ปางดิน กลิ่นดาว

กระทู้สนทนา
ปางดิน กลิ่นดาว

ตอนที่ 1

    
หญิงสาววัยยี่สิบสี่เกาะอยู่เหนือฝากระโปรงรถลีมูซีนคันหรู ในขณะที่ตัวรถพุ่งทะยานไปตามท้องถนนว่างโล่ง ในอัตราความเร็วแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ตัวรถส่ายไปมาทำเอาร่างของเธอโยกเอียงไปตามแรงเหวี่ยง ชายผู้ขับรถพยายามอย่างหนักที่จะสะบัดร่างของเธอผู้นั้นให้ตกจากฝากระโปรงรถ ทว่าหญิงสาวเกาะฝากระโปรงไว้มั่นกระชากปืนที่เหน็บข้างลำตัวออกมา จ่อยิ่งผ่านกระจกรถเสียงดังสนั่น หวังจะให้ชายผู้ขับสิ้นชีพ แรงถีบของปืนทำเอามือเธอสะบัด ก่อนจะได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งดังขึ้นคล้ายเป็นเสียงตะโกนอยู่ไกลออกไป

    “คัตซ์” สิ้นเสียงนั้น เสียงปรบมือก็ดังขึ้นกราวใหญ่

    หญิงสาวผู้เกาะฝากระโปรงรถ กระโดดลงจากตัวรถที่เพิ่งจอดนิ่งลง หันมองผู้กำกับชาวต่างชาติที่ชูนิ้วโป้งส่งให้ บรรดาตากล้องยกขบวนไปสมทบกับผู้กำกับ เธอยิ้มรับตาใสให้กับคำชมนั้นปัดฝุ่นออกจากชุดหนังสีดำ เธอเป็นสตั้นเกิร์ลสาวชาวไทยนามว่ากลิ่นดาว เพิ่งเรียนจบการแสดงจากอเมริกาเมื่อหนึ่งปีก่อนและภายในปีนั้นผันตัวเองมาเอาดีทางด้านการเป็นสตั้นเกิร์ลให้กับทีมสตั้นชื่อดังระดับยุโรป แต่ครั้งนี้ทั้งหมดยกทีมสตั้นมาถ่ายทำยังกรุงโรมประเทศอิตาลี และนี่ถือเป็นครั้งแรกที่กลิ่นดาวได้พิสูจน์ฝีมือให้รุ่นพี่ในทีมสตั้นทุกคนได้เห็นว่า เธอสามารถใช้เวลาฝึกฝนเพียงหนึ่งปีก็สามารถเป็นมือสตั้นระดับอาชีพได้แล้ว แต่เธอคิดว่าตนนั้นยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมากเกี่ยวกับงานทางด้านนี้ นี่จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่เธอจะได้เรียนรู้และมุ่งสู่การเป็นสตั้นเกิร์ลเต็มตัว

    กลิ่นดาวเป็นคนตัวเล็กผมสั้นใบหน้าอวบอิ่มดูเป็นสาวมั่นเต็มตัวหากเห็นแต่เพียงภายนอกคงไม่มีใครเชื่อว่าเธอเป็นสตั้นหญิงปราดเปรียวที่มีวิชาพอตัวทีเดียว ในทีแรกนั้นหลังจบจากโรงเรียนการแสดงเธอก็มักไปเป็นตัวประกอบฉากให้กับโรงละครหรือหนังฟอร์มเล็กที่มีอยู่ทั่วไปตามสตูดิโอต่างๆ ต่อเมื่อเริ่มเห็นความน่าเบื่อหน่ายในงานที่ทำ และเห็นความตื่นเต้นน่าอัศจรรย์ใจกับการเป็นส่วนหนึ่งของทีมสตั้นเธอจึงเข้าเรียนคอร์สอบรมพื้นฐานอยู่เกือบปีจนกระทั่งได้เข้าร่วมออดิชั่นและผ่านการคัดเลือกมาเป็นส่วนหนึ่งของทีมสตั้นระดับโลกเช่นทุกวันนี้ รุ่นพี่สตั้นแมนชาวต่างชาติหลายคนชื่นชมเธอ ออกปากชมว่าฝีมือของเธอก้าวหน้าเร็วและหากเธอจะเอาดีทางด้านนี้สักวันหนึ่งเธอก็จะกลายเป็นสตั้นเกิร์ลเต็มตัวที่มีค่าตัวสูงพอกับดาราชื่อดัง   

    ในระหว่างที่กลิ่นดาวกำลังช่วยทีมสตั้นขนสำภาระต่างๆ ขึ้นรถเพื่อกลับไปยังที่พักนั้น กลับต้องตกใจเมื่อพ่อที่เมืองไทยซึ่งทุกคนต่างรู้จักกันในนามประธานจรูญหรือที่คนในพื้นที่เรียกขานกันว่านายห้างโทรศัพท์มาหาเธอ อันที่จริงแล้วตั้งแต่พ่อรู้ว่าเธอหนีมาเรียนด้านการแสดง พ่อก็แทบจะตัดหางเธอปล่อยวัดด้วยซ้ำเพราะเข้าใจมาโดยตลอดว่าลูกสาวคนเก่งกำลังขะมักเขม้นเรียนการบริหาร เพื่อมาช่วยตนพัฒนาธุรกิจสัมปทานรังนกและฟาร์มไข่มุกที่กำลังรุ่งเรืองและหากได้ลูกสาวที่รู้เรื่องด้านการบริหารจัดการทุกอย่างมาโดยตรง มันก็จะยิ่งส่งเสริมความมั่งคั่งให้กับเขา แต่แล้วเมื่อความจริงปรากฏมันก็ทำให้พ่อของเธอผิดหวังถึงขนาดไม่ส่งเงินค่าเล่าเรียนหรือค่าใช้จ่ายต่างให้ แต่กลิ่นดาวก็ยังสู้ทำงานพิเศษบากบั่นเรียนจนจบ แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่นเสียทีเดียวหากไม่ได้ดุจเดือนผู้เป็นน้องสาวแอบส่งเงินบางส่วนที่พ่อส่งเสียตัวเองมาเป็นค่าใช้จ่ายจุนเจือให้พี่สาวอีกทางหนึ่ง ดังนั้นแล้วการติดต่อมาของพ่อในครั้งนี้หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายเธอคงไม่มีวันได้ยินเสียงของเขาคนนี้อีก

    “ยัยดาวฉันอยากให้แกบินกลับไทยวันนี้เลย”

    “เอ๊ะ...ว่าไงนะคะพ่อ” กลิ่นดาวเหมือนดูไม่เชื่อคำพูดนั้น เพราะปกติแล้วอีโก้ของนายห้างคนนี้มีค่ามากเกินกว่าจะขอร้องอะไรกับลูกไม่รักดีอย่างเธอ

    “ฉันบอกให้บินกลับไทยวันนี้”

    “แต่หนูต้องทำงานนะคะพ่อ และที่สำคัญหนูก็ไม่มีเงินค่าเดินทางเทียวไปเทียวมา เหลือเฟือขนาดนั้นด้วย”

    ฝ่ายพ่อได้ยินดังนั้นก็เหมือนมีท่าทีอ่อนข้อลง “ฉันจะจ่ายให้แกทุกบาท ทุกสตางค์เท่าที่แกจะเรียกร้อง แกจะกลับไปเป็นสตั้นบ้าบออะไรของแกฉันก็จะไม่ว่า แต่ตอนนี้แกช่วยมาจัดการกับน้องสาวของแกก่อนเถอะ ฉันปวดกบาลกับมันจะตายอยู่แล้วเนี่ย”

    กลิ่นดาวได้ยินดังนั้นก็มีอาการชักสีหน้าพรางเอ่ยถามในเรื่องของน้องสาว “ทำไมเหรอคะพ่อ ดุจเดือนเป็นอะไรไปอีก”

    “เฮ้อ...ฉันเองก็ไม่รู้อยู่ๆ มันก็ลุกขึ้นมาทำร้ายตัวเอง เมื่อคืนนี้ก็พยายามจะกรีดแขนตัวเองอีกแล้ว ฉันล่ะเหนื่อยหน่ายกับเรื่องพวกนี้เต็มทีแล้ว หากตอนนี้แม่แกยังอยู่ล่ะก็คงจะได้จับเข่าคุยกับดุจเดือนมัน ส่วนฉันไปถามอะไรมันก็ไม่ยอมบอกโวยวายไล่ฉันท่าเดียว ขอร้องล่ะยัยดาวกลับบ้านเถอะ ให้ทุกอย่างมันลงตัวกว่านี้ก่อน แกจะไปเรียนสตั้นหรืออะไรของแกฉันก็จะไม่ว่า และจะส่งเสียทุกอย่างเท่าที่แกต้องการหรือแกจะมาจัดตั้งทีมสตั้นที่ไทยฉันก็จะช่วยส่งเสริมแกทุกบาททุกสตางค์ ขออย่างเดียวให้แกช่วยมาจัดการกับน้องสาวของแกก่อนเท่านั้น”

    หลังจากวางสายจากพ่อกลิ่นดาวกลับต้องนึกถอนหายใจ เพราะเธอรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับดุจเดือนผู้เป็นน้องสาว เพราะเมื่อหลายวันก่อนดุจเดือนได้โทรมาปรับทุกข์ถึงแฟนหนุ่มนามว่าระพีที่เพิ่งเข้าพิธีหมั้นหมายไปเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้และอีกเพียงไม่กี่สัปดาห์ต่อจากนี้เขาคนนั้นก็คงจะแต่งงานและทิ้งดุจเดือนไป กลิ่นดาวรู้ว่าน้องสาวรักผู้ชายคนนี้มากแค่ไหนแต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าบอกให้น้องตัดใจจากชายคนนั้นเสีย แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าเธอจะพยายามปลอบโยนน้องสาวด้วยวิธีใด ผลมันก็ปรากฏออกมาแล้วว่าดุจเดือนยังไม่สามารถทำใจยอมรับได้และพยายามหาโอกาสที่จะทำร้ายตัวเองเพื่อเรียกร้องความรักจากชายคนนี้
    
    ปางดินชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดตรงเข้าปรี่ชกน้องชายนามว่าระพีลงไปกองกับพื้น หลังทราบข่าวว่าน้องชายกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ในอีกไม่กี่วันนับจากนี้ แต่เดิมทีปางดินเข้าใจมาโดยตลอดว่าระพีน้องชายของเขามีความจริงใจให้กับดุจเดือนที่คบหากันมาหลายปี แต่แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้เขาได้ประจักษ์แก่ใจแล้วว่าน้องชายตัวดีเป็นได้แค่ผู้ชายที่คอยเกาะผู้หญิงกินเท่านั้น เพราะเมื่อรู้ว่าคู่หมั้นหมายคนใหม่เป็นลูกสาวของอดีตรัฐมนตรีชื่อดัง มันก็ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าน้องชายเป็นคนประเภทไหน

    ปางดินไม่ได้เข้าร่วมในพิธีหมั้นหมายของน้องชายเพราะเขาอยู่ระหว่างเดินทางเพื่อถ่ายภาพให้กับนิตยสารชื่อดังแห่งหนึ่งที่ว่าจ้างเขาไปเก็บภาพยังประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศลาวก็เป็นที่หนึ่งที่ปางดินคุ้นเคยเพราะเทียวไปเทียวมาบ่อยๆ แต่เมื่อดุจเดือนแฟนสาวของน้องชายได้โทรศัพท์มาปรับทุกข์กับเขาถึงพฤติกรรมห่างเหินของระพีและเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด จึงทำให้ปางดินรีบเร่งทำงานและเดินทางกลับเพื่อมาสะสางทุกอย่าง แต่แล้วก็มารู้ว่าทุกอย่างมันสายเกินไปเสียแล้ว

    ระพีพยุงตัวขึ้นจากพื้นใบหน้าแสยะยิ้มหลังจากโดนกำปั้นของพี่ชายเข้าไปชุดใหญ่

    “อะไรกันเนี่ยพี่...เจอหน้าก็ใส่เลยเหรอ ช่างเป็นพี่ที่ดีจริงๆ ผมจะถือว่าหมัดพี่ชุดนี้เป็นคำทักทายก็แล้วกัน”

    “แกไม่ต้องมาปากดีเลยไอ้พี ไหนทีแรกแกบอกว่ารักดุจเดือนนักหนาไง แล้วมาตอนนี้พอแกเจอคนใหม่ก็ทิ้งเธอไป ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ ไม่ต้องพาดุจเดือนมาทำความรู้จักกับฉันยังจะดีเสียกว่า และถ้าฉันรู้สักนิดว่าแกจะทำตัวเหลวแหลกขนาดนี้ล่ะก็ฉันคงไม่สนับสนุนพวกแกทั้งสองคนให้คบหากันตั้งแต่แรกให้เสียผู้ใหญ่แบบนี้หรอก”

    “โธ่...พี่ซีเรียสไปได้ มันก็แค่เรื่องรักๆ เลิกๆ ของหนุ่มสาว คนไม่มีแฟนอย่างพี่จะไปเข้าใจอะไร”

    ปางดินตั้งถ้าจะเหวี่ยงใส่ระพีอีกสักหมัดเพื่อหยุดความปากดีของเจ้าน้องชายตัวแสบ

    “อย่าพี่ผมกลัวแล้ว” ระพีร้องลั่นยกมือป้องเอาไว้ก่อนจะแก้ตัวพัลวัน “แต่กับแฟนใหม่ของผมคนนี้นะพี่ ผมกล้าเอาหัวเป็นประกันได้เลยว่าเธอคือคนที่ผมรอคอยมาตลอดทั้งชีวิต นานะ...พี่ ให้โอกาสผมอีกสักครั้งเถอะ รับรองว่าครั้งนี้ผมจะไม่ทำให้พี่ผิดหวังอีก”

    “เชิญแกเล่นเกมรักบ้าบอของแกไปคนเดียวเถอะ ฉันไม่เอาด้วยหรอก นี่ถ้าพ่อกับแม่ยังอยู่ท่านคงเสียใจถึงความเสเพลของแก” ฝ่ายพี่ชายนึกตัดพ้อเสียเข้ม

    “โธ่...พี่ พูดเป็นคนแก่ไปได้ สมัยนี้มันก็แบบนี้แหละ พี่จะอะไรกันนักหนา”

    สิ้นประโยคนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของปางดินก็ดังขึ้น ซึ่งเขาคิดไว้แต่แรกแล้วว่าผู้ที่โทรหาคงเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากดุจเดือนอดีตว่าที่น้องสะใภ้ที่เขาเคยเห็นดีเห็นงามว่าทั้งสองเหมาะสมกัน

    “รับโทรศัพท์เสียสิ” ปางดินยื่นโทรศัพท์ของตนส่งต่อให้น้องชายตัวดีและรอดูว่าเจ้าน้องชายมากรักมันจะจัดการกับปัญหาทั้งหมดอย่างไร
    ระพีรับโทรศัพท์ที่มือชื่อของดุจเดือนโชว์หลาอยู่ในนั้นมาถือไว้ปล่อยให้มันดังอยู่พักหนึ่ง จ้องมองพี่ชายตรงหน้าอย่างชั่งใจ ก่อนจะกดปิดมือถือทิ้งเสีย

    “หึ...ทำไมล่ะ ไม่กล้ารับสายเธอเหรอ แกรู้จักละอายใจเป็นด้วยเหรอวะ” ปางดินยิ้มเยาะอย่างรู้สึกสะใจอยู่ลึกๆ

    “หากผมยังรับสายเธอก็แปลว่ายังมีเยื้อใยให้ ถ้างั้นก็หมายความว่าทุกอย่างยังไม่จบ สู้ทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้นสำหรับเธอไม่ดีกว่าเหรอ”

    ปางดินยิ้มล้อเลียนกับคำพูดนั้น “แกอย่าทำเป็นพูดดีราวกับพ่อพระไปหน่อยเลย มันก็แค่การตบหัวแล้วลูบหลังเท่านั้น ฉันว่าฉันไปดีกว่าขืนอยู่จ้องหน้าแกนานๆ มันจะพาลคันไม้คันมือเสียเปล่าๆ เดี๋ยวหน้าแกจะบวมจนไม่ได้เป็นเจ้าบ่าวไปเสียก่อน”

    “เดี๋ยวพี่...ตกลงพี่จะไม่มางานแต่งผมเหรอ ผมรับปากกับทางนั้นไว้แล้วนะว่าจะให้พี่เป็นช่างกล้องประจำงานของผม” ระพีตั้งคำถามหน้าตาเหลอหลา

    “แกคิดดีแล้วเหรอ ที่ชวนฉันไปร่วมงานแต่งของแก ไม่กลัวฉันอาละวาดจนงานพังหรือไง”

    “โธ่...ผมเป็นน้องพี่นะ ยังไงพี่ก็คงไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกจริงไหม แถมผมมีค่าเหนื่อยให้พี่ด้วยนะ ไม่ได้ให้พี่ทำฟรีๆ เสียหน่อย”

    ปางดินยิ้มเยาะอีกครั้ง “เก็บเงินพ่อตาแกใส่ปากแกเถอะ...งานแต่งงานของคนระดับนั้น ไม่เหมาะกับฉันหรอก และฉันก็ละอายใจเกินกว่าที่จะทำเฉยเมยเหมือนอย่างแกได้ แค่นี้ฉันก็ไม่รู้จะหลบหน้าคนยังไงแล้ว เมื่อนึกถึงสิ่งที่แกทำเอาไว้กับดุจเดือน”

    ระพีมองแผ่นหลังของพี่ชายที่เดินไกลห่างออกไปก่อนถอนหายใจและส่ายหน้าเบาๆ

    ปางดินรู้สึกหนักใจมาตลอดเวลา หากรู้ว่าเรื่องทั้งหมดจะลงเอยแบบนี้เขาคงไม่ทำความรู้จักกับดุจเดือนหรือสนิทสนมกันตั้งแต่ทีแรก เพราะมันอดให้นึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ไม่ได้ หลายครั้งหลายหนที่ดุจเดือนคอยดูแลเอาใจใส่เขาแทนเจ้าน้องชายตัวดี เธอมักโทรมาสอบถามสาระทุกข์สุขดิบเขาอยู่เสมอราวกับเป็นคนในเครือญาติคนหนึ่ง จนเขาเห็นดุจเดือนเป็นเหมือนน้องสาว ภาพวันเวลาที่ทั้งสามคนเคยเที่ยวหรือทานอาหารร่วมกันและอะไรหลายอย่างมันทำให้รู้สึกใจหายหากคิดย้อนกลับไป ขนาดตัวเขาเองยังรู้สึกแบบนี้แล้วมีเหรอที่ดุจเดือนจะไม่รู้สึกอะไรเลย สิ่งที่ชายหนุ่มทำได้ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือปลอบใจดุจเดือน เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าเจ้าน้องชายตัวดีจะเห็นเธอเป็นอะไร แต่สำหรับเขาแล้วดุจเดือนก็คือน้องสาวคนหนึ่ง และมันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงถึงแม้น้องชายเขาและดุจเดือนจะไม่ได้คบหากันแล้วก็ตาม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่