ตอนที่ 1
http://pantip.com/topic/31114370
ตอนที่ 2
ประธานจรูญปรี่เข้ามาในโรงพยาบาลตรังอย่างร้อนใจ หลังจากที่ได้รับข่าวจากกลิ่นดาวผู้เป็นลูกสาวคนโตว่าดุจเดือนจมน้ำ และถูกห่ามส่งโรงพยาบาลเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ประธานจรูญเป็นคนรูปร่างท้วมใหญ่และใจร้อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับบุตรสาวจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้เป็นพ่อจะไม่ถามต้นสายปลายเหตุของเรื่องทั้งหมด กลิ่นดาวเพิ่งได้เจอพ่อก็ตอนนี้แต่แทนที่จะได้พูดจาอย่างคนที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานาน กลับต้องมาทะเลาะกันเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับดุจเดือน
“นี่แกจะบอกว่า น้องแกลงไปเล่นน้ำและพลาดจมน้ำในเวลาป่านนี้น่ะเหรอ” ประธานจรูญย้ำถามอย่างไม่เชื่อหู หลังจากที่กลิ่นดาวอธิบายทุกอย่างให้ฟังว่าเธอนั้นเผลอปล่อยน้องให้อยู่ตามลำพังโดยไม่รู้ว่าน้องลงไปเล่นน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่
“ค่ะ...ก็อย่างที่หนูบอก” กลิ่นดาวยืนยันตามนั้น แต้แท้ที่จริงแล้วมีเหตุผลที่มากกว่านั้นและคิดว่าหากเธอบอกพ่อในตอนนี้ ด้วยความใจร้อนของพ่อคงคิดทำอะไรสักอย่างที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้ เธอจึงคิดว่าควรจะจัดการปัญหาทุกอย่างด้วยตัวเองดูจะเข้าท่ากว่า
“ไม่มีทาง...แกอย่าทำเหมือนน้องแกเป็นเด็กเจ็ดขวบไปหน่อยเลย ปีนี้มันก็จะยี่สิบแล้ว” เขาแย้งหน้าตื่นพยายามที่จะมองผ่านเข้าไปในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลด้วยความเป็นห่วง เท่าที่พ่อคนหนึ่งจะพึงมีเมื่อเกิดภัยขึ้นกับบุตรสาวของตน
“ก็แล้ว พ่ออยากจะให้หนูบอกว่าไงคะ” กลิ่นดาวแสร้งทำสีหน้ายุ่งยาก
“แกแน่ใจนะ ว่าน้องไม่ได้จมน้ำเพราะพยายามจะฆ่าตัวตาย เหมือนกับที่มันพยายามจะกรีดข้อมือตัวเองเหมือนคราวก่อน”
กลิ่นดาวถึงกับสะอึกหันสบตานายปลั่งที่ยืนอยู่ข้างๆ พ่อของเธอ เพราะกลัวว่านายปลั่งจะเล่าเรื่องผู้ชายคนที่พบให้พ่อของเธอฟัง นายปลั่งส่ายหน้าเบาๆ เมื่อรู้ว่ากลิ่นดาวกำลังสงสัยตน
“โธ่...พ่อคะ น้องไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก หนูกับน้องเราพูดคุยกันแล้ว น้องไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ เพียงแต่ช่วงนี้น้องเครียดเรื่องเรียนเท่านั้น”
“ตกลงที่มันพยายามกรีดข้อมือตัวเองหลายครั้งนี่ เพราะมันเครียดเรื่องเรียนแน่เหรอ นี่แกไม่ได้ปิดบังอะไรฉันใช่ไหม”
แต่แล้วไม่ทันที่กลิ่นดาวจะได้ตอบคำถามนั้น ร่างของนายแพทย์หนุ่มท่านหนึ่งก็เปิดประตูออกมาจากห้องฉุกเฉิน ในเวลาเดียวกับที่ประธานใหญ่และกลิ่นดาวปรี่เข้าไปถามอาการของดุจเดือน นายแพทย์หนุ่มถึงกับถอนหายใจหนักหน่วง เมื่อรู้ว่าต้องเตรียมคำตอบต่อคำถามของคนทั้งสอง
“คุณหมอครับ ลูกสาวผมเป็นไงบ้าง” ประธานใหญ่ตั้งคำถามทันที
หมอหนุ่มแสดงอาการอ้อมแอ้มก่อนตอบ “ผมอยากให้คุณทั้งสองทำใจไว้สักเล็กน้อย สมองของผู้ป่วยขาดออกซิเจนเป็นเวลานานครับ ผมเกรงว่าเธออาจจะต้องเป็นเจ้าหญิงนิทราไปชั่วชีวิต”
“คุณหมอว่าไงนะ” ทั้งสองแทบจะถามขึ้นพร้อมกัน
“ทางเราพยายามเต็มที่แล้วครับที่จะยื้อชีวิตผู้ป่วยเอาไว้ ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ”
ประธานใหญ่แทบทรุดร่างลงตรงนั้น เขาจับหัวไหล่หมอเอาไว้ “หมอ..ผมยินดีจะจ่ายเท่าไหร่ก็ได้ตามแต่ที่โรงพยาบาลจะเรียกร้อง ได้โปรดช่วยชีวิตลูกสาวผมด้วยเถอะ”
หมอหนุ่มก้มหน้าลงอย่างถอดใจ “ทางเราพยายามเต็มที่แล้วจริงๆ ครับ ต่อแต่นี้ไปก็ขึ้นอยู่กับตัวคนไข้เองและขอแสดงความเสียใจอีกครั้งครับ”
จบประโยคหมอหนุ่มก็เดินหลีกออกจากจุดนั้น ในขณะที่ร่างของประธานจรูญเดินเอื่อยทิ้งตัวลงบนม้านั่งหน้าห้องฉุกเฉิน กลิ่นดาวกำหมัดแน่นเปิดประตูห้องฉุกเฉินเข้าไป เพื่อให้เห็นกับตาตัวเองว่าน้องสาวกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราเหมือนอย่างที่หมอได้ยืนยันเอาไว้หรือไม่ และเป็นจริงตามนั้นร่างของดุจเดือนนอนนิ่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย มีเครื่องช่วยหายใจครอบตรงระหว่างปากและจมูก เธอปัดปอยผมน้องสาวไปเหน็บไว้ข้างใบหู จ้องมองใบหน้าของน้องอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน กระทั่งเห็นร่างของนายปลั่งเดินเข้ามาสมทบ ส่วนผู้เป็นพ่อนั้นยังคงนั่งทำใจอยู่หน้าห้องฉุกเฉินเพราะไม่อาจทนรับสภาพกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับบุตรสาวคนเล็กได้
กลิ่นดาวจ้องมองนายปลั่งโดยแทบไม่ต้องเอ่ยสิ่งใดออกมา เพราะสิ่งที่เธอคิดนั้นคงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกเสียจากความแค้นที่มีต่อชายคนนั้น คนที่ทำให้น้องสาวของเธอต้องมีสภาพน่าอนาถเช่นนี้ นายปลั่งรับรู้ได้ถึงความคิดที่ว่ากระทั่งสิ่งที่ยืนยันได้ดีที่สุดก็คือคำพูดของกลิ่นดาวที่กำลังจะออกมาจากปากของเธอในเวลานี้
“นายคงจำคำพูดฉันได้ใช่ไหมปลั่ง ว่านายจะไม่บอกเรื่องนั้นกับพ่อฉันเพราะฉันจะจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ด้วยตัวเอง และมีนายคนเดียวเท่านั้นที่ช่วยฉันได้”
นายปลั่งพยักหน้าอย่างมั่นใจและรู้ดีถึงสิ่งที่กลิ่นดาวหมายถึง ซึ่งเขาแน่ใจเป็นอย่างยิ่งว่าต่อแต่นี้ไปผู้ชายคนที่ทำให้ดุจเดือนน้องสาวของเธอต้องตกอยู่ในสภาพนี้คงไม่มีวันใช้ชีวิตอย่างปกติสุขนับจากนี้ไปอีกนานแสนนานทีเดียว
นับจากวันที่ดุจเดือนประสบอุบัติเหตุก็ล่วงเลยมากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว กลิ่นดาวขอทำเรื่องกับทางโรงพยาบาลเพื่อรับดุจเดือนมาดูแลต่อยังบ้านพักตากอากาศบนเกาะที่พ่อเธอทำสัมปทานรังนกที่นี่ เพราะคิดว่าน้องของเธอคงชอบอากาศที่นี่มากกว่าที่จะต้องนอนอุดอู้ในโรงพยาบาลแคบๆ ถึงแม้ร่างของดุจเดือนยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียงผู้ป่วย แต่ก็พอจะทำให้ผู้เป็นพี่สาวรู้สึกได้ว่าน้องชอบบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติมากกว่า สีหน้าของดุจเดือนค่อยๆ ดีขึ้น กลิ่นดาวดูแลเธออย่างใกล้ชิดตลอดเวลา ยามว่างก็มักจะนั่งอ่านหนังสือที่ดุจเดือนเคยชอบให้เธอฟัง โดยไม่สนว่าเธอจะได้ยินมันหรือไม่ ส่วนผู้เป็นพ่อเองก็ดูจะเห็นชอบด้วยที่จะให้บุตรสาวคนเล็กมาอยู่บนเกาะเพราะอย่างน้อยก็มีใครหลายคนช่วยกันดูแลเป็นหูเป็นตาให้
นางคล้อยแม่ครัวประจำเกาะเพิ่งยกอาหารกลางวันมาให้กลิ่นดาวที่คอยดูแลเฝ้าไข้น้องสาวไม่ได้ห่าง พลางเหลียวมองอาหารเช้าซึ่งเธอแทบไม่ได้แตะต้องมันเลยสักนิด ก่อนจะนึกถอนหายใจถึงเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้น
“คุณหนูดาว ทานอะไรบ้างเถอะจ้ะ หากหนูล้มป่วยไปอีกคน ท่านประธานคงทุกข์ใจมากกว่านี้” นางคล้อยกล่าวเสียค่อย
“ป้าอย่าเป็นห่วงหนูเลยค่ะ หนูไม่เป็นอะไรหรอก”
นางคล้อยถอนหายใจหนักหน่วงอีกครั้ง “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ หนูควรทานอะไรเสียบ้าง หากคุณหนูดุจเดือนรู้ว่าพี่สาวของเธอต้องลำบากใจเพราะเธอล่ะก็ เธอคงไม่สบายใจมากแน่ ๆ”
“ค่ะ...ป้า” กลิ่นดาวรับคำ แต่แล้วในขณะที่นางคล้อยกำลังเดินออกไปจากห้องนั้น กลิ่นดาวก็นึกเปรยบางอย่างออกมา “ป้าคะ...หนูเป็นพี่สาวที่ไม่ดีของน้องเลยใช่ไหมคะ ตลอดเวลาที่หนูอยู่ต่างประเทศหนูไม่เคยให้ความสำคัญกับน้องเลย ทั้งที่เรื่องทั้งหมดคงไม่เกิดขึ้นหากหนูดูแลและเอาใจใส่น้องอย่างใกล้ชิด สงสารก็แต่ยัยเดือนเท่านั้นที่มีพี่สาวไม่ได้เรื่องอย่างหนู”
“โธ่...หนูดาว อย่าคิดแบบนั้นเลยจ้ะ ทุกคนต่างก็มีความคิดและความใฝ่ฝันของตัวเองทั้งนั้น ป้าเชื่อว่าหนูเดือนเองก็คงเข้าใจดี และรู้ดีว่าหนูกำลังไล่ตามความฝันของตัวเอง คงไม่มีใครที่ไหนอยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แม้แต่หนูเดือนเองก็เถอะ”
เมื่อร่างนางคล้อยผู้ดูแลบ้านพักตากอากาศหลังนี้ออกไปจากห้อง กลิ่นดาวก็ทำได้เพียงนั่งมองใบหน้าของดุจเดือนอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน พลางคิดไปว่าทั้งที่ตนเพิ่งมาถึงแท้ๆ แต่แทนที่จะได้พูดคุย และเล่าสู่กันฟังในเรื่องราวต่างๆ เพื่อสานต่อช่วงเวลาที่เธอไม่ได้อยู่ใกล้ชิดน้องสาวกลับต้องเกิดเรื่องไม่คาดคิดเช่นนี้ขึ้น สิ่งที่ป้าแม่บ้านบอกกับเธอว่าคงไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นนั้น เห็นจะเป็นเรื่องจริงสำหรับทุกคนอยู่ใกล้ชิดดุจเดือนและหวังดีต่อน้องสาวของเธอ แต่สำหรับผู้ชายคนนั้นแล้วการที่ดุจเดือนไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้คงทำให้เขาคนนั้นสบายใจยิ่งกว่า คิดได้ดังนั้นมันก็ทำให้กลิ่นดาวอยู่นิ่งเฉยต่อไปอีกไม่ได้ เธอจะไม่ยอมให้ไอ้คนที่ทำให้น้องสาวเธอมีสภาพแบบนี้ยังใช้ชีวิตอย่างรื่นเริงได้อีกต่อไป มันจึงเป็นหน้าที่ของเธอในฐานะของพี่สาวที่จะต้องทวงคืนความยุติธรรมทั้งหมดให้กับน้อง
นายปลั่งรอกลิ่นดาวอยู่หน้าบ้านพักตากอากาศ หลังจากที่กลิ่นดาวโทรตามตัวเขามาที่เกาะและบอกกับพ่อว่าเธอขอยืมตัวนายปลั่งเพื่อทำงานบางอย่าง ซึ่งพ่อของเธอก็ไม่ได้ถามถึงงานที่ว่าและรู้สึกวางใจมากกว่าที่บุตรสาวจะมีมือดีอย่างนายปลั่งคอยดูแล เพราะประธานใหญ่รู้ดีว่าตนมีศัตรูทางธุรกิจมากมายขนาดไหน การมีชายฉกรรจ์ฝีมือดีสักคนคอยคุ้มกันบุตรสาวจึงเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว เลยไม่คิดที่จะซักไซ้ในเรื่องนี้
“ปลั่ง...นายคงรอฉันไม่นานใช่ไหม”
“ไม่เลยครับคุณหนู” บอดี้การ์ดหนุ่มตอบเสียงเรียบ
“นายคงรู้ว่าฉัน ตามตัวนายมาทำไม”
“ครับ...ผมทราบดี” นายปลั่งตอบรับสั้น
“วันนี้เราสองคนจะขึ้นไปกรุงเทพ เพื่อจัดการไอ้คนที่มันทำให้น้องสาวของฉันต้องมีสภาพแบบนี้”
นายปลั่งระบายยิ้มกว้างออกมา เมื่อรับทราบข้อมูลนั้น “ผมได้เตรียมเรือไว้แล้วครับ ส่วนรถผมได้จอดรอไว้ที่ท่าเรือเรียบร้อยหมดแล้ว ก็รอเพียงแต่คำสั่งของคุณหนูเท่านั้น”
กลิ่นดาวยิ้มที่มุมปากเพราะเหมือนนายปลั่งจะรู้ใจเธอดียิ่งกว่าใครทั้งหมด “งั้นจะช้าอยู่ทำไม ไปจัดการไอ้สารเลวนั่นกันเถอะ”
นายปลั่งพยักหน้าเห็นชอบด้วยเมื่อร่างของนายสาวเดินนำหน้าออกไปยังเรือเล็กที่พร้อมจะออกเดินทางจากเกาะ
ปางดิน กลิ่นดาว ตอนที่ 2
ประธานจรูญปรี่เข้ามาในโรงพยาบาลตรังอย่างร้อนใจ หลังจากที่ได้รับข่าวจากกลิ่นดาวผู้เป็นลูกสาวคนโตว่าดุจเดือนจมน้ำ และถูกห่ามส่งโรงพยาบาลเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ประธานจรูญเป็นคนรูปร่างท้วมใหญ่และใจร้อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับบุตรสาวจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้เป็นพ่อจะไม่ถามต้นสายปลายเหตุของเรื่องทั้งหมด กลิ่นดาวเพิ่งได้เจอพ่อก็ตอนนี้แต่แทนที่จะได้พูดจาอย่างคนที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานาน กลับต้องมาทะเลาะกันเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับดุจเดือน
“นี่แกจะบอกว่า น้องแกลงไปเล่นน้ำและพลาดจมน้ำในเวลาป่านนี้น่ะเหรอ” ประธานจรูญย้ำถามอย่างไม่เชื่อหู หลังจากที่กลิ่นดาวอธิบายทุกอย่างให้ฟังว่าเธอนั้นเผลอปล่อยน้องให้อยู่ตามลำพังโดยไม่รู้ว่าน้องลงไปเล่นน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่
“ค่ะ...ก็อย่างที่หนูบอก” กลิ่นดาวยืนยันตามนั้น แต้แท้ที่จริงแล้วมีเหตุผลที่มากกว่านั้นและคิดว่าหากเธอบอกพ่อในตอนนี้ ด้วยความใจร้อนของพ่อคงคิดทำอะไรสักอย่างที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้ เธอจึงคิดว่าควรจะจัดการปัญหาทุกอย่างด้วยตัวเองดูจะเข้าท่ากว่า
“ไม่มีทาง...แกอย่าทำเหมือนน้องแกเป็นเด็กเจ็ดขวบไปหน่อยเลย ปีนี้มันก็จะยี่สิบแล้ว” เขาแย้งหน้าตื่นพยายามที่จะมองผ่านเข้าไปในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลด้วยความเป็นห่วง เท่าที่พ่อคนหนึ่งจะพึงมีเมื่อเกิดภัยขึ้นกับบุตรสาวของตน
“ก็แล้ว พ่ออยากจะให้หนูบอกว่าไงคะ” กลิ่นดาวแสร้งทำสีหน้ายุ่งยาก
“แกแน่ใจนะ ว่าน้องไม่ได้จมน้ำเพราะพยายามจะฆ่าตัวตาย เหมือนกับที่มันพยายามจะกรีดข้อมือตัวเองเหมือนคราวก่อน”
กลิ่นดาวถึงกับสะอึกหันสบตานายปลั่งที่ยืนอยู่ข้างๆ พ่อของเธอ เพราะกลัวว่านายปลั่งจะเล่าเรื่องผู้ชายคนที่พบให้พ่อของเธอฟัง นายปลั่งส่ายหน้าเบาๆ เมื่อรู้ว่ากลิ่นดาวกำลังสงสัยตน
“โธ่...พ่อคะ น้องไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก หนูกับน้องเราพูดคุยกันแล้ว น้องไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ เพียงแต่ช่วงนี้น้องเครียดเรื่องเรียนเท่านั้น”
“ตกลงที่มันพยายามกรีดข้อมือตัวเองหลายครั้งนี่ เพราะมันเครียดเรื่องเรียนแน่เหรอ นี่แกไม่ได้ปิดบังอะไรฉันใช่ไหม”
แต่แล้วไม่ทันที่กลิ่นดาวจะได้ตอบคำถามนั้น ร่างของนายแพทย์หนุ่มท่านหนึ่งก็เปิดประตูออกมาจากห้องฉุกเฉิน ในเวลาเดียวกับที่ประธานใหญ่และกลิ่นดาวปรี่เข้าไปถามอาการของดุจเดือน นายแพทย์หนุ่มถึงกับถอนหายใจหนักหน่วง เมื่อรู้ว่าต้องเตรียมคำตอบต่อคำถามของคนทั้งสอง
“คุณหมอครับ ลูกสาวผมเป็นไงบ้าง” ประธานใหญ่ตั้งคำถามทันที
หมอหนุ่มแสดงอาการอ้อมแอ้มก่อนตอบ “ผมอยากให้คุณทั้งสองทำใจไว้สักเล็กน้อย สมองของผู้ป่วยขาดออกซิเจนเป็นเวลานานครับ ผมเกรงว่าเธออาจจะต้องเป็นเจ้าหญิงนิทราไปชั่วชีวิต”
“คุณหมอว่าไงนะ” ทั้งสองแทบจะถามขึ้นพร้อมกัน
“ทางเราพยายามเต็มที่แล้วครับที่จะยื้อชีวิตผู้ป่วยเอาไว้ ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ”
ประธานใหญ่แทบทรุดร่างลงตรงนั้น เขาจับหัวไหล่หมอเอาไว้ “หมอ..ผมยินดีจะจ่ายเท่าไหร่ก็ได้ตามแต่ที่โรงพยาบาลจะเรียกร้อง ได้โปรดช่วยชีวิตลูกสาวผมด้วยเถอะ”
หมอหนุ่มก้มหน้าลงอย่างถอดใจ “ทางเราพยายามเต็มที่แล้วจริงๆ ครับ ต่อแต่นี้ไปก็ขึ้นอยู่กับตัวคนไข้เองและขอแสดงความเสียใจอีกครั้งครับ”
จบประโยคหมอหนุ่มก็เดินหลีกออกจากจุดนั้น ในขณะที่ร่างของประธานจรูญเดินเอื่อยทิ้งตัวลงบนม้านั่งหน้าห้องฉุกเฉิน กลิ่นดาวกำหมัดแน่นเปิดประตูห้องฉุกเฉินเข้าไป เพื่อให้เห็นกับตาตัวเองว่าน้องสาวกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราเหมือนอย่างที่หมอได้ยืนยันเอาไว้หรือไม่ และเป็นจริงตามนั้นร่างของดุจเดือนนอนนิ่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย มีเครื่องช่วยหายใจครอบตรงระหว่างปากและจมูก เธอปัดปอยผมน้องสาวไปเหน็บไว้ข้างใบหู จ้องมองใบหน้าของน้องอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน กระทั่งเห็นร่างของนายปลั่งเดินเข้ามาสมทบ ส่วนผู้เป็นพ่อนั้นยังคงนั่งทำใจอยู่หน้าห้องฉุกเฉินเพราะไม่อาจทนรับสภาพกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับบุตรสาวคนเล็กได้
กลิ่นดาวจ้องมองนายปลั่งโดยแทบไม่ต้องเอ่ยสิ่งใดออกมา เพราะสิ่งที่เธอคิดนั้นคงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกเสียจากความแค้นที่มีต่อชายคนนั้น คนที่ทำให้น้องสาวของเธอต้องมีสภาพน่าอนาถเช่นนี้ นายปลั่งรับรู้ได้ถึงความคิดที่ว่ากระทั่งสิ่งที่ยืนยันได้ดีที่สุดก็คือคำพูดของกลิ่นดาวที่กำลังจะออกมาจากปากของเธอในเวลานี้
“นายคงจำคำพูดฉันได้ใช่ไหมปลั่ง ว่านายจะไม่บอกเรื่องนั้นกับพ่อฉันเพราะฉันจะจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ด้วยตัวเอง และมีนายคนเดียวเท่านั้นที่ช่วยฉันได้”
นายปลั่งพยักหน้าอย่างมั่นใจและรู้ดีถึงสิ่งที่กลิ่นดาวหมายถึง ซึ่งเขาแน่ใจเป็นอย่างยิ่งว่าต่อแต่นี้ไปผู้ชายคนที่ทำให้ดุจเดือนน้องสาวของเธอต้องตกอยู่ในสภาพนี้คงไม่มีวันใช้ชีวิตอย่างปกติสุขนับจากนี้ไปอีกนานแสนนานทีเดียว
นับจากวันที่ดุจเดือนประสบอุบัติเหตุก็ล่วงเลยมากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว กลิ่นดาวขอทำเรื่องกับทางโรงพยาบาลเพื่อรับดุจเดือนมาดูแลต่อยังบ้านพักตากอากาศบนเกาะที่พ่อเธอทำสัมปทานรังนกที่นี่ เพราะคิดว่าน้องของเธอคงชอบอากาศที่นี่มากกว่าที่จะต้องนอนอุดอู้ในโรงพยาบาลแคบๆ ถึงแม้ร่างของดุจเดือนยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียงผู้ป่วย แต่ก็พอจะทำให้ผู้เป็นพี่สาวรู้สึกได้ว่าน้องชอบบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติมากกว่า สีหน้าของดุจเดือนค่อยๆ ดีขึ้น กลิ่นดาวดูแลเธออย่างใกล้ชิดตลอดเวลา ยามว่างก็มักจะนั่งอ่านหนังสือที่ดุจเดือนเคยชอบให้เธอฟัง โดยไม่สนว่าเธอจะได้ยินมันหรือไม่ ส่วนผู้เป็นพ่อเองก็ดูจะเห็นชอบด้วยที่จะให้บุตรสาวคนเล็กมาอยู่บนเกาะเพราะอย่างน้อยก็มีใครหลายคนช่วยกันดูแลเป็นหูเป็นตาให้
นางคล้อยแม่ครัวประจำเกาะเพิ่งยกอาหารกลางวันมาให้กลิ่นดาวที่คอยดูแลเฝ้าไข้น้องสาวไม่ได้ห่าง พลางเหลียวมองอาหารเช้าซึ่งเธอแทบไม่ได้แตะต้องมันเลยสักนิด ก่อนจะนึกถอนหายใจถึงเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้น
“คุณหนูดาว ทานอะไรบ้างเถอะจ้ะ หากหนูล้มป่วยไปอีกคน ท่านประธานคงทุกข์ใจมากกว่านี้” นางคล้อยกล่าวเสียค่อย
“ป้าอย่าเป็นห่วงหนูเลยค่ะ หนูไม่เป็นอะไรหรอก”
นางคล้อยถอนหายใจหนักหน่วงอีกครั้ง “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ หนูควรทานอะไรเสียบ้าง หากคุณหนูดุจเดือนรู้ว่าพี่สาวของเธอต้องลำบากใจเพราะเธอล่ะก็ เธอคงไม่สบายใจมากแน่ ๆ”
“ค่ะ...ป้า” กลิ่นดาวรับคำ แต่แล้วในขณะที่นางคล้อยกำลังเดินออกไปจากห้องนั้น กลิ่นดาวก็นึกเปรยบางอย่างออกมา “ป้าคะ...หนูเป็นพี่สาวที่ไม่ดีของน้องเลยใช่ไหมคะ ตลอดเวลาที่หนูอยู่ต่างประเทศหนูไม่เคยให้ความสำคัญกับน้องเลย ทั้งที่เรื่องทั้งหมดคงไม่เกิดขึ้นหากหนูดูแลและเอาใจใส่น้องอย่างใกล้ชิด สงสารก็แต่ยัยเดือนเท่านั้นที่มีพี่สาวไม่ได้เรื่องอย่างหนู”
“โธ่...หนูดาว อย่าคิดแบบนั้นเลยจ้ะ ทุกคนต่างก็มีความคิดและความใฝ่ฝันของตัวเองทั้งนั้น ป้าเชื่อว่าหนูเดือนเองก็คงเข้าใจดี และรู้ดีว่าหนูกำลังไล่ตามความฝันของตัวเอง คงไม่มีใครที่ไหนอยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แม้แต่หนูเดือนเองก็เถอะ”
เมื่อร่างนางคล้อยผู้ดูแลบ้านพักตากอากาศหลังนี้ออกไปจากห้อง กลิ่นดาวก็ทำได้เพียงนั่งมองใบหน้าของดุจเดือนอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน พลางคิดไปว่าทั้งที่ตนเพิ่งมาถึงแท้ๆ แต่แทนที่จะได้พูดคุย และเล่าสู่กันฟังในเรื่องราวต่างๆ เพื่อสานต่อช่วงเวลาที่เธอไม่ได้อยู่ใกล้ชิดน้องสาวกลับต้องเกิดเรื่องไม่คาดคิดเช่นนี้ขึ้น สิ่งที่ป้าแม่บ้านบอกกับเธอว่าคงไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นนั้น เห็นจะเป็นเรื่องจริงสำหรับทุกคนอยู่ใกล้ชิดดุจเดือนและหวังดีต่อน้องสาวของเธอ แต่สำหรับผู้ชายคนนั้นแล้วการที่ดุจเดือนไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้คงทำให้เขาคนนั้นสบายใจยิ่งกว่า คิดได้ดังนั้นมันก็ทำให้กลิ่นดาวอยู่นิ่งเฉยต่อไปอีกไม่ได้ เธอจะไม่ยอมให้ไอ้คนที่ทำให้น้องสาวเธอมีสภาพแบบนี้ยังใช้ชีวิตอย่างรื่นเริงได้อีกต่อไป มันจึงเป็นหน้าที่ของเธอในฐานะของพี่สาวที่จะต้องทวงคืนความยุติธรรมทั้งหมดให้กับน้อง
นายปลั่งรอกลิ่นดาวอยู่หน้าบ้านพักตากอากาศ หลังจากที่กลิ่นดาวโทรตามตัวเขามาที่เกาะและบอกกับพ่อว่าเธอขอยืมตัวนายปลั่งเพื่อทำงานบางอย่าง ซึ่งพ่อของเธอก็ไม่ได้ถามถึงงานที่ว่าและรู้สึกวางใจมากกว่าที่บุตรสาวจะมีมือดีอย่างนายปลั่งคอยดูแล เพราะประธานใหญ่รู้ดีว่าตนมีศัตรูทางธุรกิจมากมายขนาดไหน การมีชายฉกรรจ์ฝีมือดีสักคนคอยคุ้มกันบุตรสาวจึงเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว เลยไม่คิดที่จะซักไซ้ในเรื่องนี้
“ปลั่ง...นายคงรอฉันไม่นานใช่ไหม”
“ไม่เลยครับคุณหนู” บอดี้การ์ดหนุ่มตอบเสียงเรียบ
“นายคงรู้ว่าฉัน ตามตัวนายมาทำไม”
“ครับ...ผมทราบดี” นายปลั่งตอบรับสั้น
“วันนี้เราสองคนจะขึ้นไปกรุงเทพ เพื่อจัดการไอ้คนที่มันทำให้น้องสาวของฉันต้องมีสภาพแบบนี้”
นายปลั่งระบายยิ้มกว้างออกมา เมื่อรับทราบข้อมูลนั้น “ผมได้เตรียมเรือไว้แล้วครับ ส่วนรถผมได้จอดรอไว้ที่ท่าเรือเรียบร้อยหมดแล้ว ก็รอเพียงแต่คำสั่งของคุณหนูเท่านั้น”
กลิ่นดาวยิ้มที่มุมปากเพราะเหมือนนายปลั่งจะรู้ใจเธอดียิ่งกว่าใครทั้งหมด “งั้นจะช้าอยู่ทำไม ไปจัดการไอ้สารเลวนั่นกันเถอะ”
นายปลั่งพยักหน้าเห็นชอบด้วยเมื่อร่างของนายสาวเดินนำหน้าออกไปยังเรือเล็กที่พร้อมจะออกเดินทางจากเกาะ