนราคา ที่ว่าขายถูก แค่ 8000 ล้าน ทั้งๆที่มีคนขอซื้อ 15000 ล้าน ก็ไม่เป็นความจริง
เพราะราคาจากผู้ประเมิน 4 ราย ให้ราคาสูงสุดแค่ 200ล้านเหรียญเท่านั้น
และเป็นนโยบายที่โรงกลั่นน้ำมันต้องอยู่ในความควบคุมของรัฐ ไม่สามารถขายให้เอกชน
รายละเอียดมีในเอกสารตอนที่ 2 http://goo.gl/rCI5hS