Credit : stock2morrow
-------
6. เสี่ยป๋อง
อ่านให้มาก ฟังให้เยอะ ศึกษาให้ถ่องแท้ ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์
ผมฟังบรีฟทุกเช้า อ่านบทวิเคราะห์เป็นประจำ ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์
ส่วนมากที่นักวิเคราะห์พูดมามันเวิร์คเป็นบางสถานะการณ์
อ่านเปเปอร์ให้เยอะ คุยกับนักวิจัยตลอด ไปคอมพานีวิซิตเป็นเรื่องธรรมดา
ปีที่แล้วก้ไปมาหลายบริษัท ไม่ต้องกลัวว่าตอนไปแล้วหุ้นของเราเคลื่อนไหว
เพราะมันก็ไม่เห็นจะเคลื่อนไหวนี่นา
บางสถานการณ์เหมาะเล่นสั้น บางสถานการณ์เหมาะเล่นยาว
ประเทศไทยช่วงเวลาแห่งความสุขมีน้อย ปีหนึ่งอาจจะมีแค่สองเดือน
พื้นฐาน + เทคนิค
คนเล่นหุ้นต้องศึกษาพื้นฐานก่อน บันทึกมันลงไปในสมอง
ตัวไหนขึ้นหรือลงค่อยดูกราฟ ต้องสังเกตการเคลื่อนไหวของทุกๆ อย่าง
ไม่ว่าจะเป็น ดอกเบี้ย น้ำมัน โภคภัณฑ์
แต่ตอนตัดสินใจใช้กราฟเป็นจังหวะในการลงทุน
แต่เราต้องมีพื้นฐานอยู่ในหัวแล้วว่าเลือกหุ้นตัวนี้เพราะอะไร
สวรรค์มีไม่รู้กี่ชั้น นรกมีไม่รู้กี่ขุม
ถ้าหุ้นขึ้นมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นว่าจะไม่เลือกหรือไม่ดูมัน
ถ้าขึ้นมา 20 -30 เปอร์เซ็นต์แล้ว เราก็ต้องดูว่ามันไปไหวหรือเปล่า
เหนือหฟ้ายังมีฟ้า บนสวรรค์มีตั้งไม่รู้กี่ชั้น เวลาลงนรกก็มีไม่รู้กี่ขุมเช่นเดียวกัน
ไม่มีคำว่าถูกหรือแพงในตลาดหุ้น
สมัยก่อน kk บาทนึงไม่มีใครซื้อหรอก
แต่มันก็ขึ้นไป 80 แล้วมันยังลงมา 14 ได้เลย
ต้องดูกราฟ ดูเทพนิคดูรอบข้าง ข้อมูลต้องเต็มเหนี่ยวบางทีก็แทบจะล้น
ดูเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ มหาภาค ดูนโยบาย ดูพื้นฐาน แล้วใช้เทคนิคในการซื้อขาย
เหรียญสิบบนวิภาวดี
สถานการณ์ที่มองไม่ออก เวลาเห็นขึ้นก็อยากซื้อ แต่เล่นยาก
เหมือนเรายืนอยู่บนถนนวิภาวดี มีเหรียญสิบบาทอยู่ข้างหน้า
รถมันก็วิ่งฉิว เราก็พยายามที่จะไปเก็บเหรียญ
รถก็วิ่งกันฟิ้วๆ เฮ้ยเหรียญสิบบาทเฟร้ย
สิบบาทก็ยังจะเอาอีกเน๊าะ
ศึกษาดวง
การลดเครดิตประเทศก็เป็นเรื่องที่สำคัญ
เราไม่รู้ว่าเค้าจะประกาศเท่าไหร่
หรือว่าเค้าอาจจะไม่ประกาศก็ได้
หรือว่าถ้าใครไปอ่านเรื่องดวง เจอหมอคนแรก หมอโสรัจจะนี่หงายท้องเลย
แย่ทุกเดือน เดือนสุดท้ายมีสงครามโลกเลย
ถ้าแม่นสุดเป็นหมอนิด เดือนหน้าก็ไม่ดี
หรืออาจารย์หมอภิญโญ
เราต้องใช้ทุกอย่างประกอบกันแม้กระทั่งเรื่องดวง
เพราะพื้นฐานมันต้องอยู่ในหัวอยู่แล้ว เช่น
แบงค์กรุงเทพทุกคนก็รู้พื้นฐาน คอนเซนซัสก็มีให้อ่าน
สรุป
ผมคิดว่าให้เราคลาสสิฟลายตัวเองให้ได้ว่าเป็นนักลงทุนประเภทไหน
แล้วก็นำสิ่งที่พวกผมได้พูด ไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับตัวเอง
เทคนิเคิลไม่เคยหลอก มีแต่เราหลอกตัวเอง
ตกมาตรงนี้มันต้องขึ้นไปตรงนี้
ตรงนี้มันคือเวฟสี่นะไม่ใช่อะไรอย่างเนี๊ยะ
บางทีนับเวฟผิดแล้วกลับลำยาก
สมมุติเราใช้แค่เอ็มเอซีดี มันตัดลงแล้วเลิก
เราก็ใช้เอ็มเอซีดีอันเดียวก็เหมือนพกมีดเล่มเดียว
คนนึงพกมึด อีกคนพกปืน อีกคนพกรถถัง
คนที่มีแค่มีดก็หากินได้ ใช้มีดหากินไปเรื่อยๆ
แต่บางทีบรรยากาศ บางช่วงใช้รถถัง ใช้ปืนกลก็ไม่คุ้ม
บางทีก็แล้วแต่พวกท่านเอาไปประยุกต์ใช้
ควรจัดตัวเองให้ถูก มีเพื่อนบางคนจะลงทุนยาว
ซื้อไปได้ประมาณสามชั่วโมงมันโทรมาละ
เฮ้ยทำไมมันยังไม่ขึ้นอีกหล่ะ ตัวเองยังจำแนกตัวเองไม่ถูกเลย
บอกเล่นยาวได้ แต่สามชั่วโมงโทรมาแล้ว
อีกสามวันโทรมาอีกแล้ว
ถ้าลงไปหน่อยนึงก็โทรมาตลอด
................................................................................
7. เสี่ยยักษ์
จะอยู่รอดต้องเป็นมืออาชีพ
ผมเตรียมที่จะมาพูดตรงข้ามกับคุณศิริวัฒน์เลย
คือคุณศิริวัฒน์ บอกว่าอย่าเอาตลาดหุ้นมาเป็นอาชีพ
แต่ผมคิดว่าถ้าเราจะอยู่ในตลาดหุ้น เราต้องเป็นมืออาชีพ
เช่น คุณจะเป็นหมอฟันต้องเรียนทันตแทพย์มา
คุณจะเล่นหุ้น เจ็ดวันคุณมาเล่นหุ้นแล้ว แล้วคุณก็เออ ก็ได้
ทุกคนส่วนมากเล่นหุ้นแรกๆ มักจะได้
แล้วก็จะตามเพื่อน สุดท้ายเพื่อนที่อยู่มาสิบปีก็มีผิดเหมือนกัน
ผิดเพราะรู้ไม่จริง
เทคนิเคิลไม่เคยหลอก
ผมอยู่มาประมาณยี่สิบปี เทคนิเคิลไม่เคยหลอก
ผมขอยืนยัน ถ้าคุณเก่งจริง เทคนิคไม่เคยหลอก
เพียงแต่เราไม่รู้ ดังนั้นเราต้องเป็นมืออาชีพให้ได้ นี่คือข้อที่ 1
รายย่อยได้เปรียบรายใหญ่
ข้อที่ 2 นักเล่นหุ้นทุกคนล้วยเคยเป็นรายย่อยมาหมด
เมื่อก่อนผมก็เป็นรายย่อย หลายคนบอกว่ารายใหญ่ได้เปรียบ
มันไม่ใช่เลย รายย่อยต่างหากที่ได้เปรียบ
เพราะว่าคุณซื้อหนึ่งครั้งคุณเต็มพอร์ต
คุณขายหนึ่งครั้งหมดพอร์ต
แต่ถ้ารายใหญ่หลายร้อยล้านหุ้น จะขายยังไง
ดังนั้นรายย่อยจึงได้เปรียบรายใหญ่มากๆ
ทำธุรกิจยากกว่าเล่นหุ้น
อย่างที่บ้านทำโรงงานเล่นหมี่ พ่อสามารถส่งไปยังลูกนี่คือธุรกิจ
ธุรกิจสามารถส่งต่อได้ พี่ชายเป็นหมอ หลานอีกคนเป็นหมอก็ต้องเรียนปีหนึ่งใหม่อีกอยู่ดี
ดังนั้นการทำธุรกิจยากกว่าตลาดหุ้นมาก ตลาดหุ้นถ้าอยากจะเลิกก็เลิก
อยากจะไปก็ไป หันหลังพรึบสามช่องก็ออกได้แล้ว
เล่นหุ้นต้องเป็นยาม
ดังนั้นการเล่นหุ้นเราต้องรู้ให้จริง ต้องมีการวางแผน
เราต้องรู้ตัวว่าจะทำอะไร เราต้องเตรียมตัวไว้ก่อน
เปรียบเสมือนกับการเฝ้ายาม
คุณต้องใจเย็นๆ ต้องนิ่งๆ ต้องเป็นยาม
คว้าดาวเด่น
ถ้าตรงนี้ใช่ทางของเราๆ ก็เล่น
ถ้าไม่ใช่ทางของเรา เราก็ไม่เล่น
แต่ระรอบของมันจะมีดาวเด่นอยู่ คุณต้องคว้าให้เจอ
คุณต้องหาให้เจอ รอบที่ผ่นามา เช่น
atc จาก 3 บาท เป็น 75 บาท บางคนซื้ออ 3 ขาย 3.5 แพ้ชนะกันที่เฉียดรวย
เทคนิค + พื้นฐาน
ใช้เทคนิคเป็นจุดซื้อขาย แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องดูพื้นฐาน
เปรียบเสมือนกับคุณขึ้นรถเมล์ คุณจะไปสะพานตากสิน
คุณกลัวร้อนเลยนั่งรอในรถ รถสตาร์ตเครื่องแล้วแต่ไม่ออก
บรื้นๆ อยู่นั่นแหละ จังหวะมันผิด
อ้าวคันข้างๆ ออกไปแล้ว กระเป๋ารถเมล์มาเขย่ากระป๋องสามที
โชเฟอร์เบิ้ลเครื่องอีกสองที ไอ้เราก็นั่งรอ ไม่ใช่คันนี้อีกแล้ว
เราเปลี่ยนดีกว่า ไปนั่งคันที่ออก
ทุกคนโดนมาหมด มันจึงต้องใช้เทคนิค
เทคนิเคิลไม่เคยหลอก ปฏิวัติเนี่ยะนะเทคนิคเคิลก็ยังรู้เลย
แต่ก็รู้แค่เล็กๆ เพราะว่าอะไรนะรึ
เพราะว่าผมจะปฏิวัติ ผมก็ต้องไปบอกญาติ บอกเพื่อนบอกแฟน
เพราะก่อนหน้านี้ก็มีคนโทรมาบอกว่ามันจะไม่ดีนะ
แต่บอกก่อนล่วงหน้าตั้งสิบวัน
เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้เทคนิคอล
เทคนิคอลช่วยกำหนดการซื้อให้เราได้ แล้วดูหุ้นที่พื้นฐาน
ตอนขายเทคนิเคิลไม่เคยหลอกอีกเหมือนกัน
ไม่มีใครถูกเสมอและผิดตลอดไป
จากทั้งหมดนี้ ถ้าเราดูอย่างวิเคราะ คุณสมพงษ์บอกซื้อ คุณหมอบอกรออีกหน่อย
ไม่มีใครถูกใครผิด เพราะมันวัดผลกันยาวๆ
อย่างคุณสมพงษ์บุคลิคเป็นคนจิตใจดี
แตงโมบอกผมไปทำแมนชั่นดีกว่า นี่คือบุคลิคของคน
ดังนั้นคุณต้องถามตัวคุณเองก่อนว่าคุณเป็นคนอย่างไร
คุณสมพงษ์อดทน เค้าไปเยี่ยมชมบริษัท คุณทำแบบเขาได้หรือไม่
การมาพูดครั้งนี้คุณสมพงษ์เขีนยมายี่สิบหน้า
เวลาเขามองหุ้นเขามองสามปีถึงสิบปี มองเน้นคุณค่า
แต่กรณีอย่างผมเล่นเก็งกำไร สมมุติว่าตอนนี้เวลาประมาณตีสาม
ยังไม่เช้า ก็ยังมีเวลาเลือกซื้อ อย่างใจเย็นๆ แล้วจะรู้ว่าตีห้าได้อย่างไร
มันยากมากที่จะรู้ ตอนแรกผมก็เล่นน้อยก่อน
ไม่ใช่ว่าทุ่มสุดตัวแล้วปรากฏว่า อ้าว โดนนิ้วอีกแล้ว
ต้องดูเครื่องมือ ดูเทคนิค ถามผู้รู้
ตราบใดที่คนข้างๆ มีกำไร แสดงว่าตลาดดี
ถ้าคนข้างๆ ขาดทุน ตลาดก็เริ่มจะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน
แต่ตอนนี้ปี50 ประมาณตีสาม ยังมีผีอยู่
ถ้าอย่างนั้นตีสามอย่าพึ่งจ่ายตลาดเยอะ
หุ้นเด่นในดวงใจ
ทุกคนเล่นหุ้น ต้องมีหุ้นในดวงใจให้ได้ก่อน
วันไหนที่คุณมีหุ้นในดวงใจคุณจะนิ่ง
เหมือนเช่นเดียวกับคุณสมพงษ์
เขาจะสามารถ let profit run เยอะ เพราะทนได้ยาว เขาอึด
วันไหนไม่มีหุ้นในดวงใจ รับประกันเลยว่าไม่มีทางรวยแน่ๆ
พอซื้อเสร็จเห็นขึ้นไปช่องสองช่อง
เห็นว่าโดนทุบมาล้านนึง เสร็จเลย ขายซะแล้ว
พอขึ้นมาอีกหน่อยก็ไม่กล้าซื้อ หรือไม่ก็ซื้อน้อยลง
ศึกษาเยอะๆ หาหุ้นในดวงใจให้เจอ
ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว
แล้วแต่ว่าเราเป็นคนอย่างไร ถ้าอยากชนะต้องศึกษาและรอบรู้
ต้องมีเพื่อนเยอะ ดูว่าเขาศึกษาอย่างไร เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของเรา
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าโทษคนอื่น โทษตัวเราคนเดียว
ใครทำอะไรย่อมได้สิ่งนั้น
ถ้าคุณเล่นหุ้นปั่น สักวันถ้าคุณไม่เลิกสุดท้ายก็หมดตัว
เพราะจุดจบของหุ้นปั่นคือหมดอยู่แล้ว
บางครั้งเรารอดเพราะเขาเอาปืนแก็บยิงเรา
แต่วันไหนเอาแหครอบที่เดียวเราโดนแน่
อย่าตามหลังมวลชน ศึกษาเยอะ ๆ อ่านเยอะๆ
มีหนังสือเยอะเลยตามร้านหนังสือ
ของฝากนักลงทุน
อย่าตามหลังมวลชน
จุดที่มั่นใจที่สุดคือจุดที่อันตรายที่สุด
จุดที่อันตรายที่สุดคือจุดที่ปลอดภัยที่สุด
อย่าคิดคนเดียวอย่าตอบคนเดียวอย่าเล่นหุ้นคนเดียว
ถามเองตอบเอง เออเองจัดการด้วยตนเองหมด สุดท้ายก็ตายเอง
เราทำอะไรไว้เราก็จะได้สิ่งนั้น
ตัวอย่างความสำเร็จและความล้มเหลวจากเพื่อนฝูง
คนที่อายุเยอะแต่ไม่ยอมปรับตัว
ประกอบอาชีพประสบความสำเร็จสุดท้ายล้มเหลวในหุ้น
คนมีระเบียบวินัยมากศึกษาตลอดเวลามีความมั่นคง
คนนี้เป็นนักแบตทีมชาติ เค้าก็ประสบความสำเร็จ
อีกคนอ่อนน้อมถ่อมตน บริการคนตลอดเวลา
ทุกคนรักไม่เคยเอาเปรียบเพื่อน คนนี้ก็ประสบความสำเร็จ
เพราะความเอื้อเฟื้อ จึงไม่มีคนไปหลอกอะไรเขา
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเขาไม่เก่งอะไรเลย
แต่เขาเป็นคนที่ทุกคนรัก ก็ประสบความสำเร็จได้
ตัวอย่างคนที่ไม่ประสบความสำเร็จก็คือ คนที่ตรงกันข้ามตลอด
พอเราบอกแบบนี้ มันก็คิดว่าเอ๊ะ มันต้องเป็นแบบนั้นนะ
เป็นคนที่ไม่คิดอะไรลึกๆ ชอบสวนชาวบ้าน
เพราะว่าเหรียญมีสองด้าน เลยพูดได้หมด ไม่เคยโทษตัวเอง
เป็นเจ้าของฉายา รู้อย่างนี้ หรือ รู้อะไรไม่เท่ารู้อย่างนี้
ตอนแรกมีหลายสิบล้านตอนนี้เหลือไม่เยอะแล้ว
อีกคนทำการบ้านตลอด คอยเช็คพอร์ตคนอื่นตลอดเวลา
แอบดูพอร์ตคนอื่นตลอด เวลาคุยกับมาร์ก็ถามเรื่องของคนอื่น
สุดท้ายต้องไปตีกอล์ฟคนเดียวไม่มีเพื่อน
ไปกินข้าวกับมาร์ยังต้องหารกันเลย
แต่เค้าก็ประสบความสำเร็จได
อีกคนย้ำคิดย้ำทำเสียดายตลอดเวลา
เป็นคนละเอียดไม่เอาเปรียบใคร สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จ
ที่พูดมาทั้งหมดก็คือ มันมีช่องทางของแต่ละคน
แล้วแต่เราจะเลือกทางไหน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันคงไม่เกินความสามารถของพวกเรา
................................................................................
บทสรุป คือ เซียนทั้ง 7 ต่างคนต่างแนวต่างวิธีการจริงๆ
แปลว่าหนทางแห่งความสำเร็จไม่ได้มีแค่ทางเดียว กุญแจแห่งความสำเร็จมีอยู่หลายอัน
กลยุทธ์ 7 เซียนหุ้น ตอนที่ 2
-------
6. เสี่ยป๋อง
อ่านให้มาก ฟังให้เยอะ ศึกษาให้ถ่องแท้ ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์
ผมฟังบรีฟทุกเช้า อ่านบทวิเคราะห์เป็นประจำ ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์
ส่วนมากที่นักวิเคราะห์พูดมามันเวิร์คเป็นบางสถานะการณ์
อ่านเปเปอร์ให้เยอะ คุยกับนักวิจัยตลอด ไปคอมพานีวิซิตเป็นเรื่องธรรมดา
ปีที่แล้วก้ไปมาหลายบริษัท ไม่ต้องกลัวว่าตอนไปแล้วหุ้นของเราเคลื่อนไหว
เพราะมันก็ไม่เห็นจะเคลื่อนไหวนี่นา
บางสถานการณ์เหมาะเล่นสั้น บางสถานการณ์เหมาะเล่นยาว
ประเทศไทยช่วงเวลาแห่งความสุขมีน้อย ปีหนึ่งอาจจะมีแค่สองเดือน
พื้นฐาน + เทคนิค
คนเล่นหุ้นต้องศึกษาพื้นฐานก่อน บันทึกมันลงไปในสมอง
ตัวไหนขึ้นหรือลงค่อยดูกราฟ ต้องสังเกตการเคลื่อนไหวของทุกๆ อย่าง
ไม่ว่าจะเป็น ดอกเบี้ย น้ำมัน โภคภัณฑ์
แต่ตอนตัดสินใจใช้กราฟเป็นจังหวะในการลงทุน
แต่เราต้องมีพื้นฐานอยู่ในหัวแล้วว่าเลือกหุ้นตัวนี้เพราะอะไร
สวรรค์มีไม่รู้กี่ชั้น นรกมีไม่รู้กี่ขุม
ถ้าหุ้นขึ้นมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นว่าจะไม่เลือกหรือไม่ดูมัน
ถ้าขึ้นมา 20 -30 เปอร์เซ็นต์แล้ว เราก็ต้องดูว่ามันไปไหวหรือเปล่า
เหนือหฟ้ายังมีฟ้า บนสวรรค์มีตั้งไม่รู้กี่ชั้น เวลาลงนรกก็มีไม่รู้กี่ขุมเช่นเดียวกัน
ไม่มีคำว่าถูกหรือแพงในตลาดหุ้น
สมัยก่อน kk บาทนึงไม่มีใครซื้อหรอก
แต่มันก็ขึ้นไป 80 แล้วมันยังลงมา 14 ได้เลย
ต้องดูกราฟ ดูเทพนิคดูรอบข้าง ข้อมูลต้องเต็มเหนี่ยวบางทีก็แทบจะล้น
ดูเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ มหาภาค ดูนโยบาย ดูพื้นฐาน แล้วใช้เทคนิคในการซื้อขาย
เหรียญสิบบนวิภาวดี
สถานการณ์ที่มองไม่ออก เวลาเห็นขึ้นก็อยากซื้อ แต่เล่นยาก
เหมือนเรายืนอยู่บนถนนวิภาวดี มีเหรียญสิบบาทอยู่ข้างหน้า
รถมันก็วิ่งฉิว เราก็พยายามที่จะไปเก็บเหรียญ
รถก็วิ่งกันฟิ้วๆ เฮ้ยเหรียญสิบบาทเฟร้ย
สิบบาทก็ยังจะเอาอีกเน๊าะ
ศึกษาดวง
การลดเครดิตประเทศก็เป็นเรื่องที่สำคัญ
เราไม่รู้ว่าเค้าจะประกาศเท่าไหร่
หรือว่าเค้าอาจจะไม่ประกาศก็ได้
หรือว่าถ้าใครไปอ่านเรื่องดวง เจอหมอคนแรก หมอโสรัจจะนี่หงายท้องเลย
แย่ทุกเดือน เดือนสุดท้ายมีสงครามโลกเลย
ถ้าแม่นสุดเป็นหมอนิด เดือนหน้าก็ไม่ดี
หรืออาจารย์หมอภิญโญ
เราต้องใช้ทุกอย่างประกอบกันแม้กระทั่งเรื่องดวง
เพราะพื้นฐานมันต้องอยู่ในหัวอยู่แล้ว เช่น
แบงค์กรุงเทพทุกคนก็รู้พื้นฐาน คอนเซนซัสก็มีให้อ่าน
สรุป
ผมคิดว่าให้เราคลาสสิฟลายตัวเองให้ได้ว่าเป็นนักลงทุนประเภทไหน
แล้วก็นำสิ่งที่พวกผมได้พูด ไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับตัวเอง
เทคนิเคิลไม่เคยหลอก มีแต่เราหลอกตัวเอง
ตกมาตรงนี้มันต้องขึ้นไปตรงนี้
ตรงนี้มันคือเวฟสี่นะไม่ใช่อะไรอย่างเนี๊ยะ
บางทีนับเวฟผิดแล้วกลับลำยาก
สมมุติเราใช้แค่เอ็มเอซีดี มันตัดลงแล้วเลิก
เราก็ใช้เอ็มเอซีดีอันเดียวก็เหมือนพกมีดเล่มเดียว
คนนึงพกมึด อีกคนพกปืน อีกคนพกรถถัง
คนที่มีแค่มีดก็หากินได้ ใช้มีดหากินไปเรื่อยๆ
แต่บางทีบรรยากาศ บางช่วงใช้รถถัง ใช้ปืนกลก็ไม่คุ้ม
บางทีก็แล้วแต่พวกท่านเอาไปประยุกต์ใช้
ควรจัดตัวเองให้ถูก มีเพื่อนบางคนจะลงทุนยาว
ซื้อไปได้ประมาณสามชั่วโมงมันโทรมาละ
เฮ้ยทำไมมันยังไม่ขึ้นอีกหล่ะ ตัวเองยังจำแนกตัวเองไม่ถูกเลย
บอกเล่นยาวได้ แต่สามชั่วโมงโทรมาแล้ว
อีกสามวันโทรมาอีกแล้ว
ถ้าลงไปหน่อยนึงก็โทรมาตลอด
................................................................................
7. เสี่ยยักษ์
จะอยู่รอดต้องเป็นมืออาชีพ
ผมเตรียมที่จะมาพูดตรงข้ามกับคุณศิริวัฒน์เลย
คือคุณศิริวัฒน์ บอกว่าอย่าเอาตลาดหุ้นมาเป็นอาชีพ
แต่ผมคิดว่าถ้าเราจะอยู่ในตลาดหุ้น เราต้องเป็นมืออาชีพ
เช่น คุณจะเป็นหมอฟันต้องเรียนทันตแทพย์มา
คุณจะเล่นหุ้น เจ็ดวันคุณมาเล่นหุ้นแล้ว แล้วคุณก็เออ ก็ได้
ทุกคนส่วนมากเล่นหุ้นแรกๆ มักจะได้
แล้วก็จะตามเพื่อน สุดท้ายเพื่อนที่อยู่มาสิบปีก็มีผิดเหมือนกัน
ผิดเพราะรู้ไม่จริง
เทคนิเคิลไม่เคยหลอก
ผมอยู่มาประมาณยี่สิบปี เทคนิเคิลไม่เคยหลอก
ผมขอยืนยัน ถ้าคุณเก่งจริง เทคนิคไม่เคยหลอก
เพียงแต่เราไม่รู้ ดังนั้นเราต้องเป็นมืออาชีพให้ได้ นี่คือข้อที่ 1
รายย่อยได้เปรียบรายใหญ่
ข้อที่ 2 นักเล่นหุ้นทุกคนล้วยเคยเป็นรายย่อยมาหมด
เมื่อก่อนผมก็เป็นรายย่อย หลายคนบอกว่ารายใหญ่ได้เปรียบ
มันไม่ใช่เลย รายย่อยต่างหากที่ได้เปรียบ
เพราะว่าคุณซื้อหนึ่งครั้งคุณเต็มพอร์ต
คุณขายหนึ่งครั้งหมดพอร์ต
แต่ถ้ารายใหญ่หลายร้อยล้านหุ้น จะขายยังไง
ดังนั้นรายย่อยจึงได้เปรียบรายใหญ่มากๆ
ทำธุรกิจยากกว่าเล่นหุ้น
อย่างที่บ้านทำโรงงานเล่นหมี่ พ่อสามารถส่งไปยังลูกนี่คือธุรกิจ
ธุรกิจสามารถส่งต่อได้ พี่ชายเป็นหมอ หลานอีกคนเป็นหมอก็ต้องเรียนปีหนึ่งใหม่อีกอยู่ดี
ดังนั้นการทำธุรกิจยากกว่าตลาดหุ้นมาก ตลาดหุ้นถ้าอยากจะเลิกก็เลิก
อยากจะไปก็ไป หันหลังพรึบสามช่องก็ออกได้แล้ว
เล่นหุ้นต้องเป็นยาม
ดังนั้นการเล่นหุ้นเราต้องรู้ให้จริง ต้องมีการวางแผน
เราต้องรู้ตัวว่าจะทำอะไร เราต้องเตรียมตัวไว้ก่อน
เปรียบเสมือนกับการเฝ้ายาม
คุณต้องใจเย็นๆ ต้องนิ่งๆ ต้องเป็นยาม
คว้าดาวเด่น
ถ้าตรงนี้ใช่ทางของเราๆ ก็เล่น
ถ้าไม่ใช่ทางของเรา เราก็ไม่เล่น
แต่ระรอบของมันจะมีดาวเด่นอยู่ คุณต้องคว้าให้เจอ
คุณต้องหาให้เจอ รอบที่ผ่นามา เช่น
atc จาก 3 บาท เป็น 75 บาท บางคนซื้ออ 3 ขาย 3.5 แพ้ชนะกันที่เฉียดรวย
เทคนิค + พื้นฐาน
ใช้เทคนิคเป็นจุดซื้อขาย แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องดูพื้นฐาน
เปรียบเสมือนกับคุณขึ้นรถเมล์ คุณจะไปสะพานตากสิน
คุณกลัวร้อนเลยนั่งรอในรถ รถสตาร์ตเครื่องแล้วแต่ไม่ออก
บรื้นๆ อยู่นั่นแหละ จังหวะมันผิด
อ้าวคันข้างๆ ออกไปแล้ว กระเป๋ารถเมล์มาเขย่ากระป๋องสามที
โชเฟอร์เบิ้ลเครื่องอีกสองที ไอ้เราก็นั่งรอ ไม่ใช่คันนี้อีกแล้ว
เราเปลี่ยนดีกว่า ไปนั่งคันที่ออก
ทุกคนโดนมาหมด มันจึงต้องใช้เทคนิค
เทคนิเคิลไม่เคยหลอก ปฏิวัติเนี่ยะนะเทคนิคเคิลก็ยังรู้เลย
แต่ก็รู้แค่เล็กๆ เพราะว่าอะไรนะรึ
เพราะว่าผมจะปฏิวัติ ผมก็ต้องไปบอกญาติ บอกเพื่อนบอกแฟน
เพราะก่อนหน้านี้ก็มีคนโทรมาบอกว่ามันจะไม่ดีนะ
แต่บอกก่อนล่วงหน้าตั้งสิบวัน
เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้เทคนิคอล
เทคนิคอลช่วยกำหนดการซื้อให้เราได้ แล้วดูหุ้นที่พื้นฐาน
ตอนขายเทคนิเคิลไม่เคยหลอกอีกเหมือนกัน
ไม่มีใครถูกเสมอและผิดตลอดไป
จากทั้งหมดนี้ ถ้าเราดูอย่างวิเคราะ คุณสมพงษ์บอกซื้อ คุณหมอบอกรออีกหน่อย
ไม่มีใครถูกใครผิด เพราะมันวัดผลกันยาวๆ
อย่างคุณสมพงษ์บุคลิคเป็นคนจิตใจดี
แตงโมบอกผมไปทำแมนชั่นดีกว่า นี่คือบุคลิคของคน
ดังนั้นคุณต้องถามตัวคุณเองก่อนว่าคุณเป็นคนอย่างไร
คุณสมพงษ์อดทน เค้าไปเยี่ยมชมบริษัท คุณทำแบบเขาได้หรือไม่
การมาพูดครั้งนี้คุณสมพงษ์เขีนยมายี่สิบหน้า
เวลาเขามองหุ้นเขามองสามปีถึงสิบปี มองเน้นคุณค่า
แต่กรณีอย่างผมเล่นเก็งกำไร สมมุติว่าตอนนี้เวลาประมาณตีสาม
ยังไม่เช้า ก็ยังมีเวลาเลือกซื้อ อย่างใจเย็นๆ แล้วจะรู้ว่าตีห้าได้อย่างไร
มันยากมากที่จะรู้ ตอนแรกผมก็เล่นน้อยก่อน
ไม่ใช่ว่าทุ่มสุดตัวแล้วปรากฏว่า อ้าว โดนนิ้วอีกแล้ว
ต้องดูเครื่องมือ ดูเทคนิค ถามผู้รู้
ตราบใดที่คนข้างๆ มีกำไร แสดงว่าตลาดดี
ถ้าคนข้างๆ ขาดทุน ตลาดก็เริ่มจะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน
แต่ตอนนี้ปี50 ประมาณตีสาม ยังมีผีอยู่
ถ้าอย่างนั้นตีสามอย่าพึ่งจ่ายตลาดเยอะ
หุ้นเด่นในดวงใจ
ทุกคนเล่นหุ้น ต้องมีหุ้นในดวงใจให้ได้ก่อน
วันไหนที่คุณมีหุ้นในดวงใจคุณจะนิ่ง
เหมือนเช่นเดียวกับคุณสมพงษ์
เขาจะสามารถ let profit run เยอะ เพราะทนได้ยาว เขาอึด
วันไหนไม่มีหุ้นในดวงใจ รับประกันเลยว่าไม่มีทางรวยแน่ๆ
พอซื้อเสร็จเห็นขึ้นไปช่องสองช่อง
เห็นว่าโดนทุบมาล้านนึง เสร็จเลย ขายซะแล้ว
พอขึ้นมาอีกหน่อยก็ไม่กล้าซื้อ หรือไม่ก็ซื้อน้อยลง
ศึกษาเยอะๆ หาหุ้นในดวงใจให้เจอ
ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว
แล้วแต่ว่าเราเป็นคนอย่างไร ถ้าอยากชนะต้องศึกษาและรอบรู้
ต้องมีเพื่อนเยอะ ดูว่าเขาศึกษาอย่างไร เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของเรา
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าโทษคนอื่น โทษตัวเราคนเดียว
ใครทำอะไรย่อมได้สิ่งนั้น
ถ้าคุณเล่นหุ้นปั่น สักวันถ้าคุณไม่เลิกสุดท้ายก็หมดตัว
เพราะจุดจบของหุ้นปั่นคือหมดอยู่แล้ว
บางครั้งเรารอดเพราะเขาเอาปืนแก็บยิงเรา
แต่วันไหนเอาแหครอบที่เดียวเราโดนแน่
อย่าตามหลังมวลชน ศึกษาเยอะ ๆ อ่านเยอะๆ
มีหนังสือเยอะเลยตามร้านหนังสือ
ของฝากนักลงทุน
อย่าตามหลังมวลชน
จุดที่มั่นใจที่สุดคือจุดที่อันตรายที่สุด
จุดที่อันตรายที่สุดคือจุดที่ปลอดภัยที่สุด
อย่าคิดคนเดียวอย่าตอบคนเดียวอย่าเล่นหุ้นคนเดียว
ถามเองตอบเอง เออเองจัดการด้วยตนเองหมด สุดท้ายก็ตายเอง
เราทำอะไรไว้เราก็จะได้สิ่งนั้น
ตัวอย่างความสำเร็จและความล้มเหลวจากเพื่อนฝูง
คนที่อายุเยอะแต่ไม่ยอมปรับตัว
ประกอบอาชีพประสบความสำเร็จสุดท้ายล้มเหลวในหุ้น
คนมีระเบียบวินัยมากศึกษาตลอดเวลามีความมั่นคง
คนนี้เป็นนักแบตทีมชาติ เค้าก็ประสบความสำเร็จ
อีกคนอ่อนน้อมถ่อมตน บริการคนตลอดเวลา
ทุกคนรักไม่เคยเอาเปรียบเพื่อน คนนี้ก็ประสบความสำเร็จ
เพราะความเอื้อเฟื้อ จึงไม่มีคนไปหลอกอะไรเขา
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเขาไม่เก่งอะไรเลย
แต่เขาเป็นคนที่ทุกคนรัก ก็ประสบความสำเร็จได้
ตัวอย่างคนที่ไม่ประสบความสำเร็จก็คือ คนที่ตรงกันข้ามตลอด
พอเราบอกแบบนี้ มันก็คิดว่าเอ๊ะ มันต้องเป็นแบบนั้นนะ
เป็นคนที่ไม่คิดอะไรลึกๆ ชอบสวนชาวบ้าน
เพราะว่าเหรียญมีสองด้าน เลยพูดได้หมด ไม่เคยโทษตัวเอง
เป็นเจ้าของฉายา รู้อย่างนี้ หรือ รู้อะไรไม่เท่ารู้อย่างนี้
ตอนแรกมีหลายสิบล้านตอนนี้เหลือไม่เยอะแล้ว
อีกคนทำการบ้านตลอด คอยเช็คพอร์ตคนอื่นตลอดเวลา
แอบดูพอร์ตคนอื่นตลอด เวลาคุยกับมาร์ก็ถามเรื่องของคนอื่น
สุดท้ายต้องไปตีกอล์ฟคนเดียวไม่มีเพื่อน
ไปกินข้าวกับมาร์ยังต้องหารกันเลย
แต่เค้าก็ประสบความสำเร็จได
อีกคนย้ำคิดย้ำทำเสียดายตลอดเวลา
เป็นคนละเอียดไม่เอาเปรียบใคร สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จ
ที่พูดมาทั้งหมดก็คือ มันมีช่องทางของแต่ละคน
แล้วแต่เราจะเลือกทางไหน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันคงไม่เกินความสามารถของพวกเรา
................................................................................
บทสรุป คือ เซียนทั้ง 7 ต่างคนต่างแนวต่างวิธีการจริงๆ
แปลว่าหนทางแห่งความสำเร็จไม่ได้มีแค่ทางเดียว กุญแจแห่งความสำเร็จมีอยู่หลายอัน