เรื่องยาว : ป่าอุ่นใจไำออุ่นรัก (ตอนที่ ๑๐)

กระทู้สนทนา
ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก
หญ้าเจ้าชู้

ตอนที่ ๑๐

เช้าของอีกวัน อัลยาแต่งเครื่องแบบเต็มยศตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น รอจ่าสิทธิ์มารับไปที่หน่วยเพื่อรายงานตัวและรายงานผลการปฏิบัติงานในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่คนที่ตื่นเช้ากว่ากลับเป็นเจ้าของพื้นที่ซึ่งเพิ่งเดินกลับมาจากโรงเรือนสำหรับพักฟื้นสัตว์ป่วย

“สวัสดีตอนเช้าครับผู้หมวดอารยัน จะรีบไปไหนเพิ่งจะหกโมงเอง ทานอะไรหรือยัง กาแฟก่อนมั้ย ผมชงเผื่อนะ รอแป๊บนึง”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ไว้เผื่อคนอื่นเถอะ”
ประโยคหลังแค่...พึมพำในลำคอ แต่ดูเหมือนสัตวแพทย์หนุ่มจะได้ยิน เขาแอบอมยิ้มไม่พูดจาแต่เดินเข้าบ้านไปชงกาแฟมาเผื่อ

“เดี๋ยวผมไปส่งนะ เช้านี้ไม่มีงานเร่งด่วนอะไร”

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวจ่าสิทธิ์ก็มาแล้ว”

“เอ๊...วันนี้ลมฟ้าก็ปกติดีนี่นะ แต่รู้สึกว่าอากาสมันอึมครึมพิกลเนอะ”

“งั้นมั้ง”
คำตอบสั้นไม่ต่อปากต่อคำ เดาว่าอาจจะไม่ค่อยเบิกบานเท่าไหร่สำหรับเช้านี้ แต่เพราะเห็น “อัลยาหน้างอ” นั่นแหละเลยรวบรวมความกล้าหาญทั้งหมดที่มีอยู่ถามตรงๆ พร้อมยอมโดนด่าล่ะ

“เอ้า ไม่อ้อมค้อมล่ะนะ คุณเป็นอะไรหรือ อัลยา”

“เป็นทหารค่ะ”
มุกติดเบรคแบบนี้ คนถามถึงกับอึ้งและพูดอะไรไม่ออก เพราะปรับอารมณ์ตามไม่ถูก

“จ่าสิทธิ์มาแล้ว เจ็ดโมงเช้าตรงเวลาเป๊ะ ฉันไปทำงานก่อนนะคะ”
คนที่รอสบตายิ้มให้ถึงกับมึน ขณะที่นักเขียนสาวซึ่งคอย “สังเกตการณ์” อยู่ไม่ไกลนักค่อยๆ เดินลงบันไดมา แสร้งทำเหมือนว่าเพิ่งตื่นนอน

“สวัสดีค่ะพี่ทศ ตื่นแต่เช้าเลยนะคะ วันนี้มีโปรแกรมอะไรพิเศษมั้ยคะ มากิจะได้ขออนุญาตตามไปเก็บข้อมูล”

“อ๋อ วันนี้เหรอครับ วันนี้พี่ทำงานในสำนักงานน่ะครับ เคลียร์เอกสารต่างๆ เช่น เรื่องของยารักษาโรค อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นเพิ่มเติม รักษาสัตว์เล็กตามอาการน่ะครับ”

“ดีเลย งั้นมากิก็จะได้เขียนนิยายบ้าง”

“ครับ ตามสะดวกเลย งั้นพี่ขอตัวก่อนนะ”

“บ๊ายบายค่า”
มากิส่งยิ้มให้ ผู้ชายหน้าไหนก็ย่อมหวั่นไหวเป็นธรรมดา ก็เล่นมีนางฟ้ามายิ้มให้ขนาดนี้ ทศพรรษเองถึงแม้จะไม่ได้รู้สึกหลงไหลในความน่ารักของมากิ แต่ก็อดเปรียบเทียบไม่ได้ว่าถ้าอัลยายิ้มได้สักครึ่งของมากิก็คงทำให้ป่าผืนนี้ สดชื่นขึ้นมาบ้าง

รถจี๊ปจอดสนิท อัลยาลงจากรถเดินไปรอรวมแถวกับคนอื่นๆ วันศุกร์เป็นวันเดียวในสัปดาห์ที่ทุกคนในหน่วยต้องมาพร้อมหน้ากันเพื่อรายงานผลฯ จำนวนกำลังพลของหน่วยมาพร้อมกันเกือบครบยกเว้นคนที่ติดภารกิจมาไม่ได้ หน่วยสามเจ็ดสองที่ดูเงียบเหงาในวันธรรมดาก็ดูครึกครื้นสมเป็นหน่วยทหารขึ้นมาในทันที เมื่อกำลังพลในเครื่องแบบทุกนายแต่งกายเต็มยศ

“เป็นไงบ้างครับหมวดอัลยา อยู่อินทนิลสบายดีมั้ย”
ภาณุพัฒน์เดินตรงมาที่อัลยาที่กำลังยืนคุยอยู่กับคนอื่นๆ

“สบายดีค่ะ แล้วผู้กองภาณุล่ะคะ งานเยอะมั้ย”

“เรื่อยๆ น่ะครับ เหมือนทุกวัน เดี๋ยวสักครู่เชิญหมวดพบหัวหน้านะครับ”

“เรื่องรายงานใช่มั้ยคะ”

“ยังครับ รายงานไว้คุยกันในที่ประชุม รู้สึกว่าหัวหน้ามีธุระจะคุยด้วยนิดหน่อยครับ”

“ขอบคุณค่ะ”
อัลยานึกถึงธุระนิดหน่อยที่ผู้กองภาณุพัฒน์บอก ถ้าไม่ใช่เรื่องงานแล้วจะเป็นเรื่องอะไร และคนเดียวที่จะให้คำตอบได้คือหัวหน้าร่มฉัตร และยังไม่ต้องรอให้บอกซ้ำ อัลยาก็ตรงไปยังห้องทำงานหัวหน้าทันที

“สวัสดีค่ะหัวหน้า”

“เป็นอะไรหรือ หน้าตาไม่สดใสเลยเช้านี้ มีอะไรอยากจะเล่าให้ผมฟังหรือเปล่า”
จะให้สดใสก็แปลกละ คนนอนไม่หลับทั้งคืนนี่นะ

“อืมม์ นิดหน่อยค่ะ”

“เรื่องคนหรือเรื่องงาน อยู่กับหมอทศไม่สบายใจหรือ?”

“ไม่มีปัญหาเรื่องคนหรอกค่ะ อยู่ที่นั่นสะดวกสบายดี แต่มีเรื่องงานนิดหน่อยที่รู้สึกว่าตัวเองทำงานได้ไม่คุ้มค่ากับงานที่ได้รับมอบหมายเท่าไหร่น่ะคะ”

“ยังไง”

“ก็... แต่ละวันไม่ได้ทำอะไรมาก ต้องรอตามหมอออกป่า ถ้าหมอไม่ออกก็ไม่มีอะไรทำ”
หัวหน้าฉัตรถามคำตามต่อมา

“ตอนออกป่า ส่วนใหญ่ใช้เวลานานแค่ไหน”

“บางครั้งก็ทั้งวัน ตั้งแต่เช้ามืดกลับเช้าอีกวัน บางทีก็ออกตอนดึกกลับมาตอนเช้า หรือไม่ก็สองวัน หรืออาจจะเกือบสัปดาห์ แล้วแต่หมอค่ะ”

“แล้วส่วนใหญ่คุณทำอะไรบ้าง”

“ส่วนใหญ่จะออกสำรวจกับพี่ๆ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ในละแวกใกล้เคียงกับบริเวณที่หมอรักษาสัตว์ แต่ก็รู้ตัวว่าช่วยอะไรไม่ได้มาก บางครั้งก็ออกจะเป็นภาระของพวกเขามากกว่า เป็นผู้หญิง”

“ถามเขาหรือเดาเอง”

“ก็คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นน่ะค่ะ”

“เจ้าหน้าที่ป่าไม้เขาอาจจะคุ้นเคยกับป่า และเชี่ยวชาญในด้านการเดินป่า สำหรับทหารก็มีความเชี่ยวชาญในด้านอื่นหรือสามารถกระทำการใดที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ไม่มีอำนาจ เพราะฉะนั้นการมีเจ้าหน้าที่ทหาร หรือตำรวจอยู่ในชุดลาดตระเวณร่วมกับเจ้าหน้าที่ส่วนอื่นจะช่วยให้สะดวกต่อการตัดสินใจมากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับหัวหน้าชุดที่จะมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคน ดังนั้น การจะมีใครสักคนมาบอกว่าใครเป็นตัวถ่วงใคร หรือใครเป็นภาระใคร นั่นถือเป็นความบกพร่องของหัวหน้าชุด”

“เอ่อ ไม่ใช่นะคะ คือฉันคิดเอาเองน่ะค่ะ ว่าเป็นภาระ”

“การทำงานน่ะ ไม่ได้หมายความว่าเราต้องทำงานหนัก หรือต้องใช้แรงงานเยอะๆ ถึงจะคุ้มค่า งานบางอย่างเราวัดปริมาณไม่ได้ เพราะผลที่ได้รับเป็นนามธรรมอย่างเรื่องของความรู้สึก เรื่องของจิตใจ คุณค่าของงานมันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราเห็นคุณค่าของตัวเองเสียก่อน งานบางอย่างอาจจะต้องใช้เวลา ซึ่งคนทำงานก็ต้องอดทน คุณไม่ต้องกังวลหรอก ผมคิดดีแล้วถึงได้ส่งคุณไปอยู่ที่อินทนิล”

“ค่ะหัวหน้า”
สิ่งที่หัวหน้าสอน ทำให้อัลยามีโอกาสได้ทบทวนตัวเอง เพราะความตั้งใจในการมาที่นี่ก็เพื่อทำประโยชน์ให้กับบ้านเมือง “เป็นทหารทั้งทีก็ต้องไปแนวหน้าสิ มันถึงจะสมกับเป็นทหาร มีผู้คนอีกตั้งมากที่เราช่วยเหลือเขาได้ ผู้คนริมขอบชายแดนที่ต้องการให้ทหารเข้าไปดูแลความปลอดภัย ถ้าแค่ตื่นเช้ามาทำงาน เย็นกลับบ้าน ใครก็ทำได้ทั้งนั้น ดังนั้นแล้วในเมื่อเรามีโอกาสได้ทำก็ต้องทำให้ดีที่สุด เพื่อชาติ” แต่เฮ้อ จนถึงบัดนี้แล้วยังไม่มีผู้คนริมขอบชายแดนให้เข้าไปดูแลความปลอดภัยเลย นอกจากสัตวแพทย์จอมกวนเท่านั้น

“แล้วหนูมากิล่ะ ยังอยู่ที่บ้านพักใช่มั้ย”

“ค่ะ”

“ดีแล้ว ฝากดูแลด้วยนะ”
อัลยาอยากจะย้อนเหลือเกินว่า คนดูแลมากิน่ะแทบจะวิ่งชนกันอยู่แล้ว ไหนจะหมู่เด่น ไหนจะหมอทศจนอัลยากลายเป็นหมาหัวเน่าไปแล้ว

หญิงสาวนึกถึงประโยคของหัวหน้าร่มฉัตรที่ให้คำแนะนำเรื่องงาน อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ควรต้องเรียนรู้ในสิ่งที่จำเป็นต่อการปฎิบัติงานเบื้องต้นไม่ให้หมอทศว่าเอาได้ว่าเป็นทหารทั้งทีแต่ใช้วิทยุสื่อสารไม่เป็นน่าขายหน้าจะตายไป แต่ครั้นจะให้จ่าสิทธิ์หรือหมู่เด่นสอนให้ก็ดูจะไม่เหมาะสมอีก จะเหลือก็แค่หมอทศเท่านั้น แต่ก็เหอะ จะมีเวลาสอนหรือเปล่าก็ไม่รู้ มัวแต่ดูแลสาว เฮอะ...

จบงานที่สามเจ็ดสอง จ่าสิทธิ์ไปส่งอัลยาที่อินทนิล ซึ่งก็ดูเหมือนมากิเองก็ช่างคำนวณเวลาไว้ตรงเผง เพราะเธอเองก็เพิ่งลุกจากหน้าจอมอนิเตอร์ เดินไปหาหมอทศที่สำนักงานเมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่อัลยาจะมาถึง และแปลงกายเป็น “ตัวอิจฉาในนิยาย” ของตัวเองทันที แต่ดูเหมือนจะไร้ผลเพราะอัลยาไม่สนใจภาพที่มากิกำลังหัวร่อต่อกระซิกกับหมอทศ ทำให้มากิคิด “พล็อต” ต่อไม่ได้... แต่นักเขียนระดับมากิซะอย่างมีหรือจะยอมให้ตัวเองเขียนนิยายสะดุด

“พี่หยาขา กลับมาแล้วเหรอคะ วันนี้เหนื่อยมั้ยคะ”

“เอ่อ ไม่เหนื่อยค่ะ”

“พรุ่งนี้พี่หยาไม่ต้องออกป่ากับพี่ทศก็ได้นะคะ เดี๋ยวมากิจะไปเป็นเพื่อนพี่ทศเอง”
นักเขียนสาวแสร้งจีบปากจีบคอบอกกับอัลยา

“มากิครับ พี่ไม่ได้ไปเดินเล่นนะครับ พี่ไปทำงาน”

“แต่พี่ทศสัญญาว่าจะให้มากิเก็บข้อมูลได้นี่คะ”

“การทำงานในป่าไม่เหมือนกับทำงานที่นี่นะครับมากิ นอกจากอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาจากสัตว์ป่า ไหนจะงู ไหนจะทากดูดเลือด ไหนจะเสือ แล้วยังต้องทนหนาว ทนฝน และต้องทนกับการไม่ได้นอนอีกด้วย ที่สำคัญพี่ไม่มั่นใจว่าจะดูแลมากิให้ปลอดภัยได้”

“เอิ่ม... เสือเลยเหรอคะ งั้น... ก็ได้ค่ะ ไม่เป็นไร มากิเชื่อพี่ทศ”

“ว่าง่ายๆ แบบนี้ใครไม่รักก็แปลกละนะ”
ประโยคชื่นชมออกนอกหน้าที่ทำให้อัลยาเจ็บแปล๊บเหมือนเข็มปักใจ และไม่อาจพูดอะไรได้มากกว่าเดินหนี

“วันนี้เหนื่อยมาก ขอตัวก่อนนะคะ”
พูดจบก็เดินลิ่วๆ เข้าบ้านไม่สนใจใคร

“อ้าว....เมื่อกี้ยังบอกอยู่เลยว่าไม่เหนื่อย”
มากิพึมพำ... แต่ทั้งหมอทศและมากิก็รู้ดีว่าเพราะอะไร...

เช้าตรู่ที่อากาศไม่แปรปรวนและอารมณ์ของอัลยาเองก็ไม่ปรวนแปร จนเป็นที่แปลกใจของทศพรรษ ที่เพียงแค่ข้ามวันอัลยาก็เปลี่ยนไปเหมือนคนละคนเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าอารมณ์ดีเพราะจะได้ออกป่าหรืออารมณ์ดีเพราะเรื่องอื่น ส่วนมากิเองต่อให้ถูกปฏิเสธในการร่วมเดินทางแต่เธอก็ยัง “แอบ” เอาเครื่องบันทึกเสียงขนาดจิ๋วหย่อนลงไปในซอกเล็กๆ ของกระเป๋ายา ของหมอทศได้ “เพื่อนิยายรักที่แสนโรแมนติกเรื่องใหม่” มากิบอกตัวเองขณะที่ช่วยหมอทศเตรียมกระเป๋ายา

อัลยาแต่งกายอย่างทะมัดทะแมงด้วยชุดเดินป่า แบบเดียวกับหมอทศ

“รีบไปรีบกลับนะค้า”
มากิโบกมือให้ และรอคอยบทสนทนาจากเครื่องบันทึกเสียงของตัวเอง ถึงแม้จะรู้สึกผิดนิดๆ ที่ใช้วิธีลัดในการเขียนนิยาย แต่เพื่อความสมจริง และอีกอย่างมากิก็ไม่ได้ใช้บทสนทนาทั้งหมดเสียเมื่อไหร่ แค่ฟังแล้วเอามาปรับให้เข้ากับเรื่องของตัวเองต่างหาก

พ้นเขตสำนักงานมาได้ไม่ไกลนัก แต่ความเงียบก็ดูจะครอบคลุมพื้นที่ระหว่างคนทั้งสองอย่างแน่นหนา เสียงรองเท้าที่ไม่ดังไปกว่าทำให้เรไรที่ระงมป่าเงียบลงไปชั่วคราว เสียงถอนหายใจแผ่วเบาของคนที่เดินอยู่ข้างหลัง สัตวแพทย์สัตว์ป่าคนเดียวของป่ากว้างแห่งนี้ เวลาทำงานในป่าทศพรรษเหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่ในสำนักงาน

“เดินป่าก็เป็นห่วงคนที่เดินตามหลังบ้าง อะไรบ้าง... ควายก็ไม่ได้หาย ไม่รู้จะรีบอะไรนัก”
ประโยคที่เปรยขึ้นไม่เบานักทำให้คนเดินนำหน้าแทบสะดุด แต่ก็ไม่ได้หยุดเดินในทันทีเพราะรู้ดีว่าคนที่เดินตามหลังเริ่มระวังตัว จึงเพียงแค่เดินช้าลง และสวมวิญญาณนักวิชาการแนะนำ “ป่า” ให้คนที่เพิ่งมาอยู่ป่าไม่นานได้รู้จัก

“ภูมิประเทศส่วน ใหญ่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอินทนิล หรือป่าอิรวดีนั้นเป็นเทือกเขาสูงชันสลับ ซับซ้อน มีพื้นที่ราบไม่มากนัก พื้นที่โดยทั่วไปมีความลาดชัน ยอดเขาที่สูงที่สุด คือ ยอดเขาอิรวดี ซึ่งอยู่ฝั่งโน้น มียอดสูงประมาณ พันสี่ร้อยเมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง แต่เนื่องจากมีเทือกเขาจำนวนมากจึงเป็นแหล่งกำเนิดลำคลองหลายสาย บางสายก็ไหลผ่านหมู่บ้านของชนกลุ่มน้อยใช้เป็นแหล่งดำรงชีพ ซึ่งคลองเหล่านี้จะมีน้ำไหลตลอดปี ฤดูฝนมีน้ำไหลเชี่ยวมาก เพราะงั้นการเดินป่าต้องระมัดระวังให้มาก เข้าใจมั้ย”

“เข้าใจค่ะ...เจ้านาย”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่