วิพากษ์การเมืองกระทบสื่อ - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
ยามที่การเมืองหัวเลี้ยวหัวต่อทีไร สื่อมวลชน จะถูกลากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยทุกที ใหม่ๆก็มีการเกรงอกเกรงใจกันเล็กน้อยระหว่าง สื่อมวลชนกับนักการเมือง เหมือนน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ทำไปทำมาพอเกิดการล้ำเส้นกันเข้า สื่อเองก็คำนึงถึงธุรกิจและความอยู่รอด นานเข้าความเกรงใจ ก็เลยค่อยๆหมดไปทีละน้อย จึงจะเห็นได้ว่า ระยะหลัง นักการเมืองก็ออกมาวิพากษ์สื่อตรงๆเอาเหมือนกัน
วิกฤติการเมือง ก่อนปี 2549 สื่อมวลชนมีผลกระทบจาก อำนาจของรัฐ ถูกทุบแท่นพิมพ์ ถูกตรวจสอบรายละเอียดของเนื้อหาสาระการนำเสนอข่าว ปิดหูปิดตาประชาชน สื่อเลยเป็นเหมือนขวัญใจประชาชนในยามยาก กลไกตามระบอบประชาธิปไตยไม่ทำงานก็ยังเหลือสื่อเป็นที่พึ่งสุดท้าย
ดังนั้นสื่อจึงได้รับการยกย่องให้เป็น ฐานันดรที่สี่ มีเอกสิทธิ์เฉพาะตัวในการที่จะนำเสนอ วิพากษ์วิจารณ์ได้ตามความเหมาะสม เมื่อบ้านเมืองปลอดจากวิกฤติการเมือง สื่อกับนักการเมือง ร่วมเดินทางเดียวกัน สนิทสนมกัน เจอหน้ากันทุกวันยิ่งกว่าญาติ รู้จักกันมากเข้าก็เลยทำให้นึกว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน บางครั้งก็ก้าวข้ามหน้าที่ของแต่ละฝ่าย
เมื่อสื่อสามารถที่จะชี้นำสังคม ได้รับความเชื่อถือจากสังคม การเมืองก็เลยเห็นช่องทางที่จะใช้ประโยชน์ตรงนี้ มีนักการเมืองมากต่อมากที่คบสื่อเอาไว้เป็นไม้กันสุนัข หรือถึงขนาดเป็นทีมงานเดียวกัน มีผลประโยชน์ร่วมกัน
จากการให้เกียรติซึ่งกันและกัน รู้ไส้รู้พุงกันมากขึ้นความเคารพเกรงใจกันก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เป็นที่มาของ การวิพากษ์การเมืองมากระทบชิ่งถึงสื่อมวลชน และนักการเมืองหันมาเล่นสื่อเข้าบ้างหลังจากถูกเล่นอย่างไม่เกรงใจ อย่างว่า ทุกสังคมมีทั้งคนดีคนเลว สื่อส่วนหนึ่งก็เป็นอย่างที่นักการเมืองวิจารณ์จริง แต่สื่อส่วนใหญ่อยู่ในร่องในรอย สถานะของสื่อในสังคมจึงยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้
จนกระทั่งการเมือง หลังปี 2549 วิกฤติการเมืองทำให้ต้องเลือกข้างไปโดยปริยาย เมื่อสังคมครอบครัวยังไม่เว้น สื่อเองก็ไม่รอดจากวิกฤติแบ่งข้างไปได้
เห็นความชัดเจนว่า สื่อบางสื่อเข้าข้างไหน ที่มีทั้งความสมัครใจและอยู่ในภาวะจำยอม จะมีผลประโยชน์ตอบแทนหรือด้วยใจรักเป็นอีกเรื่อง
แต่โดยสภาพของสื่อที่จะยืนหยัดอยู่ในสังคมได้ จะต้องมีองค์ประกอบสำคัญ คือยังมีความเป็นกลางหลงเหลืออยู่บ้าง ไม่ใช่ซ้ายหรือขวา เทน้ำหนักไปด้านใดด้านหนึ่ง ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นพื้นที่โฆษณาไปฉิบ
ฝ่ายบริหาร ต้องมีรัฐบาล ฝ่ายนิติบัญญัติ ต้องมี ส.ส. มีสภา ฝ่ายตุลาการต้องมีศาลฉันใด สังคมก็ยังต้องมีสื่อ เพียงแต่ว่าจะมองสื่อในแง่ของความศรัทธา หรือเคลือบแคลง ชอบหรือไม่ชอบ.
หมัดเหล็ก
http://www.thairath.co.th/column/pol/kaablook/376773
วิพากษ์การเมืองกระทบสื่อ
ยามที่การเมืองหัวเลี้ยวหัวต่อทีไร สื่อมวลชน จะถูกลากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยทุกที ใหม่ๆก็มีการเกรงอกเกรงใจกันเล็กน้อยระหว่าง สื่อมวลชนกับนักการเมือง เหมือนน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ทำไปทำมาพอเกิดการล้ำเส้นกันเข้า สื่อเองก็คำนึงถึงธุรกิจและความอยู่รอด นานเข้าความเกรงใจ ก็เลยค่อยๆหมดไปทีละน้อย จึงจะเห็นได้ว่า ระยะหลัง นักการเมืองก็ออกมาวิพากษ์สื่อตรงๆเอาเหมือนกัน
วิกฤติการเมือง ก่อนปี 2549 สื่อมวลชนมีผลกระทบจาก อำนาจของรัฐ ถูกทุบแท่นพิมพ์ ถูกตรวจสอบรายละเอียดของเนื้อหาสาระการนำเสนอข่าว ปิดหูปิดตาประชาชน สื่อเลยเป็นเหมือนขวัญใจประชาชนในยามยาก กลไกตามระบอบประชาธิปไตยไม่ทำงานก็ยังเหลือสื่อเป็นที่พึ่งสุดท้าย
ดังนั้นสื่อจึงได้รับการยกย่องให้เป็น ฐานันดรที่สี่ มีเอกสิทธิ์เฉพาะตัวในการที่จะนำเสนอ วิพากษ์วิจารณ์ได้ตามความเหมาะสม เมื่อบ้านเมืองปลอดจากวิกฤติการเมือง สื่อกับนักการเมือง ร่วมเดินทางเดียวกัน สนิทสนมกัน เจอหน้ากันทุกวันยิ่งกว่าญาติ รู้จักกันมากเข้าก็เลยทำให้นึกว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน บางครั้งก็ก้าวข้ามหน้าที่ของแต่ละฝ่าย
เมื่อสื่อสามารถที่จะชี้นำสังคม ได้รับความเชื่อถือจากสังคม การเมืองก็เลยเห็นช่องทางที่จะใช้ประโยชน์ตรงนี้ มีนักการเมืองมากต่อมากที่คบสื่อเอาไว้เป็นไม้กันสุนัข หรือถึงขนาดเป็นทีมงานเดียวกัน มีผลประโยชน์ร่วมกัน
จากการให้เกียรติซึ่งกันและกัน รู้ไส้รู้พุงกันมากขึ้นความเคารพเกรงใจกันก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เป็นที่มาของ การวิพากษ์การเมืองมากระทบชิ่งถึงสื่อมวลชน และนักการเมืองหันมาเล่นสื่อเข้าบ้างหลังจากถูกเล่นอย่างไม่เกรงใจ อย่างว่า ทุกสังคมมีทั้งคนดีคนเลว สื่อส่วนหนึ่งก็เป็นอย่างที่นักการเมืองวิจารณ์จริง แต่สื่อส่วนใหญ่อยู่ในร่องในรอย สถานะของสื่อในสังคมจึงยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้
จนกระทั่งการเมือง หลังปี 2549 วิกฤติการเมืองทำให้ต้องเลือกข้างไปโดยปริยาย เมื่อสังคมครอบครัวยังไม่เว้น สื่อเองก็ไม่รอดจากวิกฤติแบ่งข้างไปได้
เห็นความชัดเจนว่า สื่อบางสื่อเข้าข้างไหน ที่มีทั้งความสมัครใจและอยู่ในภาวะจำยอม จะมีผลประโยชน์ตอบแทนหรือด้วยใจรักเป็นอีกเรื่อง
แต่โดยสภาพของสื่อที่จะยืนหยัดอยู่ในสังคมได้ จะต้องมีองค์ประกอบสำคัญ คือยังมีความเป็นกลางหลงเหลืออยู่บ้าง ไม่ใช่ซ้ายหรือขวา เทน้ำหนักไปด้านใดด้านหนึ่ง ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นพื้นที่โฆษณาไปฉิบ
ฝ่ายบริหาร ต้องมีรัฐบาล ฝ่ายนิติบัญญัติ ต้องมี ส.ส. มีสภา ฝ่ายตุลาการต้องมีศาลฉันใด สังคมก็ยังต้องมีสื่อ เพียงแต่ว่าจะมองสื่อในแง่ของความศรัทธา หรือเคลือบแคลง ชอบหรือไม่ชอบ.
หมัดเหล็ก
http://www.thairath.co.th/column/pol/kaablook/376773