ประวัติศาสตร์การเมืองไทยบันทึกเอาไว้ว่า นับจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
ซึ่งนักศึกษาประชาชนออกมาประท้วงรัฐบาลเผด็จการทหาร แล้วถูกปราบปราม
ด้วยรถถัง ปืนกล และกระสุนจริง จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 70 ราย
จากนั้นมีการสังหารหมู่ประชาชนทางการเมือง หนต่อมา คือ 6 ตุลาคม 2519
โดยวางแผนเป็นขั้นตอน กุเรื่องสร้างกระแสหมิ่นสถาบันแล้วกวาดล้าง มีผู้เสีย
ชีวิต 40-50 ราย
ต่อมาคือพฤษภาทมิฬ 2535 ในยุคที่มีนายทหารใหญ่เป็นนายกฯ ซึ่งสืบทอด
อำนาจมาจากการปฏิวัติ 23 กุมภาพันธ์ 2534
มีการใช้อำนาจกองกำลังรักษาพระนคร นำอาวุธจริงออกมาปราบปรามประชาชน
ที่ต่อต้านรัฐบาลอันไม่ ชอบธรรม จนล้มตาย 40-50 ชีวิต
จนถึงหนล่าสุดคือยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งมีเสื้อแดงชุมนุม
เพื่อเรียกร้องยุบสภา
มีการตั้งศอฉ.และใช้อำนาจพิเศษ ลงเอยอนุญาตให้ใช้กระสุนจริงและ
มีคนตายมากที่สุดกว่าทุกเหตุการณ์
คือ 99 ศพ!
นี่คือข้อเท็จจริงที่เขียนด้วยเลือดเนื้อและชีวิต
การรำลึกถึงวีรชนเดือนตุลาคม จึงต้องเน้นย้ำต่อต้านวิธีการที่ผู้มีอำนาจกระทำ
ต่อประชาชนที่ชุมนุมต่อสู้ ทางการเมือง แบบเดียวกับปี 2516 และ 2519
ซึ่งมาเกิดซ้ำรอยในพฤษภาคม 2535 และพฤษภาคม 2553 หรือ 99 ศพล่าสุด
ความอาลัยรักต่อผู้สูญเสียเดือนตุลาฯ ต้องนำมาต่อต้าน ไม่ให้เกิดขึ้น
อีกกับประชาชนคนรุ่นหลัง
ที่เกิดอีกในปี 2535 และ 2553 ต้องป่าวประณาม และเอาตัวคนผิดมาลงโทษ
แม้แต่ละช่วงสถานการณ์ต่างกัน แต่ต้องไม่ยินยอมกับการ
สั่งใช้กระสุนจริงต่อประชาชนอย่างเด็ดขาด!
ไม่เท่านั้นย้อนทบทวนเหตุการณ์ปฏิวัติรสช.เมื่อปี 2534
จะพบว่ากลวิธีสำคัญคือโหมกระแส"คอร์รัปชั่น"
ครอบงำสังคม ด้วยการกล่าวหารัฐบาลชาติชาย ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง
อย่างชอบธรรม
ใส่ร้ายว่า กินทั้งตามน้ำและทวนน้ำ!?!
ทำให้รู้สึกว่าการปฏิวัติรัฐประหารทำได้และถูกต้อง
ผลก็คือ จากนั้นอีกปีเดียว คณะนายทหารที่ก่อปฏิวัติก็เข้ามาเป็นรัฐบาลเสียเอง
จนทำให้ประชาชนที่เคยหลงและชื่นชม ต้องฮือออกมา แล้วก็ต้องล้มตาย
เลือดนองท้องถนน
ความพยายามของกลุ่มอำนาจเก่าและพรรค การเมืองรวมทั้งส.ว.
ตัวแทนฝ่ายอนุรักษ์นิยมในวันนี้
ช่างคุ้นๆ คือ โหมกระแสรัฐบาลปูคอร์รัปชั่นอย่างเดียว
เพียงแต่ฟืนยังเปียกอยู่!
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNE1UTTNNalE0Tmc9PQ==§ionid=
NO COMMENT
มุขเก่าคุ้นๆ ชกไม่มีมุม โดย วงค์ ตาวัน ข่าวสดออนไลน์
ซึ่งนักศึกษาประชาชนออกมาประท้วงรัฐบาลเผด็จการทหาร แล้วถูกปราบปราม
ด้วยรถถัง ปืนกล และกระสุนจริง จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 70 ราย
จากนั้นมีการสังหารหมู่ประชาชนทางการเมือง หนต่อมา คือ 6 ตุลาคม 2519
โดยวางแผนเป็นขั้นตอน กุเรื่องสร้างกระแสหมิ่นสถาบันแล้วกวาดล้าง มีผู้เสีย
ชีวิต 40-50 ราย
ต่อมาคือพฤษภาทมิฬ 2535 ในยุคที่มีนายทหารใหญ่เป็นนายกฯ ซึ่งสืบทอด
อำนาจมาจากการปฏิวัติ 23 กุมภาพันธ์ 2534
มีการใช้อำนาจกองกำลังรักษาพระนคร นำอาวุธจริงออกมาปราบปรามประชาชน
ที่ต่อต้านรัฐบาลอันไม่ ชอบธรรม จนล้มตาย 40-50 ชีวิต
จนถึงหนล่าสุดคือยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งมีเสื้อแดงชุมนุม
เพื่อเรียกร้องยุบสภา
มีการตั้งศอฉ.และใช้อำนาจพิเศษ ลงเอยอนุญาตให้ใช้กระสุนจริงและ
มีคนตายมากที่สุดกว่าทุกเหตุการณ์
คือ 99 ศพ!
นี่คือข้อเท็จจริงที่เขียนด้วยเลือดเนื้อและชีวิต
การรำลึกถึงวีรชนเดือนตุลาคม จึงต้องเน้นย้ำต่อต้านวิธีการที่ผู้มีอำนาจกระทำ
ต่อประชาชนที่ชุมนุมต่อสู้ ทางการเมือง แบบเดียวกับปี 2516 และ 2519
ซึ่งมาเกิดซ้ำรอยในพฤษภาคม 2535 และพฤษภาคม 2553 หรือ 99 ศพล่าสุด
ความอาลัยรักต่อผู้สูญเสียเดือนตุลาฯ ต้องนำมาต่อต้าน ไม่ให้เกิดขึ้น
อีกกับประชาชนคนรุ่นหลัง
ที่เกิดอีกในปี 2535 และ 2553 ต้องป่าวประณาม และเอาตัวคนผิดมาลงโทษ
แม้แต่ละช่วงสถานการณ์ต่างกัน แต่ต้องไม่ยินยอมกับการ
สั่งใช้กระสุนจริงต่อประชาชนอย่างเด็ดขาด!
ไม่เท่านั้นย้อนทบทวนเหตุการณ์ปฏิวัติรสช.เมื่อปี 2534
จะพบว่ากลวิธีสำคัญคือโหมกระแส"คอร์รัปชั่น"
ครอบงำสังคม ด้วยการกล่าวหารัฐบาลชาติชาย ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง
อย่างชอบธรรม
ใส่ร้ายว่า กินทั้งตามน้ำและทวนน้ำ!?!
ทำให้รู้สึกว่าการปฏิวัติรัฐประหารทำได้และถูกต้อง
ผลก็คือ จากนั้นอีกปีเดียว คณะนายทหารที่ก่อปฏิวัติก็เข้ามาเป็นรัฐบาลเสียเอง
จนทำให้ประชาชนที่เคยหลงและชื่นชม ต้องฮือออกมา แล้วก็ต้องล้มตาย
เลือดนองท้องถนน
ความพยายามของกลุ่มอำนาจเก่าและพรรค การเมืองรวมทั้งส.ว.
ตัวแทนฝ่ายอนุรักษ์นิยมในวันนี้
ช่างคุ้นๆ คือ โหมกระแสรัฐบาลปูคอร์รัปชั่นอย่างเดียว
เพียงแต่ฟืนยังเปียกอยู่!
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNE1UTTNNalE0Tmc9PQ==§ionid=
NO COMMENT