ทักทาย ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะไม่ค่อยได้มาที่นี่ แนะนำได้ติได้นะคะ
ตอนที่ 7
เช้านี้ วิลันดาตื่นมาด้วยความสดชื่น ที่เรือนแห่งนี้บรรยากาศดีเหลือเกิน จนหล่อนต้องตื่นขึ้นมาเดินดูรอบ ๆ ตัวเรือนไทยขนาดกลาง เพราะไม้ดอกไม้ผล มากมายที่ปลูกอยู่รอบอาณาบริเวณ นี่ถ้าอยู่ในยุคของหล่อน ถ้าเปิดเป็นโฮมสเตย์คงมีคนมาต่อคิว จองกันข้ามปีเป็นแน่ หล่อนเดินชมรอบ ๆ บ้าน เห็นต้นชมพู่สาแหรกลูกใหญ่สีแดงเข้มจนค่อนข้างออกคล้ำ แสดงให้เห็นว่าแก่จัดแล้ว พลางนึกว่าไม่ได้ทานชมพู่แบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ ในกรุงเทพฯ หายากเต็มที
“เจ้าอยากกินมันมากรึ ถึงได้มองมันเสียมิวางตาเยี่ยงนั้น” ขุนไกรกล่าวขณะเดินเข้ามายืนอยู่ด้านหลังหล่อน
“เปล่าสักหน่อย ฉันแค่เห็นว่าลูกของมันสวยดี ไม่ได้กินเสียตั้งนาน”
“คราวหลัง เจ้าจงเรียกข้าเสียใหม่ว่าพี่ไกร หรือจักเรียกว่าพี่ขุนไกรก็ตามที” ดูเหมือนเขาจะยังติดใจเรื่องของเมื่อวาน ที่จมื่นราชภักดีให้หล่อนเรียกเขาว่าพี่เพ็ง หล่อนจับจากน้ำเสียงได้
“ทำไมหรือคะ” ใบหน้าหวานกับสายตาคู่สวยที่บ่งบอกถึงความสงสัยจ้องมองเขาอย่างขอคำตอบ
ทีจมื่นราชภักดีหล่อนยังเรียกว่าพี่ได้ แล้วทีกับเขาล่ะหล่อนจะเรียกว่าพี่บ้างไม่ได้เชียวหรือขุนไกรคิดเช่นนั้น แต่เขาไม่ได้พูดตามที่คิด
“คำว่าทำไม สมัยนี้เขามิใช้กันดอกหนา เจ้าต้องหัดพูดคำเยี่ยงชาวกรุงธนบุรีเขาพูดกัน”
เขาย้อนคำหล่อน เหมือนตอนที่เขาหลงยุคไปและหล่อนเคยพูดกับเขาแบบนี้ คิ้วสวยขมวดเข้าหากันเพราะคิดว่ากำลังถูกแกล้ง
“นี่คุณจะเอาคืนใช่ไหม”
หล่อนค้อนเขาเข้าให้ นึกว่าขุนไกรคงคิดจะเอาคืนตอนที่เขาไปอยู่บ้านหล่อน หล่อนเองที่บังคับให้เขาทำตัวเหมือนคนในยุคของหล่อน ตอนนี้หล่อนพลัดหลงยุคมา เขาเลยเอาคืนให้หล่อนทำตัวเหมือนคนยุคเขา
“พี่มิได้คิดเยี่ยงนั้นดอกหนาแม่หญิง เพียงแต่เกรงว่าคนอื่นจักครหาว่าเจ้า
เป็นหญิงวิปลาสพูดจาผิดชาวบ้านชาวเมือง” คนปากร้าย วิลันดาคิด
“คอยดูนะ เขาหาทางกลับบ้านได้เมื่อไหร่จะไม่ง้อเลย ”
หล่อนสะบัดหน้าเรียวงามเชิดขึ้นน้อย ๆ แต่ขุนไกรกลับคิดว่ายามหล่อนงอนก็น่าเอ็นดูไปอีกแบบ
“แล้วนี่ฉันจะหาทางกลับบ้านฉันได้ยังไงกัน”
“เรื่องนั้น เจ้ามิต้องห่วงดอก ไว้ข้าเสร็จงานสำคัญ จักช่วยเจ้าหาทางกลับไปยังยุคของเจ้า” แต่ที่จริงแล้วขุนไกรอธิษฐานในใจ ให้หล่อนอยากอยู่ที่นี่ต่อไป ในเมื่อที่บ้านของหล่อนก็ไม่มีใคร
“ว่าแต่ขุนไกร มีงานอะไรสำคัญหรือคะ เอ่อ..ไม่ใช่ซิ” สายตาขุนไกรมองมาเหมือนจับผิดคำพูดของหล่อน
“ว่าแต่ พี่ขุนไกรมีงานเร่งด่วนอันใด จักต้องเร่งไปทำรึเจ้าคะ”
หล่อนเองก็คอละครหนังย้อนยุค ประเภทข้ามภพข้ามชาติ เดี๋ยวนางเอกข้ามไป พระเอกข้ามมาเลยพอจำได้บ้างว่า เขาพูดกันแบบไหน ขุนไกรยิ้มน้อย ๆ อย่างพอใจที่ หล่อนว่านอนสอนง่าย เขาเองอยากให้หล่อนเรียกเขาว่าพี่อย่างนี้ตลอดไปเสียจริง
“พี่มีเรื่องที่ค้างคา จักต้องเร่งไปจัดการ หากพี่ให้เจ้ารออยู่ที่นี่สักสองสามเพลา มะรืนนี้ จักมารับเจ้ากลับไปยังเมืองพระนคร เจ้าจักรอพี่ได้รึไม่”
“แล้วท่านพี่ ไยต้องเร่งรีบไปนัก ข้าอยู่ที่นี่มิรู้จักใคร จักอยู่เยี่ยงไรเจ้าคะ” ดูซิจะทิ้งกันเสียแล้ววิลันดาคิดในใจ
“เป็นเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมือง พี่จึงต้องไปทำหน้าที่ของพี่ให้เสร็จสิ้นแล้วจักรีบกลับมารับเจ้า”
แค่ให้หล่อนหัดพูดแบบคนยุคเขา ยังดูหล่อนเองยังลำบากมิน้อย แล้วนี่เขาต้องทิ้งให้หล่อนอยู่ที่นี่คนเดียวกับคนที่เพิ่งรู้จัก ที่สำคัญพ่อเพ็งนั่นก็ดูสนใจหล่อนมากอยู่ทีเดียว แต่เหนืออื่นใด เขามองออกว่าพ่อเพ็งผู้นั้นก็เป็นคนมีศักดิ์มีศรีย่อมไม่รังแกอิสตรีให้เสื่อมเสียวงศ์ตระกูล
“เอาเยี่ยงนี้ เวลาเจ้าอยู่กับพี่สองต่อสอง เจ้าจักพูดแบบคนยุคเจ้า เขาพูดกันก็ย่อมได้ แต่หากอยู่ต่อหน้าผู้อื่น จงทำตนให้เหมือนคนทั่วไปเพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าเองจักทำได้รึไม่”
“เจ้าค่ะ” ปลายเสียงนั้นดูประชดน้อยๆ จนคนฟังจับได้
“ท่านขุนไกร แม่หญิงวิลันดา”
“พี่เพ็ง วิ่งกระหืดกระหอบมาด้วยเรื่องอันใดรึเจ้าค่ะ”
“ข้ากลัวจักไม่ทันน้องขุนไกร เอานี่ไปด้วย”
พ่อเพ็งส่งข้าวห่อด้วยใบบัวมัดเป็นพวงติดกัน 3 ห่อส่งให้ขุนไกรเอาไปกินด้วย
“มิต้องลำบากเช่นนี้ดอก”
“หาเป็นเรื่องใหญ่ไม่ เพลานี้บ้านเมืองมิสงบ ข้าวปลาอาหารหายากนักเอาไปกินระหว่างทางเถิดหนา ”
“ถ้าเป็นเยี่ยงนั้น ข้าก็จักรับน้ำใจของพี่ไว้”
ขุนไกรรับข้าวห่อของพ่อเพ็งมาถือไว้พลางซาบซึ้งกับน้ำใจของจมื่นรูปงามคนนี้
“เรื่องของน้องท่าน มิต้องเป็นห่วงดอกหนา ข้าจักดูแลนางเป็นอย่างดี”
“ขอบใจพี่เพ็งมาก”
ขุนไกรออกเดินทางไปด้วยความเป็นห่วงวิลันดามาก นี่ถ้าไม่ใช่เรื่องของบ้านเมืองแล้วเขาจะไม่ทิ้งหล่อนไว้เพียงลำพังเป็นอันขาด
++++++++++++++++++
บุพเพข้ามภพ (ตอนที่ 7)
ทักทาย ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะไม่ค่อยได้มาที่นี่ แนะนำได้ติได้นะคะ
ตอนที่ 7
เช้านี้ วิลันดาตื่นมาด้วยความสดชื่น ที่เรือนแห่งนี้บรรยากาศดีเหลือเกิน จนหล่อนต้องตื่นขึ้นมาเดินดูรอบ ๆ ตัวเรือนไทยขนาดกลาง เพราะไม้ดอกไม้ผล มากมายที่ปลูกอยู่รอบอาณาบริเวณ นี่ถ้าอยู่ในยุคของหล่อน ถ้าเปิดเป็นโฮมสเตย์คงมีคนมาต่อคิว จองกันข้ามปีเป็นแน่ หล่อนเดินชมรอบ ๆ บ้าน เห็นต้นชมพู่สาแหรกลูกใหญ่สีแดงเข้มจนค่อนข้างออกคล้ำ แสดงให้เห็นว่าแก่จัดแล้ว พลางนึกว่าไม่ได้ทานชมพู่แบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ ในกรุงเทพฯ หายากเต็มที
“เจ้าอยากกินมันมากรึ ถึงได้มองมันเสียมิวางตาเยี่ยงนั้น” ขุนไกรกล่าวขณะเดินเข้ามายืนอยู่ด้านหลังหล่อน
“เปล่าสักหน่อย ฉันแค่เห็นว่าลูกของมันสวยดี ไม่ได้กินเสียตั้งนาน”
“คราวหลัง เจ้าจงเรียกข้าเสียใหม่ว่าพี่ไกร หรือจักเรียกว่าพี่ขุนไกรก็ตามที” ดูเหมือนเขาจะยังติดใจเรื่องของเมื่อวาน ที่จมื่นราชภักดีให้หล่อนเรียกเขาว่าพี่เพ็ง หล่อนจับจากน้ำเสียงได้
“ทำไมหรือคะ” ใบหน้าหวานกับสายตาคู่สวยที่บ่งบอกถึงความสงสัยจ้องมองเขาอย่างขอคำตอบ
ทีจมื่นราชภักดีหล่อนยังเรียกว่าพี่ได้ แล้วทีกับเขาล่ะหล่อนจะเรียกว่าพี่บ้างไม่ได้เชียวหรือขุนไกรคิดเช่นนั้น แต่เขาไม่ได้พูดตามที่คิด
“คำว่าทำไม สมัยนี้เขามิใช้กันดอกหนา เจ้าต้องหัดพูดคำเยี่ยงชาวกรุงธนบุรีเขาพูดกัน”
เขาย้อนคำหล่อน เหมือนตอนที่เขาหลงยุคไปและหล่อนเคยพูดกับเขาแบบนี้ คิ้วสวยขมวดเข้าหากันเพราะคิดว่ากำลังถูกแกล้ง
“นี่คุณจะเอาคืนใช่ไหม”
หล่อนค้อนเขาเข้าให้ นึกว่าขุนไกรคงคิดจะเอาคืนตอนที่เขาไปอยู่บ้านหล่อน หล่อนเองที่บังคับให้เขาทำตัวเหมือนคนในยุคของหล่อน ตอนนี้หล่อนพลัดหลงยุคมา เขาเลยเอาคืนให้หล่อนทำตัวเหมือนคนยุคเขา
“พี่มิได้คิดเยี่ยงนั้นดอกหนาแม่หญิง เพียงแต่เกรงว่าคนอื่นจักครหาว่าเจ้า
เป็นหญิงวิปลาสพูดจาผิดชาวบ้านชาวเมือง” คนปากร้าย วิลันดาคิด
“คอยดูนะ เขาหาทางกลับบ้านได้เมื่อไหร่จะไม่ง้อเลย ”
หล่อนสะบัดหน้าเรียวงามเชิดขึ้นน้อย ๆ แต่ขุนไกรกลับคิดว่ายามหล่อนงอนก็น่าเอ็นดูไปอีกแบบ
“แล้วนี่ฉันจะหาทางกลับบ้านฉันได้ยังไงกัน”
“เรื่องนั้น เจ้ามิต้องห่วงดอก ไว้ข้าเสร็จงานสำคัญ จักช่วยเจ้าหาทางกลับไปยังยุคของเจ้า” แต่ที่จริงแล้วขุนไกรอธิษฐานในใจ ให้หล่อนอยากอยู่ที่นี่ต่อไป ในเมื่อที่บ้านของหล่อนก็ไม่มีใคร
“ว่าแต่ขุนไกร มีงานอะไรสำคัญหรือคะ เอ่อ..ไม่ใช่ซิ” สายตาขุนไกรมองมาเหมือนจับผิดคำพูดของหล่อน
“ว่าแต่ พี่ขุนไกรมีงานเร่งด่วนอันใด จักต้องเร่งไปทำรึเจ้าคะ”
หล่อนเองก็คอละครหนังย้อนยุค ประเภทข้ามภพข้ามชาติ เดี๋ยวนางเอกข้ามไป พระเอกข้ามมาเลยพอจำได้บ้างว่า เขาพูดกันแบบไหน ขุนไกรยิ้มน้อย ๆ อย่างพอใจที่ หล่อนว่านอนสอนง่าย เขาเองอยากให้หล่อนเรียกเขาว่าพี่อย่างนี้ตลอดไปเสียจริง
“พี่มีเรื่องที่ค้างคา จักต้องเร่งไปจัดการ หากพี่ให้เจ้ารออยู่ที่นี่สักสองสามเพลา มะรืนนี้ จักมารับเจ้ากลับไปยังเมืองพระนคร เจ้าจักรอพี่ได้รึไม่”
“แล้วท่านพี่ ไยต้องเร่งรีบไปนัก ข้าอยู่ที่นี่มิรู้จักใคร จักอยู่เยี่ยงไรเจ้าคะ” ดูซิจะทิ้งกันเสียแล้ววิลันดาคิดในใจ
“เป็นเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมือง พี่จึงต้องไปทำหน้าที่ของพี่ให้เสร็จสิ้นแล้วจักรีบกลับมารับเจ้า”
แค่ให้หล่อนหัดพูดแบบคนยุคเขา ยังดูหล่อนเองยังลำบากมิน้อย แล้วนี่เขาต้องทิ้งให้หล่อนอยู่ที่นี่คนเดียวกับคนที่เพิ่งรู้จัก ที่สำคัญพ่อเพ็งนั่นก็ดูสนใจหล่อนมากอยู่ทีเดียว แต่เหนืออื่นใด เขามองออกว่าพ่อเพ็งผู้นั้นก็เป็นคนมีศักดิ์มีศรีย่อมไม่รังแกอิสตรีให้เสื่อมเสียวงศ์ตระกูล
“เอาเยี่ยงนี้ เวลาเจ้าอยู่กับพี่สองต่อสอง เจ้าจักพูดแบบคนยุคเจ้า เขาพูดกันก็ย่อมได้ แต่หากอยู่ต่อหน้าผู้อื่น จงทำตนให้เหมือนคนทั่วไปเพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าเองจักทำได้รึไม่”
“เจ้าค่ะ” ปลายเสียงนั้นดูประชดน้อยๆ จนคนฟังจับได้
“ท่านขุนไกร แม่หญิงวิลันดา”
“พี่เพ็ง วิ่งกระหืดกระหอบมาด้วยเรื่องอันใดรึเจ้าค่ะ”
“ข้ากลัวจักไม่ทันน้องขุนไกร เอานี่ไปด้วย”
พ่อเพ็งส่งข้าวห่อด้วยใบบัวมัดเป็นพวงติดกัน 3 ห่อส่งให้ขุนไกรเอาไปกินด้วย
“มิต้องลำบากเช่นนี้ดอก”
“หาเป็นเรื่องใหญ่ไม่ เพลานี้บ้านเมืองมิสงบ ข้าวปลาอาหารหายากนักเอาไปกินระหว่างทางเถิดหนา ”
“ถ้าเป็นเยี่ยงนั้น ข้าก็จักรับน้ำใจของพี่ไว้”
ขุนไกรรับข้าวห่อของพ่อเพ็งมาถือไว้พลางซาบซึ้งกับน้ำใจของจมื่นรูปงามคนนี้
“เรื่องของน้องท่าน มิต้องเป็นห่วงดอกหนา ข้าจักดูแลนางเป็นอย่างดี”
“ขอบใจพี่เพ็งมาก”
ขุนไกรออกเดินทางไปด้วยความเป็นห่วงวิลันดามาก นี่ถ้าไม่ใช่เรื่องของบ้านเมืองแล้วเขาจะไม่ทิ้งหล่อนไว้เพียงลำพังเป็นอันขาด
++++++++++++++++++