Intermittent Fasting การอดอาหารเป็นช่วงๆ

คิดยังไงกับอันนี้
http://loveaura.blogspot.com/2012/11/intermittent-fasting.html

Intermittent Fasting การอดอาหารเป็นช่วงๆ
ผมได้อ่านเจอบทความเกี่ยวกับการอดอาหารเป็นช่วงๆที่เค้าเรียกว่า Intermittent Fasting และรู้สึกว่าน่าจะเป็นประโยชน์ จึงได้เขียนลงไปในเฟซบุ๊คของผม เพื่ื่ื่ื่อให้เพื่อนๆได้อ่าน ผมจึงขอถือโอกาสเอามารวบรวมลงในบล๊อค เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆที่ไม่ได้อยู่ในวงเฟซบุ๊คของผมครับ



งานวิจัยเดิมบอกว่าห้ามงดข้าวเช้าเพราะร่างกายจะเผาผลาญได้ดีที่สุดในช่วงเช้า แต่งานวิจัยใหม่พบว่าการที่มันเป็นอย่างนั้นเพราะเราอดอาหารมาทั้งคืน การอดอาหารเราเรียกว่า fasting เพราะฉะนั้นเรามีการอดอาหารตามธรรมชาติอยู่แล้วเมื่อเราหลับ (ทีนี้คงจะพอเข้าใจว่าทำไมอาหารเช้าเราเรียกว่า breakfast) และหากระยะเวลาในการอดนานขึ้น จะทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ดีขึ้น จึงมีคนคิดว่า หากเรากินข้าวให้ถี่น้อยลง และเพิ่มเวลาการอดให้มากขึ้น น่าจะทำให้การเผาผลาญดีขึ้น อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยดั้งเดิมว่า เราควรกินอาหารหลายๆมื้อแต่มื้อละน้อย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเผาผลาญตลอดเวลา แต่ต่อมาพบว่าการเผาผลาญที่เกิดขึ้นเป็นการเผาผลาญตามปริมาณอาหารที่เรากิน ดังนั้นกินน้อยแต่บ่อย ก็เผาผลาญน้อยแต่บ่อย กินเยอะแต่ไม่บ่อย ก็เผาผลาญเยอะแต่ไม่บ่อย สรุปแล้วเผาผลาญเท่ากัน ถ้าอาหารทั้งหมดเท่ากัน ที่แย่กว่านั้นพบว่า คนที่กินน้อยแต่ถี่ โดยรวมแล้วจะกินเยอะกว่าคนที่กินน้อยมื้อ เพราะเค้าจะรู้สึกหิวตลอดเวลา การวิจัยยังพบอีกว่า ในช่วงที่ร่างกายอดอาหาร หรือได้รับพลังงานน้อย ร่างกายจะพยายามรักษาเซลไม่ให้เสื่อม ซึ่งในการทดลองกับหนูพบว่า หนูที่ได้รับอาหารเพียงครึ่งนึง จะมีอายุยืนเป็นสองเท่าของหนูที่ได้รับอาหารปริมาณปรกติ ดังนั้นหากเราสามารถทำให้ร่างกายรับพลังงานน้อยๆเช่นกินอาหารให้น้อยกว่า 800 แคลอรี่ต่อวัน (อันนี้ผมประมาณเองนะ) ซึ่งวันนึงเราต้องการพลังงานประมาณ 2000-3000 แคลอรี่ต่อวัน เราก็จะมีอายุยืนและผอมด้วย แต่อาหารที่เรากินจะต้องมีสารอาหารครบถ้วนเพื่อไม่ให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร ปัญหาก็คือ คนส่วนมากไม่สามารถดำเนินชีวิตแบบนั้นได้ ที่แย่กว่านั้นคือ เมื่อเรากินอาหารน้อยลงกว่า 1200 แคลอรี่ต่อวัน (เท่าที่จำได้) ร่างกายจะนึกว่าเรากำลังขาดแคลนอาหาร และทำให้เราใช้พลังงานน้อยลง ทีนี้เมื่อไหร่ที่เราอดใจไม่ไหวแล้วกลับไปกินอาหารเหมือนเดิม มันจะทำให้เราอ้วนขึ้นกว่าเดิม เพราะพลังงานที่เราได้รับจะมากกว่าพลังงานที่เราต้องการใช้ทันที นั่นคือสิ่งที่เราเรียกว่า โยโย่เอฟเฟค คือคนที่ลดความอ้วนด้วยการอดอาหารจนถึงจุดนึง น้ำหนักจะไม่ลงเพราะการใช้พลังงานนลดลงตาม และเมื่อเราอดใจไม่ไหว เรากลับไปกินเท่าเดิม แต่อนิจจา การใช้พลังงานของเราน้อยลงแล้ว ทำให้น้ำหนักเราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และกลับไปมากกว่าเก่าอีก  

intermittent fasting หรือเรียกอีกอย่างนึงว่า การอดอาหารแบบหมีแพนด้า (อดเป็นช่วงๆ) จะช่วยได้อย่างไร ร่างกายเราจะแบ่งการเผาผลาญอาหารเป็น 3 ช่วง ช่วงแรกคือสามชั่วโมงหลังทานอาหาร คือการย่อยอาหาร ช่วงที่สองคือช่วงอดอาหาร คือ 3-70 ชั่วโมงหลังทานอาหาร ในช่วงนี้ร่างกายจะเริ่มนำพลังงานที่เราสะสมในร่างกายมาใช้ หากการอดอาหารนานกว่า 70 ชั่วโมง จะเป็นช่วงขาดแคลนอาหาร ร่างกายจะลดการใช้พลังงานลง เพราะฉะนั้นหากจะอดอาหารด้วยการกินน้อยๆ อย่าให้การอดนั้นติดต่อกันเกิน 70 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้ร่างกายเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงาน


วิธีการอดแบบหมีแพนด้า ง่ายที่สุดเราเรียกสูตร 12/12 คือให้เวลากิน 12 ชั่วโมง เวลาอด 12 ชั่วโมง เช่น กินได้ตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงสองทุ่ม หลังจากนั้น ห้ามกินจนถึง 8 โมงเช้า ช่วงที่อด กินได้แต่น้ำกับน้ำผักผลไม้คั้นสด ห้ามดื่มอะไรที่ให้พลังงานเยอะ เมื่อชินแล้ว ให้ลดเวลากินลงไปอีกเช่น 8/16 คือกิน 8 ชั่วโมง อด 16 ชั่วโมง เช่นอาจจะงดมื้อเช้าไปเลย แล้วกินได้ตั้งแต่ เที่ยงวันถึงสองทุ่ม ในช่วงที่กินอาหารต้องได้สารอาหารแลขพลังงานเพียงพอ(ผมแนะนำให้มากกว่า 1500 แคลอรี่) เพื่อไม่ให้ร่างกายเข้าสู่โหมดขาดแคลนอาหาร ถ้าเราต้องการให้ได้ผลมากกว่านั้น เราก็ลดเวลากินลงอีก จนอาจเหลือ 1 มื้อต่อวัน(เหมือนลุงจำลอง) ทีนี้เราก็ถือศีลแปดได้เลย

บางครั้งเราอาจจะอดนานถึง 24 ชั่วโมง โดยไม่ควรทำเกินสองครั้งต่ออาทิตย์ และไม่ควรทำในเวลาใกล้กันเกินไป เช่นอาจจะอด 24 ชั่วโมงในวันอังคาร กับศุกร์

อีกรูปแบบนึงของการอดแบบหมีแพนด้า คืออดแบบวันเว้นวัน เหมือนเดิมคือวันที่กินอาหาร ให้กินให้เพียงพอ ส่วนวันที่อด ก็ห้ามกินอะไรเลยนอกจากน้ำเปล่า

เราจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง
1.หุ่นดีขึ้น เพราะเผาผลาญมากขึ้น และมักได้รับแคลอรี่น้อยลง (การเผาผลาญจะดีขึ้นไปอีกหากเราออกกำลังกายในช่วงอดอาหารด้วย ซึ่งเราอาจจะออกกำลังกายและค่อยรับประทานอาหารหลังจากนั้นซัก 2 ชั่วโมง)
2.ร่างกายหลั่ง growth hormone มากขึ้น ซึ่งจะทำให้เราแก่ช้าลง และช่วยให้เผาผลาญมากขึ้น
3.การเสื่อมของเซลน้อยลง เพราะร่างกายจะรักษาเซลไว้จนแน่ใจว่าเราจะมีอาหารเพียงพอ
4.ลดการเกิดอาการอักเสบในร่างกาย (เวลาสัตว์ป่วย สัตว์จะอดอาหารเพื่อรักษาตัวเอง) ทำให้เราแก่ช้าลง
5.ล้างพิษ ร่างกายจะเอาไขมันมาใช้แทนพลังงาน และหากไขมันไม่พอ ร่างกายจะเอาโปรตีนที่ไม่ดีมาใช้แทน ซึ่งหากการอดอาหารไม่ยาวนานเกินไป ร่างกายก็จะไม่เอาโปรตีนที่ดีมาใช้ จึงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องกล้ามเนื้อลีบจากการอดอาหาร
6.ทำให้ประสาทตื่นตัวและกระฉับกระเฉง เพราะสมองจะสั่งให้เราเตรียมพร้อมเพื่อหาอาหาร

ข้อควรระวัง
ไม่เหมาะกับเด็ก หญิงมีครรภ์ และผู้ป่วยบางประเภท

รายละเอียดเพิ่มเติม


UCP3 โปรตีนที่พบในกล้ามเนื้อเพื่อใช้เผาผลาญไขมัน


*ข้อมูลจากหนังสือ Eat Stop Eat ของ Brad Pilon
กราฟแสดงปริมาณโปรตีน ucp3 หลังจากที่เราหยุดกินในระยะเวลาต่างๆ โปรตีนตัวนี้เป็นตัวทำหน้าที่เผาผลาญไขมันในร่างกายเราให้กลายเป็นพลังงาน ยิ่งมากจะเกิดการเผาผลาญมาก ซึ่งจะพบว่า เพียงแค่เราหยุดกินถึง 15 ชั่วโมง ปริมาณโปรตีน ucp3 เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 5 เท่า และถ้าหยุดกินถึง 24 ชั่วโมง ลองคิดว่าโปรตีนตัวนี้จะเพิ่มเป็นกี่เท่า






ปริมาณอินซูลินในเลือด

*ข้อมูลจากหนังสือ Eat Stop Eat ของ Brad Pilon
ระบบการทำงานของร่างกาย ทุกครั้งที่เราได้รับอาหาร ร่างกายจะปลดปล่อยอินซูลินเข้าไปในกระแสเลือดเพื่อเปลี่ยนปริมาณน้ำตาลลในเลือดให้เป็นพลังงานสำรอง ซึ่งเมื่อเรากินมากไป อินซูลินจะทำงานตลอดเวลา และสุดท้ายระบบอินซูลินก็จะเสียหาย ทำให้เป็นเบาหวาน เมื่อเราหยุดกินอาหาร ปริมาณน้ำตาลในเลือดจะน้อยลง ทำให้ระบบอินซูลินไม่ต้องทำงานหนัก และหากหยุดกินถึงระยะเวลาหนึ่ง ร่างกายจะปล่อยฮอร์โมนกลูคาร์กอน ซึ่งเป็นตัวที่เอาพลังงานที่เราเก็บไว้เอามาใช้ ทำให้การเผาผลาญของเราดีขึ้น






ปริมาณ growth hormone ในผู้ที่หยุดกิน 24 ชั่วโมง

*ข้อมูลจากหนังสือ Eat Stop Eat ของ Brad Pilon

มีข่าวลือว่าซุปตาร์ในฮอลลีวู้ดต่างเสียเงินมากมายเพื่อหาซื้อโกรทฮอร์โมน เพื่อทำให้ตัวเองมีหุ่นที่สมบูรณ์ ไม่แก่ และกระชุ่มกระชวย แต่เชื่อมั๊ยว่า แค่เราหยุดกินซัก 24 ชั่วโมง ก็สามารถเพิ่มปริมาณการหลั่งโกรทฮอร์โมนถึง 6 เท่า โกรทฮอร์โมนคือสิ่งที่เรามีตอนหนุ่มสาว ทำให้เรามีพลัง ผิวพรรณเต่งตึง สร้างกล้ามเนื้อได้ง่าย และเผาผลาญไขมันได้ดี เมื่อเรามีอายุมากขึ้น โกรทฮอร์โมนจะน้อยลง และนั่นคือสาเหตุว่าทำไมเราถึงไม่ค่อยมีแรง กินน้อยลงแต่อ้วนขึ้น และผิวพรรณเหี่ยวย่น



Autophagy กลไกธรรมชาติในการกำจัดเซลที่เสียหายในร่างกายเรา

การหยุดกินอาหารในระยะเวลาที่เพียงพอ (น่าจะซัก 12 ชั่วโมง เมื่อคำนึงถึงวิถีชีวิตคนยุคโบราณที่ไม่สามารถหาอาหารได้เมื่อตะวันตกดิน) จะกระตุ้นให้เกิดกระบวนการนำโปรตีนมาใช้ให้เป็นพลังงาน เราเรียกกลไกนี้ว่า Autophagy แปลว่าการกินตัวเอง ในกรณีที่การหยุดกินไม่นานเกินไป (ประมาณไม่เกิน 72 ชั่วโมง) ร่างกายจะนำโปรตีนที่เสียหาย เซลมะเร็ง โปรตีนที่ติดเชื้อมาย่อยสลายให้เป็นพลังงาน ซึ่งเป็นการทำความสะอาดร่างกายตามธรรมชาติ หากนานกว่านี้ร่างกายจะเริ่มย่อยสลายโปรตีนในส่วนของกล้ามเนื้อมาใช้เป็นพลังงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการให้เกิดขึ้น



Hayflick Limit เป็นผลการทดลองจากนักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อ Hayflick พบว่าเซลของมนุษย์มีข้อจำกัดในการสร้างเซลใหม่ทดแทนตัวเอง โดยพบว่าเซลจะสร้างเซลใหม่เพื่อทดแทนตัวเองได้ประมาณ 40-60 ครั้ง ซึ่งนั่นคือข้อจำกัดว่าทำไมเราถึงหมดอายุขัย การหลอกให้ร่างกายนึกว่าขาดแคลนอาหาร โดยการหยุดกินเป็นระยะเวลาหนึ่ง ร่างกายจะพยายามประหยัดพลังงานด้วยการซ่อมแซมเซลที่เสียหาย แทนที่จะสร้างใหม่ และนั่นทำให้อายุการใช้งานของเซลยาวนานขึ้น ซึ่งหมายถึงการมีอายุขัยยาวนานขึ้นนั่นเอง




ในปี 1988 มีการนำหนู 48 ตัวมาแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 24 ตัว กลุ่มแรกให้อดอาหารทุกๆวันเว้นวัน อีกกลุ่มให้กินอาหารทุกๆวัน นักวิทยาศาสตร์ได้นำเชื้อมะเร็งเต้านมฉีดใส่หนูทุกตัว 9 วันผ่านไป หนูที่อดอาหารตาย 8 ตัว ส่วนหนูที่ไม่อดอาหารตาย 19 ตัว อีก 1 วันหลังจากนั้น หนูที่อดอาหารตายอีก 4 ตัวรวมเป็น 12 ตัว ส่วนหนูที่ไม่ได้อดตายเพิ่มอีก 2 ตัว รวมเป็น 21 ตัว สรุปหนูที่อดอาหารตายน้อยกว่า 9 ตัว หรือคิดเป็นโอกาสรอด 50% ส่วนหนูที่ไม่ได้อดรอด 12.5%


ในปลายทศวรรษที่ 90 ได้มีการทดลองเพิ่มเติม โดยแบ่งกลุ่มหนูที่เป็นมะเร็งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มนึงอดอาหาร 48 ชั่วโมงก่อนทำคีโม อีกกลุ่มกินอาหารตามปรกติก่อนทำคีโม กลุ่มที่กินอาหารปรกติตายครึ่งนึงหลังทำคีโม ในขณะที่กลุ่มที่อดอาหารไม่ตายเลยซักตัว นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการอดอาหาร ทำให้เซลที่ดีพยายามปรับตัวเพื่อให้มีชีวิตรอด ในขณะที่การอดอาหารไม่ได้มีผลต่อการปรับตัวของเซลมะเร็ง *แหล่งข้อมูลhttp://www.marksdailyapple.com/fasting-cancer/#axzz26mUPhr2g



การทดลองกับคนยังมีน้อย แต่ในปี 2009 ได้มีการทดลองผลของการอดอาหารกับคนที่ได้รับคีโม ซึ่งได้รับผลเป็นที่น่าพอใจ




การทดลองโดยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็ง 10 คนอดอาหาร 48-140 ชั่วโมงก่อนการทำคีโม และ 5-56 ชั่วโมงหลังการทำคีโม ผู้ป่วยรายหนึ่งรายงานว่า เธอสามารถไปทำงานได้เลยในการรับการคีโมในช่วงที่อดอาหาร แต่ในช่วงที่ไม่ได้อดเธอกลับพบผลข้างเคียงอย่างรุนแรงจากการทำคีโม และไม่เพียงแค่ความ
รู้สึกของผู้ป่วยที่รู้สึกดีหากอดอาหาร แต่ผลเลือดทุกอย่างก็ให้ผลดียืนยันสิ่งที่ผู้ป่วยรู้สึกด้วย
*แหล่งข้อมูลhttp://www.marksdailyapple.com/fasting-cancer/#axzz26mUPhr2g



ร่างกายได้รับเชื้อโรคมาจากสองทางหลักคืออาหารและอากาศ การหยุดกินบ้างจะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายได้พักบ้าง เพราะไม่ต้องต่อสู้กับเชื้อโรคในอาหาร



อาหารเช้าสำคัญจริงหรือ?????


เราเคยได้ยินมาว่า อาหารเช้าสำคัญที่สุด แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆหรือ ไม่มีผลการทดลองที่พิสูจน์ได้ว่า อาหารเช้าสำคัญกว่ามื้ออื่นๆ มีการวิจัยว่า metabolism ของเราจะสูงที่สุดในมื้อเช้า จึงเข้าใจว่าเราควรจะกินอาหารเช้าเพื่อให้เข้ากับการเผาผลาญของเรา ความจริงก็คือ metabolism ของเราจะสูงขึ้นเมื่อ glycogen ซึ่งเป็นพลังงานสำรองในตับเหลือน้อย เนื่องจากเราไม่ได้กินอาหารขณะหลับในขณะที่ร่างกายยังคงต้องใช้พลังงาน ดังนั้น หากเรางดมื้อเช้า metabolism ก็จะสูงมากขึ้นไนมื้อกลางวัน เพราะเวลาที่เราหยุดกินนานขึ้น

*ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่http://www.leangains.com/2010/10/top-ten-fasting-myths-debunked.html?m=1




Feeding Windows VS Fasting Windows
วิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับลองอดอาหาร
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
Feeding Windows VS Fasting Windows
วิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับลองอดอาหาร

หากเราแบ่งเวลาการกินอาหารของเรา เราสามารถแบ่งได้เป็น เวลากินอาหาร กับ เวลาหยุดกินอาหาร เวลากินอาหาร เรียกว่า Feeding Windows คือเวลาที่ตั้งแต่เราเริ่มกินในมื้อแรกของวันจนถึงเวลาที่เราหยุดกินมื้อสุดท้ายของวัน ส่วนเวลาหยุดกิน เรียกว่า Fasting Windows คือเวลาที่เราหยุดกินมื้อสุดท้ายของวัน จนถึงเวลาที่เราเริ่มกินมื้อแรกของวันถัดไป จุดประสงค์ของเราคือ พยายามเพิ่มเวลาหยุดกินให้นานที่สุด อย่างน้อยให้มากกว่า 12 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายเริ่มเอาไขมันมาใช้ และอาจจะได้ผลประโยชน์จาก Autophagy บ้าง ทางที่ดีควรจะให้ได้ 16 ชั่วโมงขึ้นไป วิธีก็ง่ายมาก เราเริ่มมื้อเช้าให้สายที่สุด และกินมื้อเย็นให้เช้าที่สุด เช่นเริ่มมื้อเช้าตอน 10 โมง และกินมื้เย็นให้เสร็จก่อน 6 โมงเย็น แค่นี้เราก็จะได้เวลาหยุดกินที่ 16 ชั่วโมงแล้ว ในช่วงเวลาหยุดกินห้ามกินอะไรทั้งนั้นนอกจากน้ำ วิธีนี้ จะไม่ต้องอดเลยซักกะมื้อ แต่ได้ผลประโยชน์ทั้งหมดของ intermittent fasting ถ้าเราทำทุกวันไม่ได้ เราก็ทำแค่บางวันที่เราสะดวก ยิ่งทำได้มาก เราก็จะยิ่งได้ประโยชน์มากขึ้น


หากเราต้องการผลลัพธ์จากการหยุดกินที่มากขึ้น
ลองอดอาหารซัก 1 มื้อ



หากต้องการผลลัพธ์มากขึ้น ลองงดอาหารซักมื้อ ผมแนะนำมื้อที่ติดกับเวลานอน เช่นมื้อเช้า หรือมื้อเย็น ผมจะชอบมื้อเย็นเป็นพิเศษ เพราะส่วนใหญ่เราก็กินกันไม่ค่อยเป็นเวลาอยู่แล้ว และเราจะได้เวลาหยุดกินที่ยาวกว่า เช่นหยุดกินข้าวเที่ยงตอน 1 โมง งดมื้อเย็น และกินข้าวเช้าอีกทีตอน 8.00 เราจะได้เวลาหยุดกิน 19 ชั่วโมง แต่หากเราหยุดกินมื้อเช้า มันจะขึ้นอยู่กับว่ามื้อเย็นเรากินดึกแค่ไหน และมื้อเช้าส่วนใหญ่เราจะใกล้กับมื้อกลางวัน จึงยืดเวลาหยุดกินได้ไม่มาก เราลองเรียนแบบพระในบางวัน Feeding Windows ของพระจะประมาณ 4 ชั่วโมง คือ 8-12 และมีเวลาหยุดกิน 20 ชั่วโมง ในกรณีพระที่ท่านฉันมื้อเดียว ท่านจะมีเวลาหยุดกินถึง 23 ชั่วโมงเลยนะ






ลองหยุดกินอาหารซัก 24 ชั่วโมง






ลองหยุดกินอาหารซัก 24 ชั่วโมงเพื่อสุขภาพ ดูเหมือนยาก แต่ง่ายมาก เพียงงดมื้อเย็นวันนี้ แล้วก็งดมื้อเช้าพรุ่งนี้ แค่นี้ เราก็หยุดกินได้ 24 ชั่วโมงละ เค้าบอกให้ทำอย่างนี้ 2 ครั้งต่ออาทิตย์ แต่อย่าติดกัน 2 วันรวด แค่นี้ก็มีสุขภาพดีได้แล้ว  






Alternate Day Fasting
วิธีอดอาหารแบบวันเว้นวัน




วิธีสุดท้ายที่อยากจะแนะนำ เรียกว่า Alternate Day Fasting คือการกินอาหาร 1 วัน หยุดกิน 1 วัน วิธีนี้ หากเราหยุดกินตอน 20.00 น. แล้วหยุดกินไป 1 วัน และเริ่มอาหารเช้าอีกวันตอน 8.00 น. เราจะได้เวลาหยุดกินมา 36 ชั่วโมง ใครเก่งกว่านี้ ก็สามารถหยุดกินได้นานกว่านี้ แต่ห้ามเกิน 72 ชั่วโมง





ถามตอบในเฟซบุ๊ค

เฮียชาติชาย...รูปนี้เป็นส่วนหนึ่งของ album ชื่อ intermittent fasting ครับ ถ้าเฮียเข้าไปดูทุกรูปใน album ผมจะบอกประโยชน์ของการยืดเวลาหยุดกินให้เกิน 16 ชั่วโมงขึ้นไป และ alternate day fasting เป็นหนึ่งในวิธีที่เราจะยืดเวลาหยุดกิน โดยประโยชน์อย่างย่อคือ


1.เพิ่ม metabolism ซึ่งก็คือทำให้ร่างกายเผาผลาญอาหารดีขึ้น
2.ทำให้การทำงานของร่างกายสมดุล โดยเปิดโอกาสให้ร่างกายได้นำพลังงายที่เราเก็บสะสมไว้ในรูปของไขมัน และไม่มีโอกาสได้ใช้ เอามาแปลงเป็นพลังงาน
3.เพิ่ม human growth hormone โดยไม่ต้องไปซื้อ ไปฉีด แบบดาราฮอลลีวู๊ด เพื่อให้หนุ่มให้สาว แต่เราได้มาฟรีๆ และ hgh นี้แหละที่เป็นเบื้องหลังของสมรรถนะของร่างกาย ทั้งเรื่องความกระฉับกระเฉง ความเต่งตึง การเผาผลาญอาหาร การสร้างกล้ามเนื้อ (วงการเพาะกายเริ่มใช้วิธีนี้เพื่อให้สร้างกล้ามเนื้อได้มากขึ้น แลัวกำจัดไขมันในร่างกายออกไป)
4.Autophagy คือร่างกายจะนำเซลโปรตีนที่เสื่อม เช่นเซลมะเร็ง เซลที่ติดเชื้อแบคทีเรียและไวรัสมาใช้ ทำให้ร่างกายเราไม่เป็นที่สะสมของเซลขยะเหล่านี้ ลดอัตราการเกิดมะเร็งลง
5.ทำให้ยืดอายุการใช้งานของเซล เนื่องจากร่างกายต้องการประหยัดพลังงานในช่วงที่เราหยุดกิน ร่างกายจะพยายามซ่อมเซล แทนที่จะเปลี่ยนเซล ซึ่งจำนวนครั้งที่ร่างกายจะสามารถเปลี่ยนเซลได้นั้นถูกโปรแกรมไว้แล้ว เมื่ออายุการใช้งานของเซลนานขึ้น ก็แปลว่าเราอายุยืนขึ้นครับ
6.ลดความเสี่ยงในการเป็นเบาหวาน เพราะเราให้อินซูลินมีโอกาสหยุดพักในตอนที่เราหยุดเอาพลังงานเข้าสู่ร่างกาย
7.อันนี้ผมถือเป็น by product นะครับ คือผอมลง เพราะปริมาณแคลลอรี่ที่เราเอาเข้าร่างกายน้อยลง แต่ในช่วงเวลาที่เรากินอาหาร ต้องกินเหมือนเดิมนะ เพราะเราต้องการให้ร่างกายอดอาหารเป็นช่วงๆ ห้ามเกิน 3 วัน เพราะหากร่างกายได้รับพลังงานน้อยเกินไปเกินสามวัน จะเข้าโหมดประหยัดพลังงาน คราวนี้ร่างกายจะเผาผลาญน้อยลง และจะเอาโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้ และเมื่อเรากินเหมือนเดิมหลังจากนั้น ก็จะเกิดโยโยเอฟเฟคทันที

เห็นประโยชน์ขนาดนี้ ผมจะไม่เอามาแชร์ให้เพื่อนๆได้ไงครับ เป็นวิธีรักษาสุขภาพแบบไม่เสียตัง แถมประหยัดตังอีกตะหาก รายละเอียดมากกว่านี้ เฮียลองเข้าไปดูใน album ของผมนะครับ




Q:แล้วมันจะเป็นโรคกระเพาะมั๊ย
A:ตอบตามตรง ผมก็สงสัยเหมือนกัน แต่ผมพยายามหาในอินเตอร์เน็ต ก็ไม่เห็นมีที่ไหนบอกว่าจะทำให้เป็นโรคกระเพาะ แต่กลับเจอตรงกันข้ามว่าเค้าใช้การอดอาหารในการรักษาโรคกระเพาะ เนื่องจากการให้กระเพาะอาหารได้พักบ้าง จะทำให้แผลต่างๆที่อยู่ในกระเพาะอาหาร ได้มีเวลารักษาตัวเอง และเนื้อเยื่อที่ช่วยลำเลียงอาหารก็ได้รับการฟื้นฟู การเป็นโรคกระเพาะน่าจะสัมพันธ์กับความเครียดกับปริมาณแบคทีเรียตัวหนึ่งในกระเพาะอาหารมากกว่าครับ

Q:อดอาหารได้บ่อยแค่ีไหน
A:เป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจ เพราะทีแรกผมคิดว่าการอดอาหารสำหรับหลายคนเป็นสิ่งยาก แต่กลับมีหลายคนที่รู้สึกว่าง่ายมาก และอยากทำบ่อยๆ จึงมีคำถามว่าทำได้บ่อยแค่ไหน จริงๆคงไม่มีข้อห้ามอะไร เพียงแต่ว่าเราจะต้องไม่ให้ได้รับพลังงานน้อยเกินไปเกิน 72 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้ร่างกายของเราลดอัตราการเผาผลาญพลังงาน และนำโปรตีนตัวดีมาใช้ เพราะฉะนั้นหากเราลดปริมาณอาหารแล้ว ให้คั่นด้วยการรับประทานอาหารในปริมาณปรกติซัก 1 วัน ก็จะเป็นการยับยั้งไม่ให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาที่เราไม่ต้องการดังกล่าว

Q:รู้สึกเวียนหัว และโหวงๆ
A:จากการค้นในอินเตอร์เน็ต มีหลายคนที่มี size effect หลายอย่าง แต่เมื่อทำบ่อยๆก็จะเริ่มเคยชิน และอาการเหล่านี้จะหายไป

Q:ควรจะเริ่มอย่างไร
A:เพื่อให้ง่าย ผมคิดว่าขั้นแรก เราควรจะล้างโปรแกรมของกระเพาะอาหาร ที่ทำให้เรารู้สึกหิวเป็นเวลา ด้วยการกินอาหารให้ไม่เป็นเวลา หรือเลื่อนการกินอาหารเช้า งดบ้าง กินบ้าง เลื่อนการกินอาหารกลางวันออกไปหน่อย หรือกินอาหารเย็นให้เร็วขึ้นหรือช้าลง และงดซักมื้อ สองมื้อ เพื่อทำให้ร่างกายเลิกจดจำว่า ต้องหลั่งน้ำย่อยเมื่อถีงเวลามื้ออาหาร เพราะในสมัยโบราณที่เรายังต้องล่าสัตว์ เราก็ไม่ได้กินอาหารเป็นเวลา น้ำย่อยก็จะหลั่งเมื่อมีอาหารตกถึงท้อง แรกๆอาจจะยากหน่อย แต่ถ้าค่อยๆทำไปก็จะดีขึ้นครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่