......คนอีสาน: การเมือง, ประชาธิปัตย์

กระทู้สนทนา
คนอีสาน:  การเมือง  ประชาธิปัตย์

การศึกษาที่มีวุฒิบัตรรองรับและ (ย้ำคำว่าและ)สังคมในเมืองโดยเฉพาะเมืองหลวงให้การยอมรับได้ถูกนำมาเป็นมาตรวัดความฉลาดของคนไทยในวงกว้างนับตั้งแต่ประเทศไทยมีการศึกษาเป็นระบบแบบแผนเป็นต้นมา   คุณภาพและคุณค่าของความเป็นคนไทยได้ถูกแบ่งแยกเป็นชนชั้นแบบอ่อนๆ ถึงระดับเข้มข้นซึ่งก็แล้วแต่ระดับจิตใจและมุมมองของแต่ละคน   แบบอ่อนๆ ก็เป็นต้นว่าฉันจบจากสวนกุหลาบส่วนเธอจบจากโรงเรียนวัดคอกหมู  แบบเข้มข้นก็ถึงขั้นเปรียบกันเป็นลิง เป็นควายไปเลยก็มี    



สถานะความ “ด้อยโอกาส” ทางการศึกษาของคนไทยโดยเฉพาะคนจากภาคอีสานย่อมเลี่ยงไม่พ้นที่จะถูกครหาว่าล้าหลังซึ่งนั่นก็เป็นข้อเท็จจริงที่คนอีสานไม่อาจจะปฏิเสธ   แม้ว่าคนอีสานระดับปัญญาชนจะมีมากทั้งในฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม  และยังมี “ช้างเผือก” อีกจำนวนมากที่ติดหล่มฐานะความยากจนออกจากป่ามาไม่ได้    แต่ในเมื่อคนส่วนใหญ่ “ด้อยโอกาส” ที่จะก้าวเข้าสู่การศึกษาที่เป็นระบบแบบแผนที่ทางรัฐจัดไว้   จะเจนจัดหรือจัดจ้านต่อประสบการณ์ชีวิตมาจากที่ไหนก็แล้วแต่ย่อมถูกตราหน้าว่าล้าหลังอยู่ดี    และอาจจะยังคงถูกมองเช่นนี้ไปอีกนาน   นี่แหละคือสังคมไทยที่ให้ความสำคัญต่อการศึกษาอย่างสูงส่งและเข้มข้น     ระบบการศึกษาของไทยเหมือนแสงสว่างจากเปลวเทียนในความมืด   จุดที่ห่างไกลจากเปลวเทียนย่อมถูกมองว่ามืดกว่าจุดที่ใกล้เปลว


ตีวงแคบลงมาอีกนิด  เมื่อผนวกเรื่องการเมืองเข้ากับคนอีสาน   ปัญญาชนบางคนถึงกับเคยเปรียบเปรยแบบอ้อมค้อมในทำนองว่าลิงบาบูนอาจจะทำได้ดีกว่าหรือมองว่าคนอีสานขายเสียง.....เฉพาะเรื่องซื้อสิทธิ์ขายเสียงนี้ คนอีสานมักจะถูกปรามาสมาทุกยุคทุกสมัย    ทั้งๆที่เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นทุกภาค    แม้กระทั่งที่กรุงเทพมหานคร(ผมประสบมากับตัวเองที่เขตคลองสาน  คุณอลงกรณ์  พลบุตรเองก็เคยยอมรับวาประชาธิปัตย์ก็ใช้เงินไม่แพ้คนอื่นหรืออาจจะมากกว่าพรคคอื่นๆ ด้วยซ้ำไป)  แปลก..... แทบจะทุกนิ้วต่างก็ชี้ไปว่าเพราะคนอีสานขาดการศึกษา   นั่นก็คือขาดการใช้ปัญญาในการเลือกผู้แทน   โดยมองข้ามข้อเท็จจริงไปหลายอย่าง


ต้องไม่ลืมว่าก่อนการก่อตั้งพรรคความหวังใหม่ของพลเอกชวลิต  ยงใจยุทธ   คนอีสานเลือกผู้แทนจากประชาธิปัตย์ไม่น้อยเลยขุนพลดังๆ จากภาคอีสานเช่น ประจวบ  ไชยสาสน์  สุทัศน์  เงินหมื่น  ฯลฯ  นำทีมผู้แทนจากอีสานเข้าทำเนียบหลายสมัย   อุดรธานีถิ่นของประจวบ  ไชยสาสน์สมัยนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเมืองหลวงของประชาธิปัตย์ภาคอีสานเลย  (แต่ตอนนี้??)


“โครงการอีสานเขียว” ที่พลเอกชวลิต  น้อมนำพระราชดำริมาพัฒนาภาคอีสานในสมัยที่ดำรงตำแหน่ง ผบทบ อาจจะเป็น "จุดเปลี่ยน" ที่คนอีสานได้เรียนรู้(ฉลาดขึ้น??)ว่าการเลือกผู้แทนแบบบุคคลนิยมหรือพรรคนิยมโดยไม่มองที่ “นโยบาย” ของพรรคเหมือนที่ผ่านๆ มานั้น   ท้ายที่สุดคนอีสานก็ไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลย  นอกจากเงินที่เขาหยิบยื่นให้ในช่วงเลือกตั้ง   หนังกลางแปลง(หนังผู้แทน)ฟรี   หรือไม่ก็ปลาทูครอบครัวละหลายๆ เข่ง.....


เมื่อพลเอกชวลิต  ก่อตั้งพรรคความหวังใหม่พร้อมกับนำโครงการอีสานเขียวมาเป็นจุดขาย  คนอีสานไม่ลังเลที่จะเทคะแนนให้  ก็ต่อเมื่อโครงการอีสานเขียวไปไม่ถึงฝันคนอีสานก็ไม่ลังเลที่จะเลือกพรรคที่มีนโยบายที่ดีกว่า....โดยไม่ได้ยึดติดพรรคหรือตัวบุคคล   กระนั้น...คนอีสานก็ยังให้ความเคารพพลเอกชวลิต  จิ๋ว  หวานเจี๊ยบว่าเป็น “พ่อใหญ่จิ๋ว” ของคนอีสานเหมือนเดิม


ส่วนเรื่องการขายเสียง   ยังมีคนอีกจำนวนมากยังมองตื้นๆ แค่กับประโยค “ขายเสียง” แล้ววาดภาพแต่งแต้มสีคนที่ขายเสียง(มีทุกภาค)ว่า ไม่ดี หรือโง่  โดยไม่สะท้อนความ “โง่” ไปที่ผู้ “ซื้อเสียง” บ้างว่าพวกเขาช่างโง่เขลานักที่ไปซื้อเสียงจ่ายเงินโดยไม่สามารถรู้เลยว่าเขากาให้ตัวเองในคูหาหรือเปล่า??  


หากจะกล่าวว่าโครงการอีสานเขียว,พลเอกชวลิตและพรรคความหวังใหม่ว่าเป็นการปฏิรูปมุมมองการเลือกตั้งต่อคนอีสานก็คงไม่เกินเลยนัก   คนอีสานส่วนใหญ่เลือกพรรคความหวังใหม่ที่โครงการอีสานเขียว  ด้วยว่าอดอยากแห้งแล้งมาหลายชั่วอายุคน  จะเทคะแนนให้ว่าจะทำได้หรือเปล่า??    การตีกินด้วยสำนวนโวหารอันสวยหรูและโจมตีคู่แข่งของผู้แทนจากประชาธิปัตย์จึงค่อยๆ ลดความนิยมในภาคอีสานไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่