เรื่อง "เรือนกาหลง" นี่อิงมาจากตำนานของแม่กาหลงใช่ไหมครับ

อ่านเรื่องย่อของละคร เรือนกาหลง มาแล้วรู้สึกว่ามีส่วนใกล้เคียงตำนานของแม่กาหลง ของวัดๆหนึ่งในจังหวัดสิงห์บุรีเลยครับ ที่วิญญาณของแม่กาหลงไม่ยอมไปไหน ยังอยู่ที่เรือน ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปอยู่ จนเจ้าอาวาสของวัดวัดนี้ท่านได้ขอซื้อและรื้อไม้จากเรือนมา โดยได้เทศน์สอนให้ปล่อยวาง และได้ชวนให้มาปฏิบัติกรรมฐานด้วยกันที่วัด ปัจจุบันไม้ของเรือนของแม่กาหลงเป็นโรงครัว และบางส่วนของวัดๆนี้ครับ
(รอผู้รู้มาตอบอีก หากพิมพ์เรื่องส่วนใดผิดพลาดไปขออภัยด้วยนะครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
ค้นมาแล้วครับ เนื่องจากตำนานนี้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ที่เคยมาปฏิบัติธรรม และผู้ศึกษาธรรมะ รวมทั้งศิษย์ของหลวงพ่อท่านนี้ จึงขอเปิดเผยชื่อของบุคคลและสถานที่เลยนะครับ (เรื่องนี้ จขกท. เคยได้ยินครั้งแรกตอนไปปฏิบัติธรรมที่วัดนี้ พระอาจารย์เล่าให้ฟังครับ)
  ที่บ้านบางมอญ,   สิงห์บุรี

                หนุ่มสาวคู่หนึ่งตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก  แล้วสืบสานความสัมพันธ์นั้นไปสู่การร่วมชีวิตคู่เพื่อครองรัก  เชื่อมั่นและมุ่งหวังให้รักนี้เป็นนิรันดร์  ฝ่ายชายเป็นหนุ่มหน้าตาคมสัน  
ฝ่ายหญิงผิวคล้ำขำคม  สวยไม่เป็นรองใคร  ชื่อ “กาหลง” อายุไล่เลี่ยกันประมาณ ๒๐ กว่าปี

                หลังจากแต่งงานกันแล้ว  ผัวหนุ่มเมียสาวก็มาเช่าบ้านหลังหนึ่งอยู่ด้วยกัน  บ้านหลังนั้นค่อนข้างใหญ่โตกว้างขวาง  ปลูกสร้างแบบทรงไทยเป็นเรือนแฝด  เป็นบ้านพักอาศัยของอดีตนายอำเภอ  
ซึ่งเกษียณอายุราชการไปแล้ว  และย้ายไปอยู่ในกรุงเทพมหานครกับลูก ๆ  เมื่อบ้านทิ้งว่าง  จึงให้ผู้อื่นเช่าอาศัย

                เริ่มแรกชีวิตคู่ระหว่างหนุ่มสาว  ประหนึ่งมีแต่ความสุขความรื่นรมย์อบอวลทุกอณูอากาศ  ฝ่ายชายทำงานที่เทศบาลเมือง  ฝ่ายหญิงเป็นแม่บ้านดูแลครัวเรือน  กาลเวลาล่วงไป  
จากวันเป็นเดือน แล้วเลยไปเป็นปี  สัจจะแห่งความรักก็เริ่มประกาศธาตุแท้ของมัน

                ไม่เคยมีความสุขในความรักอันเป็นโลกียวิสัยเป็นนิรันดร์

                ฝ่ายชาย  สามีแม่กาหลง  ก็เริ่มออกลายเจ้าชู้  อาศัยว่ามีรูปร่างหน้าตาคมสัน  เป็นคนรื่นเริง  มีวาจาไพเราะ  หญิงอื่นก็ยอมสนิทเสน่หาด้วย  ความทุกข์ก็พลันบังเกิดแก่แม่กาหลง  เพราะความหึงหวง  จากที่เคยพูดจาอ่อนหวาน  โอนอ่อนยอมความกันง่าย ๆ  ก็กลับกลายเป็นปากเสียง ทะเลาะเบาะแว้งคำต่อคำไม่ยอมใคร

                แม่กาหลงร้อนรุ่มกลุ้มใจหนักขึ้นทุกวัน  ความผูกพันกระสันแน่นระหว่างชีวิตผัวเมียก็เริ่มคลายเกลียว  เพราะไม่มีลูกด้วยกันเป็นโยงใยสายหนึ่ง

                ติด ๆ  กับบ้านของแม่กาหลง คือ บ้านผู้ใหญ่บ้านชื่อ กลีบ  ภรรยาผู้ใหญ่คือ คุณป้ายุพิน  บำเรอจิต  ซึ่งเป็นอุบาสิกาผู้ฝักใฝ่ในธรรม  ประกอบการบุญการกุศลมิได้เว้น  
คุณป้ายุพินก็พอจะรู้อยู่บ้างว่า  แม่กาหลงกับสามีมิได้กลมเกลียวกันเช่นเก่าก่อน  แต่เรื่องผัว ๆ เมีย ๆ  นั้นจะไปยุ่งเกี่ยวก้าวก่ายเกินไปไม่สมควร  กระทำได้เพียงให้ข้อแนะนำเตือนสติ
เวลาแม่กาหลงมาปรึกษาระบายความทุกข์ให้ฟัง

                แม่กาหลงขื่นขมอมทุกข์กับสามีจนย่างเข้าปีที่ ๓  ความรักความหวานที่จืดจางไป  ก็เพราะความประพฤติของสามีเป็นสำคัญ  ประกอบกับแม่กาหลงเอง  เป็นคนอารมณ์แรง  
ความหึงหวงยิ่งทำร้ายจิตใจตัวเองหนักเข้าไปอีก

                วันนั้น......  เป็นวันที่แม่กาหลงจะสิ้นอายุขัย  แม่กาหลงนุ่งผ้าถุงกระโจมอกลงจากเรือนมาทำปลา  คุณป้ายุพินก็เดินไปทักทายที่ข้างรั้ว  เพราะรั้วติดกัน
  สังเกตเห็นผิวพรรณแม่กาหลงหมองคล้ำ  หน้าตาไม่มีริ้วรอยความแจ่มใสเอาเสียเลย  จึงถามว่า

                “กาหลง ทำอะไรจ๊ะ”

                “จะทำปลาจ้ะ วันนี้เป็นอะไรไม่รู้ป้า มันร้อน มันกลุ้ม”

                แล้วแม่กาหลงก็คว้าปลาช่อน ขังไว้ในโอ่งออกมาพาดกับเขียง  ใช้สันมีดทุบหัวปลาดิ้นพราด ๆ ก่อนจะขอดเกล็ด  ปากก็บ่นให้ป้ายุพินได้ยิน

                “หนูเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ มันกลุ้มเหลือเกิน”

                คุณป้ายุพินถามว่ากลุ้มเรื่องอะไร  แม่กาหลงก็ไม่ตอบ  คุณป้ายังพูดเย้าว่า ทำไมไม่นุ่งผ้านุ่งผ่อนให้เรียบร้อยล่ะ  แม่กาหลงก็บอกว่า มันร้อน วันนี้รู้สึกร้อนเหลือเกิน
ไม่รู้จะทำอย่างไรให้หายร้อนหายกลุ้ม

                คุณป้ายุพินเห็นแม่กาหลงมีท่าทางหงุดหงิดไม่สบายใจ  จึงได้เลี่ยงออกมาเสีย  กระทั่งเวลาล่วงไปประมาณบ่าย  ๔  โมงเย็น  คุณป้ายุพินสังเกตเห็นที่บ้านแม่กาหลงมีคนพลุกพล่าน
  พูดคุยกันฟังไม่ได้ศัพท์  จึงเดินไปที่ข้างรั้ว  ถามว่ามีอะไรกันหรือ  คนในบ้านก็บอกว่า

                แม่กาหลงตายแล้ว  เป็นอะไรตายไม่รู้  กาฬดำขึ้นหมดทั้งตัวเลย....

                คุณป้ายุพินพอรู้ว่าแม่กาหลงจากไปไม่มีวันกลับก็ใจหาย หวนนึกย้อนตอนพูดคุยกันที่แม่กาหลงบอกว่า ร้อนไปทั้งตัว  ไม่รู้ว่าเป็นอะไร  ตอนนั้นคงกำลังเป็นไข้กาฬอยู่แน่ ๆ  
แต่แม่กาหลงไม่รู้ตัว  และไม่บอกให้รู้ จึงช่วยเหลืออะไรไม่ทัน

                ศพแม่กาหลงตั้งสวดครบ ๔  วัน  ก็นำไปเผาตามประเพณี  ระหว่างที่รอคอยให้ครบ ๗ วัน เพื่อทำบุญอีกครั้ง  สามีนอนคนเดียวไม่ได้ ต้องให้เพื่อน ๆ มานอนเป็นเพื่อน  
เพราะมีปรากฎการณ์หลายอย่างที่ทำให้อกสั่นขวัญกระเจิง  เมื่อทำบุญ ๗ วัน แล้ว  สามีก็รีบขนของโยกย้ายไปอยู่บ้านแม่ของตนตามเดิม  ปล่อยบ้านทิ้งร้างตั้งแต่นั้น

                และตั้งแต่นั้นอีกเช่นกัน  บ้านเช่าซึ่งเคยเป็นโรงรักเรือนหอของแม่กาหลง  ก็มีปรากฎการณ์ซึ่งแสดงว่าวิญญาณของแม่กาหลงยังสิงสู่ไม่ยอมไปไหน  ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาเช่าอยู่ต่อ  
หรือ..... แม้แต่ย่างกรายผ่านหน้าบ้านกลางวันแสก ๆ  ก็ยังไม่ค่อยกล้าเสียด้วยซ้ำ

ขณะ นั้น  พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ  ฐิตธัมโม  เป็นเจ้าอาวาสวัดอัมพวันแล้ว  ระยะแรก ๆ ที่ท่านมาปกครองวัด  มีพระภิกษุสามเณรจำพรรษาอย่างมากไม่เกิน ๑๕ รูป  พื้นที่วัดอัมพวัน  
มีประชาชนอยู่อาศัยไม่มากนัก  ชาวบ้านมีฐานะอัตคัดขาดแคลน ประกอบอาชีพทำสวน ทำนา เป็นพื้น  มีรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ พอประทังชีพไปวัน ๆ

                เวลานั้นวัดอัมพวันไปมายากลำบาก  ด้านหลังวัด (ปัจจุบันเป็นหน้าวัด)  เป็นป่าดงรกเรื้อเต็มไปด้วยป่าไผ่  วัชพืช มีต้นตาลระเกะระกะนับร้อยต้น  ทางถนนต่อเชื่อมจากวัดกับ
ทางหลวงสายเอเซียยังไม่มี  และคลองชลประทานก็ยังมาไม่ถึง

                การทำนาอาศัยน้ำหลากไหลเข้าทุ่ง  คือ เดือน ๑๑  น้ำนอง  เดือน ๑๒  น้ำทรง  เดือนอ้ายเดือนยี่น้ำลง  ชาวนาก็ทำนาข้าวหนัก  ข้าวกลาง   ตามแบบอย่างโบราณกาลสืบเนื่องกันมา         ทางสัญจรสะดวกที่สุดเวลาไปวัด  อัมพวันขณะนั้น  อาศัยทางน้ำเป็นสำคัญ  เพราะวัดอัมพวันเป็นวัดที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา  เมื่อหลวงพ่อจรัญ เป็นสมภารเจ้าวัด  วัดอัมพวันก็เริ่มเจริญขึ้นเป็นลำดับ  มีกุลบุตรมาอุปสมบทบรรพชาเป็นพระภิกษุสามเณรเพิ่มขึ้นพรรษาละ ๔๐ – ๕๐ รูป ญาติโยมลูกศิษย์เก่า ๆ ตั้งแต่ท่านสอนวิปัสสนากรรมฐานที่วัดพรหมบุรี ต่างพากันตามมานมัสการหลวงพ่อ เพิ่มจำนวนมากขึ้น เรื่อย ๆ เวลามีญาติโยมศรัทธามาวัดจำนวนมาก ๆ หลวงพ่อก็จำเป็นต้องไปขอบิณฑบาตอาหารหวานคาวบ้านเหนือบ้านใต้มาเลี้ยงดู เพราะวัดอยู่ในพื้นที่ทุรกันดารเหลือเกิน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่