2.วันแรก
อาหารมื้อค่ำก็เป็นปกติ จัดแจงเก็บจานชามล้างจนเกลี้ยง เข้านอนตามเวลาอันสมควร ห้องส่วนตัวที่เป็นส่วนตัวจริงๆ หญิงสาวกลิ้งอยู่บนเตียงกว้างจะนอนอย่างสบาย ดีดตัวขึ้นมาเหมือนหลงลืมอะไรสักอย่าง ชุดสวยที่จะใส่ไปทำงานอุตส่าห์ไปเดินเลือกซื้อบนห้าง ผลาญเงินเก็บและบวกเงินของแม่อีกไปกว่าครึ่ง
“วันมะรืนใส่ชุดไหนดีนะ”
มือจับไม้แขวนเสื้อเบี่ยงไปมาเพื่อตรวจสอบความถูกใจ สีสันฉูดฉาดคงไม่เหมาะที่จะเจิดจ้าในวันแรก เลือกเอาเรียบๆ ดูดีมีสไตล์ดีกว่า ชุดที่เลือกคือเสื้อสูทสั้นแค่เอวสีน้ำตาลเข้ม เสื้อข้างในเป็นลายดาวสีน้ำตาลเข้มเช่นกัน ซึ่งไม่แตกต่างกับกระโปรงสั้นเต่อเหนือเข่า เรียบร้อยสุดในตู้เสื้อผ้าแล้วล่ะ เอามาทาบตัวหมุนตัวหน้ากระจกบานใหญ่
“เอ๊ะ!! แล้วผมทรงไหนดีนะ”
หมุนซ้ายดู ก่อนจะลองรวบผม ยกหางม้า ถักเปีย ติดโบว์สารพัดวิธี สุดท้ายก็แค่ปล่อยรวบครึ่งหัว ดูเข้าท่าที่สุดเหมาะกับชุดที่จะใส่ไป
กิจวัตรปกติก่อนไปทำงานในวันรุ่งขึ้น หลังจากไปส่งแม่ที่ขนส่ง เธอก็กลับมารดน้ำต้นไม้จนชุ่มฉ่ำ เทอาหารเม็ดให้กับสุนัขที่เห็นเธอเป็นราวตู้กับข้าว กระดิกหางร้องงี้ดๆ เข้ามาพะเน้าพะนอวิ่งล้อมหน้าล้อมหลัง กระโดดสองขา มีหรือที่เธอจะไม่รีบกุลีกุจอจัดแจงให้
“แหม น่ารักเชียวนะคุ้กกี้”
ชื่อของน้องหมาที่ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นแม่หมาอีกไม่ถึงเดือน ท้องโตอุ้ยอ้ายแต่ก็ยังแสดงความรักต่อเจ้าของได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย บุษบาก้มลงนั่ง เจ้าคุ้กกี้นอนแผ่ มือเล็กลูบท้องของมันเบาๆ ทักทายกับเจ้าลูกหมาที่อยู่ในท้อง
“แกคงเหนื่อยมากสินะ ดูสิท้องโตเชียว”
หลังจากจัดการเรียบร้อย บุษบาด้วยความเคยชินตลอดอาทิตย์ นั่นคือเวลาพักผ่อนของเธอ ห้องนอนอุ่นๆ เป็นรังให้พักผ่อนหลับนอน คล้อยบ่ายเมื่อท้องหิว บุษบาจึงตื่นขึ้นมาอาบน้ำ เข้าครัวแล้วออกไปเดินเล่นที่ห้างเพื่อรอเวลาแม่กลับมา
ร้านโดนัทเป็นที่ประจำของเธอตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตี เป็นมุมเงียบๆ ที่เลือกเอาไว้พักผ่อนหย่อนใจ หยิบหนังสือเล่มเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าสะพาย พลิกไปที่หน้าสุดท้ายของการอ่านค้างไว้คั่นด้วยกระดาษสีสวยที่ทำเอง วาดลงกระดาษแข็งรูปแบบตามใจและลงสี เท่านี้ก็มีที่คั่นที่ทำเองกับมือสวยๆ แล้ว
เสียงโทรศัพท์ดังเรียกร้องความสนใจ กดรับปลายสายช่างเจรจาขอทราบสถานที่สิงสถิตของเธอ ไม่นานเพื่อนสาวก็ปรี่เข้ามานั่งตรงข้าม
“แหม หล่อนมานั่งลั้นล้าไม่ชวนกันเลยนะ ไงวันนี้...ยังไม่ทำงานอีกเหรอ” กัณฑิมาเอ่ยถามเพื่อนสาวที่นั่งเขี่ยหลอดในแก้วน้ำไปมา ยิ้มปลายตากลั้วหัวเราะเมื่อเพื่อนถาม
กัณฑิมา เป็นเพื่อนที่เคยเรียนปริญญาตรีมาด้วยกัน แต่ในตอนแรกบุษบาไม่ถูกชะตาสักเท่าไร จึงไม่ค่อยสนิทสนมด้วย แต่พอมาในปีหลังๆ กัณฑิมาไม่มีเพื่อนคุย อาจเป็นเพราะนิสัยบางอย่างที่เป็นช่างออดอ้อน เลยทำให้เพื่อนต่างเอือมระอาหนีหน้าไปทีละคนสองคน จนบุษบาเองก็คิดว่าเพื่อนคนนี้คงไม่มีอะไรเลวร้าย นิสัยผู้หญิงๆ คงไม่เท่าไร จึงยินดีต้อนรับหล่อนเข้ากลุ่มง่ายๆ จนทุกวันนี้กลายเป็นเพื่อนที่สนิทมากที่สุด สนิทจนทุกอย่างในชีวิตก็ไม่เคยพลาด
“เออๆ ฉันขอโทษแก พอดีอยากได้หนังสืออ่านเล่นสักเล่มก็เลยออกมาเดินดูนะ”
“หล่อน หนังสือหล่อนมิเต็มตู้ไปแล้วเหรอ อาทิตย์หนึ่งซื้อมันแต่หนังสือนี่ล่ะ” กัณฑิมาแอบค้อนให้เพื่อน ก่อนจะลุกไปซื้อน้ำหวานกับโดนัทสองชิ้น จัดการอย่างเอร็ดอร่อย จนบุษบาหัวเราะ
“นี่นังปิ๋ม ไปตามอดตายอยากที่ไหนมาย่ะ ดูดิ กินใหญ่เลย”
“หิวข้าวนะสิ อ้าว!! แล้วนี่ล่ะ กินไหม” เพื่อนสาวชี้มายังโดนัทในจานของบุษบาที่เหลืออยู่อีกชิ้นหนึ่ง
“กินสิย่ะ ไม่ต้องเลยแก ไม่อิ่มก็ไปโน้น ไปซื้อใหม่เลย” คนแกล้งยกมือป้องทำท่าขู่คำรามหวงก้างเพื่อนสาวที่ท่าทางรนรานด้วยการไม่อิ่มท้อง
“แกน่าจะนั่งอยู่ในร้านขายข้าวนะเนี้ย จะได้ซัดให้พุงกางไปข้างหนึ่ง”
“เอางี้ ฉันจะนั่งรอแกอยู่เนี้ย แล้วแกก็พาพุงหลามๆ ของแกไปจัดการข้าวสักจานโตๆ ที่ฟู้ดแลนด์โน้นไป”
“ไม่เอาหรอกแก ไปนั่งกินคนเดียวมันแปลกๆ”
“แปลก แปลกตรงไหน”
“อ้าว!! ก็ผู้หญิงหน้าตาดี...ไม่มีแฟน ไปนั่งกินข้าวคนเดียวที่ฟู้ดแลนด์ แกลองคิดดูนะ ผู้ชายที่ร่ายล้อมต้องมองตาเป็นมัน หวังเคลมใจฉัน คว้าเอาฉันไปเป็นแฟนแล้ว แกต้องอยู่คนเดียว ไม่เหงาหรือไง” กัณฑิมาร่ายยาวเอ่ยชมตัวเองอยู่นาน เสียงหัวเราะที่ดังเป็นระยะๆ ไม่ได้ทำให้หล่อนรู้สึกแย่กับการที่ต้องชมตัวเองต่อหน้าเพื่อน
“ตกลงแกจะไปกินไหมข้าว”
กัณฑิมาส่ายหน้า ก่อนจะคว้าโดนัทที่เหลือในจานของบุษบามากัดคำเบ่อเริ่ม หญิงสาวเบ้หน้าเมื่อเห็นเพื่อนสาวออกอาการน่ากลัว
“แล้วนี้แกจะไปไหน ไปรับแม่เหรอ”
“อืม”
“เฮ้ย! แล้วเรื่องงานแกยังไม่เล่าให้ฉันฟังเลยนะ”
“อ๋อ พรุ่งนี้ก็ไปทำงานแล้ว”
“วันพฤหัสเนี้ยนะ” กัณฑิมาเสียงแหลมใส่ บุษบาไม่ตอบก่อนจะก้มลงดูดน้ำในแก้ว เมื่อนึกถึงหน้าใครบางคนที่ก่อกวนอารมณ์เมื่อวาน
“เออ เมื่อวานฉันมีเรื่องล่ะแก”
“เล่ามาๆ”
“ก็ตอนที่กลับมาจากสัมภาษณ์นะสิแก เรารึอยากกินผลไม้ แวะตลาดบิ๊กวัน ดันมีรถกระบะยกสูงถอยปรูดออกมา มันไม่มองว่ามีรถของฉันเลยนะแก หวิดไปนิดเดียว”
“แล้วเป็นอะไรไหม”
“ไม่เป็น แต่ฉันเห็นไอ้ผู้ชายคนนั้นตอนบ่ายๆ หลังจากที่ฉันแวะห้าง ฉันก็เลย...”
“ปรี๊ดเข้าไปใส่ล่ะสิ”
“เออ ตามนั้นล่ะ แต่ปากของไอ้บ้านั่นร้ายใช่ย่อย ฉันเกือบแพ้ ก็เลยจัดหนักไปที่...” บุษบากระซิบกระซาบ
กัณฑิมาได้ยินก็ถลึงตาร้องกรี๊ดเบาๆ เพราะกลัวว่าคนอื่นที่นั่งอยู่ในร้านจะได้ยิน แล้วรอฟังเพื่อนอย่างตั้งใจ
“ตาบ้านั่นก็ลงไปกองอยู่กับพื้น แต่พอหายเจ็บก็ลุกขึ้นมา เหมือนต้องการจะเอาเรื่องต่อ....”
“แล้วไง”
“ผิดคาดน่ะสิแก”
“ยังไง อะไรที่แกคิดว่า ‘ผิดคาด’ เล่ามาเลยยังเพิ่มความอยากรู้ให้กับเพื่อนอย่างนี้ รู้ไหมว่ามันทรมาน” กัณฑิมาทำหน้าราวกับโลกกำลังจะแตกวันนี้ซะงั้น หมดความสวยหวานไปด้วยการขมวดคิ้วแน่นสงสัยเคลือบแคลงใจในสิ่งที่เพื่อนเก็บเอาไว้
2.วันแรก (บุษบาหลงไฟ)
อาหารมื้อค่ำก็เป็นปกติ จัดแจงเก็บจานชามล้างจนเกลี้ยง เข้านอนตามเวลาอันสมควร ห้องส่วนตัวที่เป็นส่วนตัวจริงๆ หญิงสาวกลิ้งอยู่บนเตียงกว้างจะนอนอย่างสบาย ดีดตัวขึ้นมาเหมือนหลงลืมอะไรสักอย่าง ชุดสวยที่จะใส่ไปทำงานอุตส่าห์ไปเดินเลือกซื้อบนห้าง ผลาญเงินเก็บและบวกเงินของแม่อีกไปกว่าครึ่ง
“วันมะรืนใส่ชุดไหนดีนะ”
มือจับไม้แขวนเสื้อเบี่ยงไปมาเพื่อตรวจสอบความถูกใจ สีสันฉูดฉาดคงไม่เหมาะที่จะเจิดจ้าในวันแรก เลือกเอาเรียบๆ ดูดีมีสไตล์ดีกว่า ชุดที่เลือกคือเสื้อสูทสั้นแค่เอวสีน้ำตาลเข้ม เสื้อข้างในเป็นลายดาวสีน้ำตาลเข้มเช่นกัน ซึ่งไม่แตกต่างกับกระโปรงสั้นเต่อเหนือเข่า เรียบร้อยสุดในตู้เสื้อผ้าแล้วล่ะ เอามาทาบตัวหมุนตัวหน้ากระจกบานใหญ่
“เอ๊ะ!! แล้วผมทรงไหนดีนะ”
หมุนซ้ายดู ก่อนจะลองรวบผม ยกหางม้า ถักเปีย ติดโบว์สารพัดวิธี สุดท้ายก็แค่ปล่อยรวบครึ่งหัว ดูเข้าท่าที่สุดเหมาะกับชุดที่จะใส่ไป
กิจวัตรปกติก่อนไปทำงานในวันรุ่งขึ้น หลังจากไปส่งแม่ที่ขนส่ง เธอก็กลับมารดน้ำต้นไม้จนชุ่มฉ่ำ เทอาหารเม็ดให้กับสุนัขที่เห็นเธอเป็นราวตู้กับข้าว กระดิกหางร้องงี้ดๆ เข้ามาพะเน้าพะนอวิ่งล้อมหน้าล้อมหลัง กระโดดสองขา มีหรือที่เธอจะไม่รีบกุลีกุจอจัดแจงให้
“แหม น่ารักเชียวนะคุ้กกี้”
ชื่อของน้องหมาที่ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นแม่หมาอีกไม่ถึงเดือน ท้องโตอุ้ยอ้ายแต่ก็ยังแสดงความรักต่อเจ้าของได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย บุษบาก้มลงนั่ง เจ้าคุ้กกี้นอนแผ่ มือเล็กลูบท้องของมันเบาๆ ทักทายกับเจ้าลูกหมาที่อยู่ในท้อง
“แกคงเหนื่อยมากสินะ ดูสิท้องโตเชียว”
หลังจากจัดการเรียบร้อย บุษบาด้วยความเคยชินตลอดอาทิตย์ นั่นคือเวลาพักผ่อนของเธอ ห้องนอนอุ่นๆ เป็นรังให้พักผ่อนหลับนอน คล้อยบ่ายเมื่อท้องหิว บุษบาจึงตื่นขึ้นมาอาบน้ำ เข้าครัวแล้วออกไปเดินเล่นที่ห้างเพื่อรอเวลาแม่กลับมา
ร้านโดนัทเป็นที่ประจำของเธอตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตี เป็นมุมเงียบๆ ที่เลือกเอาไว้พักผ่อนหย่อนใจ หยิบหนังสือเล่มเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าสะพาย พลิกไปที่หน้าสุดท้ายของการอ่านค้างไว้คั่นด้วยกระดาษสีสวยที่ทำเอง วาดลงกระดาษแข็งรูปแบบตามใจและลงสี เท่านี้ก็มีที่คั่นที่ทำเองกับมือสวยๆ แล้ว
เสียงโทรศัพท์ดังเรียกร้องความสนใจ กดรับปลายสายช่างเจรจาขอทราบสถานที่สิงสถิตของเธอ ไม่นานเพื่อนสาวก็ปรี่เข้ามานั่งตรงข้าม
“แหม หล่อนมานั่งลั้นล้าไม่ชวนกันเลยนะ ไงวันนี้...ยังไม่ทำงานอีกเหรอ” กัณฑิมาเอ่ยถามเพื่อนสาวที่นั่งเขี่ยหลอดในแก้วน้ำไปมา ยิ้มปลายตากลั้วหัวเราะเมื่อเพื่อนถาม
กัณฑิมา เป็นเพื่อนที่เคยเรียนปริญญาตรีมาด้วยกัน แต่ในตอนแรกบุษบาไม่ถูกชะตาสักเท่าไร จึงไม่ค่อยสนิทสนมด้วย แต่พอมาในปีหลังๆ กัณฑิมาไม่มีเพื่อนคุย อาจเป็นเพราะนิสัยบางอย่างที่เป็นช่างออดอ้อน เลยทำให้เพื่อนต่างเอือมระอาหนีหน้าไปทีละคนสองคน จนบุษบาเองก็คิดว่าเพื่อนคนนี้คงไม่มีอะไรเลวร้าย นิสัยผู้หญิงๆ คงไม่เท่าไร จึงยินดีต้อนรับหล่อนเข้ากลุ่มง่ายๆ จนทุกวันนี้กลายเป็นเพื่อนที่สนิทมากที่สุด สนิทจนทุกอย่างในชีวิตก็ไม่เคยพลาด
“เออๆ ฉันขอโทษแก พอดีอยากได้หนังสืออ่านเล่นสักเล่มก็เลยออกมาเดินดูนะ”
“หล่อน หนังสือหล่อนมิเต็มตู้ไปแล้วเหรอ อาทิตย์หนึ่งซื้อมันแต่หนังสือนี่ล่ะ” กัณฑิมาแอบค้อนให้เพื่อน ก่อนจะลุกไปซื้อน้ำหวานกับโดนัทสองชิ้น จัดการอย่างเอร็ดอร่อย จนบุษบาหัวเราะ
“นี่นังปิ๋ม ไปตามอดตายอยากที่ไหนมาย่ะ ดูดิ กินใหญ่เลย”
“หิวข้าวนะสิ อ้าว!! แล้วนี่ล่ะ กินไหม” เพื่อนสาวชี้มายังโดนัทในจานของบุษบาที่เหลืออยู่อีกชิ้นหนึ่ง
“กินสิย่ะ ไม่ต้องเลยแก ไม่อิ่มก็ไปโน้น ไปซื้อใหม่เลย” คนแกล้งยกมือป้องทำท่าขู่คำรามหวงก้างเพื่อนสาวที่ท่าทางรนรานด้วยการไม่อิ่มท้อง
“แกน่าจะนั่งอยู่ในร้านขายข้าวนะเนี้ย จะได้ซัดให้พุงกางไปข้างหนึ่ง”
“เอางี้ ฉันจะนั่งรอแกอยู่เนี้ย แล้วแกก็พาพุงหลามๆ ของแกไปจัดการข้าวสักจานโตๆ ที่ฟู้ดแลนด์โน้นไป”
“ไม่เอาหรอกแก ไปนั่งกินคนเดียวมันแปลกๆ”
“แปลก แปลกตรงไหน”
“อ้าว!! ก็ผู้หญิงหน้าตาดี...ไม่มีแฟน ไปนั่งกินข้าวคนเดียวที่ฟู้ดแลนด์ แกลองคิดดูนะ ผู้ชายที่ร่ายล้อมต้องมองตาเป็นมัน หวังเคลมใจฉัน คว้าเอาฉันไปเป็นแฟนแล้ว แกต้องอยู่คนเดียว ไม่เหงาหรือไง” กัณฑิมาร่ายยาวเอ่ยชมตัวเองอยู่นาน เสียงหัวเราะที่ดังเป็นระยะๆ ไม่ได้ทำให้หล่อนรู้สึกแย่กับการที่ต้องชมตัวเองต่อหน้าเพื่อน
“ตกลงแกจะไปกินไหมข้าว”
กัณฑิมาส่ายหน้า ก่อนจะคว้าโดนัทที่เหลือในจานของบุษบามากัดคำเบ่อเริ่ม หญิงสาวเบ้หน้าเมื่อเห็นเพื่อนสาวออกอาการน่ากลัว
“แล้วนี้แกจะไปไหน ไปรับแม่เหรอ”
“อืม”
“เฮ้ย! แล้วเรื่องงานแกยังไม่เล่าให้ฉันฟังเลยนะ”
“อ๋อ พรุ่งนี้ก็ไปทำงานแล้ว”
“วันพฤหัสเนี้ยนะ” กัณฑิมาเสียงแหลมใส่ บุษบาไม่ตอบก่อนจะก้มลงดูดน้ำในแก้ว เมื่อนึกถึงหน้าใครบางคนที่ก่อกวนอารมณ์เมื่อวาน
“เออ เมื่อวานฉันมีเรื่องล่ะแก”
“เล่ามาๆ”
“ก็ตอนที่กลับมาจากสัมภาษณ์นะสิแก เรารึอยากกินผลไม้ แวะตลาดบิ๊กวัน ดันมีรถกระบะยกสูงถอยปรูดออกมา มันไม่มองว่ามีรถของฉันเลยนะแก หวิดไปนิดเดียว”
“แล้วเป็นอะไรไหม”
“ไม่เป็น แต่ฉันเห็นไอ้ผู้ชายคนนั้นตอนบ่ายๆ หลังจากที่ฉันแวะห้าง ฉันก็เลย...”
“ปรี๊ดเข้าไปใส่ล่ะสิ”
“เออ ตามนั้นล่ะ แต่ปากของไอ้บ้านั่นร้ายใช่ย่อย ฉันเกือบแพ้ ก็เลยจัดหนักไปที่...” บุษบากระซิบกระซาบ
กัณฑิมาได้ยินก็ถลึงตาร้องกรี๊ดเบาๆ เพราะกลัวว่าคนอื่นที่นั่งอยู่ในร้านจะได้ยิน แล้วรอฟังเพื่อนอย่างตั้งใจ
“ตาบ้านั่นก็ลงไปกองอยู่กับพื้น แต่พอหายเจ็บก็ลุกขึ้นมา เหมือนต้องการจะเอาเรื่องต่อ....”
“แล้วไง”
“ผิดคาดน่ะสิแก”
“ยังไง อะไรที่แกคิดว่า ‘ผิดคาด’ เล่ามาเลยยังเพิ่มความอยากรู้ให้กับเพื่อนอย่างนี้ รู้ไหมว่ามันทรมาน” กัณฑิมาทำหน้าราวกับโลกกำลังจะแตกวันนี้ซะงั้น หมดความสวยหวานไปด้วยการขมวดคิ้วแน่นสงสัยเคลือบแคลงใจในสิ่งที่เพื่อนเก็บเอาไว้