ความผิดพลาดของการไปทำงานที่อเมริกา (อยากให้เป็นกรณีศึกษาค่ะ)

เริ่มจากมีญาติคนหนึ่ง (ซึ่งสนิทกับคุณแม่มาก) โทรมาหาแล้วชวนเจ้าของกระทู้ไปอยู่อเมริกา ซึ่งแม่เราก็ดีใจมากที่เราจะได้ไปอเมริกาแล้ว เราก็แพ็คของ เก็บกระเป๋าไปเรียบร้อย ปรากฎว่า สิ่งที่เราพลาดไปก็คือ การที่เราเอาหนังสือแพ็คไปเต็มกระเป๋า และเอาเสื้อผ้าไปเป็นโหล (กรณีนี้ถ้าใครที่ไปอเมริกา ไม่แนะนำให้ขนเสื้อผ้าไปเยอะๆ เพราะไปซื้อที่โน่นน่าจะดีกว่า)

ปรากฎว่า ตอนที่เราไป มีคุณปู่คนหนึ่งและเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ไปอเมริกาด้วย

เราทั้งสามคนไปสายการบิน delta (ซึ่งสายการบินนี้ คนที่ไปอเมริกานิยมไปนั่งกัน ซึ่งถ้าคราวหลังเรามีโอกาสจะไม่นั่งสายการบินนี้เลย เพราะเราไม่ชอบการบริการของสายการบินนี้ซักเท่าไร)

พอเรานั่งไปถึงกลางทางปุ๊ป เราเปลี่ยนเครื่องไปยัง Boston  

ระหว่างรอเครื่องไปบอสตันนั้น จำได้ว่ามีเจ้าหน้าที่มารื้อกระเป๋าเราทั้งหมด แล้วโยนหมูทิ้งไปเลย T_T เพราะที่อเมริกาไม่อนุญาติให้เอาหมูเข้าค่ะ (แม่เราตั้งใจที่จะเอาหมูไปให้ญาติเรา เลยได้แต่หมูหยองไปให้แทน)

พอไปถึงปุ๊ป ปรากฎว่าเราได้ไปพักกับญาติเราคนหนึ่งใน new hamcher (ซึ่งเป็นรัฐเดียวในอเมริกาที่ไม่เสียภาษี)
ญาติเราคนนี้มีร้านอาหารร้านหนึ่งใน new hamcher แล้วเราได้ไปเป็นเด็กเสริฟ์ที่ัน้น พร้อมกับเด็กวัยรุ่นคนนั้นที่ไปด้วย

เราได้นอนกับญาติที่ newhamcher และ ทำงานร้านอาหารไทยกับญาติค่ะ
นิสัยของญาติเรา เป็นคนเข้าขั้นขี้เหนียวก็ว่าได้ เพราะกว่าจะซื้ออะไรตัองคิดแล้วคิดอีก แต่ปัญหานี้แหละเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเราต่อมาค่ะ

ระหว่างที่เราอยู่ที่นี้ การพูดคุยก็เน้นไปเชิงเรื่องแบบ มีแฟนหรือยัง อยากมีแฟนไหม เดี๋ยวแนะนำให้ ประมาณนี้แหละ


และสิ่งที่สะเทือนใจเรามากๆเลยก็คือว่า เราได้รับเชิญไปงานแต่งงาน งานหนึ่งซึ่งทั้งสองคนนี้ไม่ได้รักกันเลย แต่ที่จัดงานแต่งงานขึ้นมา เพราะว่า ฝ่ายเจ้าสาวอยู่ที่อเมริกามาสิบปีแล้ว อยู่เป็นคนนอกกฎหมาย เค้าอยากกลับบ้านมากเลยหาคนมาแต่งงานด้วยค่ะ พอแต่งเสร็จก็ได้กลับไปเยี่ยมบ้านที่ประเทศไทยสมใจค่ะ แต่สิ่งที่สะเทือนใจเรามากๆก็คือ ตอนงานแต่ง ก็มีแต่คนนินทาเจ้าภาพตลอด รวมถึงญาติเราด้วย เรารู้สึกว่าเราอยากจะฟาดปากของคนกลุ่มนี้มากๆ (โดยส่วนตัว เจ้าสาวนิสัยดีมากๆค่ะ)

พอเรามางานแต่งคราวนี้ เราก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่า เราคงไม่แต่งงานกับใครเพราะวีซ่าเด็ดขาดเลยค่ะ

พอเราอยู่ไปเรื่อยๆ ญาติๆก็พาเราไปเที่ยวเรื่อยๆ ช็อปปิ้งเรื่อยๆ (ซึ่งเราชอบมาก) แต่สิ่งที่เราไม่ชอบเลยก็คือ เวลาจะซื้ออะไรเราจะไม่ได้ซื้อเลยทันที ต้องผ่านการสกรีนจากญาติอีกคนหนึ่งก่อนทุกครั้ง (ทำให้เราไม่สามารถซื้อของได้ในทันทีและเราก็โมโหมากๆด้วยค่ะ) ซึ่งบางครั้ง ทำให้เราพลาดที่จะซื้อของดีๆทุกครั้งค่ะ

ท้ายที่สุดแล้ว เราก็ถูกบีบออกจากบ้านญาติที่ new hamshire เพราะลูกสาวไม่ชอบหน้าค่ะ


__________________________________________________________________________



พอเราไปอยู่กับญาติคนนี้ที่แมซซาซูเซสแล้ว ยิ่งหนักเลย เราโดนญาติคนนี้ควบคุมตลอดเวลาค่ะ แล้วเราก็วีนไปหลายรอบแล้ว เพราะเค้าค่อนข้างรู้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเรามากๆ แม่กับญาติคนนี้สนิทกันมากๆ เราเลยได้รู้อะไรที่ไม่เคยรู้มาก่อนค่ะ และ เรารู้อีกอย่างหนึ่งด้วยว่าญาติคนนี้ค่อนข้างจะเครียดง่ายมากๆ และชอบมาเหวี่ยงใส่เราตลอดเวลาค่ะ

เราอยากไปเที่ยวใน boston มากๆ ยังไม่ได้เที่ยวเลยค่ะ (เพราะญาติคนนี้ไม่รู้ทิศทางค่ะ เวงกำมากๆ)
ตอนหลังเราโดนญาติเรากล่อมให้ทำงานร้านอาหารให้อีกแล้ว (ซึ่งตอนหลังเราบ่ายเบี่ยงไม่ยอมทำค่ะ ) ซึ่งเราก็พอจะรู้แล้วว่า ญาติเราอยากให้เรามาอเมริกาเพราะอยากได้แรงงานฟรีๆ ค่ะ เพราะการจ้างแรงงานคนหนึ่งแพงมากๆค่ะ


อยู่ที่อเมริกา ตอนนั้น ที่กรุงเทพน้ำท่วมพอดี ทำให้กลับไม่ได้ ต้องเลื่อนไฟต์ ออกไปอีกเดือนหนึ่ง ทำให้เราหดหู่มากไปอีก เพราะว่าวันๆก็ดูแต่ข่าวน้ำท่วมค่ะ

ตอนหลัง เราเลยได้ไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ที่ ฟอริด้า 9 วันค่ะ (ซึ่ง 9 วันนี้มีความสุขมากๆ )


ซึ่งพอกลับมา ก็ถูกขังไว้แต่ในบ้านค่ะ เราไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยค่ะ (เพราะญาติแกล้งเราค่ะ) ขนาดๆมหาลัยในไอวีลีกอยู่แถวๆบ้านเรา ยังไมไ่ด้ไปเที่ยวเลย ซึ่งเราเสียดายจนถึงทุกวันนี้ค่ะ ตอนที่จะกลับบ้าน ญาติเราไม่อนุญาติให้ขนของกลับทางเรือค่ะ (ซึ่งจริงๆขนได้ แต่ญาติอยากจะแกล้งเราเฉยๆ) และญาติบอกว่าทุกอย่างให้ทิ้งไว้ที่บ้านหลังนี้ด้วยค่ะ (ตอนหลังน่าจะเอาของไปขายแล้ว ซึ่งเศร้ามากๆ เพราะทุกอย่างที่เราซื้อเราก็รักของเรา แต่ญาติเราคงเห็นเป็นแค่ขยะชิ้นหนึ่งแค่นั้นเอง เราเคยบอกแม่ให้ถามญาติให้หน่อยว่าจะขนของให้เราได้ไหม ปรากฎว่าญาติคนนี้บอกว่า ของพวกนั้นหายไปหมดแล้วค่ะ)

ปล ตอนที่ไปฟลอริด้าเพิ่งรู้ว่า ไม่ให้ถ่ายรูปเด็กตัวเล็กๆคะ่ เพราะที่นี้มีการลักพาตัวเด็กบ่อยมากๆ และการถ่ายรูปเด็กที่พ่อแม่เด็กไม่อนุญาตนั้นมีสิทธิติดคุกค่ะ
รวมถึงการทักทายเด็กและแตะตัวเด็กด้วยค่ะ (อันนี้อาจจะแค่พ่อแม่มองแบบไม่พอใจอะค่ะ)

โชคดีที่ว่าอยู่ที่นี้ไม่เคยมีคนเหยียดผิวเราเลยค่ะ

ซึ่งพอตอนกลับบ้าน ญาติเราก็ด่าเราว่า "ให้ไปปรับปรุงนิสัยซะใหม่ด้วย" แบบว่า ด่าเราต่อหน้าญาติทุกคนเลย เราก็แบบ อยากจะด่ากลับเหมือนกัน แต่ด้วยความที่เค้าเป็นผู้ใหญ่กว่า ด่ากลับแล้วจะดูไม่ดี เราเลยเฉยๆไว้จะดีกว่า

สุดท้ายแล้ว อยากจะบอกว่า สิ่งที่เราเล่าไปทั้งหมดคือเรื่องจริง และอยากจะบอกว่า ใครที่อยากจะหนีไปอยู่ที่อเมริกาแล้วละก็ คิดซะใหม่เถอะ
"เมืองไทยเราน่าอยู่กว่าเยอะค่ะ"
คนที่อเมริกา ไม่ค่อยเฟรนลี่เท่าไร และ ของทุกอย่างแพงมากและอยู่ยากมากๆด้วย ถ้าไม่มีใคร support ให้ค่ะ

สุดท้ายถ้าจะตอบ อย่ามีดราม่านะค่ะ อันนี้เราแค่เล่าให้ฟังเฉยๆค่ะ  ที่เราตัดสินใจที่จะเล่าเพราะเราอยากให้ทุกๆคนได้รับรู้อีกด้านหนึ่งของอเมริกาค่ะ และเราตัดสินใจที่จะลืมอดีตทั้งหมดด้วยค่ะ เพราะว่าเราแค้นญาติเรามา 2 ปีกว่าๆแล้วค่ะ กะจะลืมอดีตและให้อภัยหมดแล้ว จะได้เอาสมองไปคิดเรื่องใหม่ๆด้วยค่ะ

_______________________________________________________________
สรุปแล้ว การที่ญาติเราชวนเราไปทำงานที่อเมริกาเพราะว่า เค้าหวังที่จะใช้เราฟรีๆ โดยที่ไม่จ่ายตัง เราเล่าเรื่องยาวๆเพือให้ได้อรรสที่มันเท่านั้นเองค่ะ

สรุปเรื่องสำหรับคนที่อ่านไม่รู้เรื่อง
ตอนแรกเราไปอยู่กับญาติกับ new hamshire เพื่อ ทำร้านอาหาร แต่เรามีเรื่องกับลูกสาวเค้า เลยถูกไล่ออกจากบ้าน
ตอนหลังเราโดนย้ายไปอยู่กับญาติอีกคนที่ แมซซาซูเซส แล้วโดนญาติคนนี้แกล้ง จนทำให้อยู่แบบไม่มีความสุข จนกระทั่งกลับบ้านที่ไทยค่ะ

90 เปอร์ที่เล่า อยากจะบอกว่า เป็นความผิดพลาดที่ไปอยู่กับคนผิดคนมากกว่าค่ะ
10 เปอร์ ก็ อยากจะบอกว่า ใครที่จะมาหนีไปอเมริกา มันไม่ใช่ดินแดนสวยหรูหรอก แล้วเราเลยอยากแชร์ข้อมูลที่ไปอยู่อเมริกาค่ะ

เราได้ตัดบางส่วนออก หวังว่าจะอ่านรู้เรื่องขึ้นนะค่ะ

เราอยู่อเมริกาแค่ 3 เดือน ไม่ค่อยรู้อะไรมาก ใครรู้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมก็ช่วยบอกด้วยละกันนะค่ะ ขอโทษที่บางทีข้อมูลผิดพลาดค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
อ่านไปอ่านมา มันดูเหมือนไม่ใช่ความผิดพลาดของการไปทำงานที่อเมริกา แต่มันคือ ความผิดพลาดที่ไปทำงานและอยู่อาศัยกับญาติของจขกท ที่อเมริกามากกว่านะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่