ความฝันของเด็กๆ
เราทุกคนต้องเคยโดนผู้ใหญ่ถามว่า “โตขึ้นหนูฝันอยากเป็นอะไร?” เราก็จะตอบตามความชอบตอนนั้น อยากเป็นหมอ อยากเป็นนักดนตรี เป็นนักบิน อยากเป็นนายกฯ ฯลฯ ก็ว่าไป ส่วนมากจะได้รับคำตอบที่มีความชัดเจนของลักษณะอาชีพ โดยไม่ได้คิดถึงหลักการ เหตุผล ไม่มีความซับซ้อน (ยังไม่เคยเห็นเด็กคนไหนตอบว่าอยากเป็นท่าน ผอ. หรือนักกายภาพบำบัด)
วัยรุ่น
เมื่อค่อยๆโตขึ้นคำถามเหล่านั้นยังคงอยู่ในหัวเราทุกคน จนถึงช่วงวัยรุ่น คำถามเดิม
แต่ไม่ว่าจะเป็นคำตอบเดิมหรือเปลี่ยนไปจากเดิม ที่แน่ๆคำตอบนั้นจะผ่านกระบวนการของเหตุผล เงื่อนไข อารมณ์ และอีกหลายๆอย่าง ต่างจากตอนเด็กๆ จนถึงวันที่จะต้องกรอกรหัสเลือกคณะในใบสมัครเอนทรานซ์(เนื่องจากตอนนั้น จขกท. ยังใช้ระบบนั้นอยู่)
เป็นวันที่เราคิดว่าจะต้องตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตต่อจากนี้ เป็นเหมือนวันที่กำหนดอนาคต แต่ถ้ามองดีๆ มันเป็นเพียงแค่ระบบที่ให้เราต้องเลือกเท่านั้น แต่มันมีผลต่อเข็มทิศชีวิตของเราด้วยเช่นกัน
ผู้ใหญ่
วัยที่เต็มไปด้วยเหตุผล หลักการ และความรับผิดชอบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมมองว่าเป็นศัตรูตัวสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่า”ความฝัน” ความฝันคือ สิ่งที่อยากทำ ชอบ ทำแล้วมีความสุข ไม่ต้องการเหตุผลมากกว่านี้
ซึ่งทำให้เราได้เห็นเภสัชกรมาเป็นนักเขียน สจ๊วตมาเป็นนักดนตรีร๊อค
ซึ่งต่างจาก”ความจริง” ความจริง คือ สิ่งที่จำเป็นต้องทำ สร้างรายได้ เป็นหน้าที่ ชอบหรือไม่ ก็ต้องทำ ผมเชื่อว่ากว่า 90% ของท่านที่กำลังอ่านกระทู้นี้กำลังนั่งทำความจริงอยู่มิใช่ทำความฝัน และเก็บความฝันใส่ลิ้นชักไปแล้ว (บางท่านเก็บเข้าตู้เซฟ และลืมรหัสเปิดไปแล้ว) บางท่านอาจแย้งว่า”ก็ทำความจริงเพื่อมีเงิน มีเงินเต็มกระเป๋าเมื่อไหร่ ก็เอาไปสานฝันได้ไม่ยาก” อันนี้ผมไม่เถียง แต่วันที่คุณมีเงินเต็มกระเป๋าเมื่อไหร่ คุณอาจนั่งอยู่บนรถเข็นก็ได้ หรือบางท่านอาจบอกว่า
“ฉันมีเงินเยอะแยะ แม้อาจจะไม่ใช่ความฝัน แต่ฉันก็พอใจกับมันนะ” อันนี้ผมก็ไม่เถียงเช่นกัน
แต่ในมุมมองของผม คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มิใช่คนที่มีเงินมากมายจนใช้ไม่หมด
“แต่เป็นคนที่สร้างรายได้จากความฝันที่ไม่มีวันหมดของตัวเอง”
เส้นทางฝัน
“เงินคือสิ่งจำเป็นที่สุดในการทำตามฝันหรือไม่?”
“ความฝันก็คือการลงทุน เพียงแต่ผลกำไรอาจไม่ใช่เงิน”
ผมได้ดูหนังไทยเรื่องหนึ่ง “ยอดมนุษย์เงินเดือน” สะท้อนสังคมของคนทำงานกินเงินเดือนได้เป็นอย่างดี เนื้อเรื่องถ่ายทอดให้เห็นถึงการใช้ชีวิตของคนที่ทำงาน ในเมืองใหญ่ ผ่านตัวละครที่มีที่มาต่างกัน มาใช้ชีวิตการทำงานร่วมกันในสำนักงาน โดยตัวพระเอกกับนางเอก มีทัศนคติต่างกันอย่างชัดเจน (ตอนแรก ทะเลาะกัน) ตัวพระเอกนั้นเป็นคนมีระเบียบ มีแผนการดำเนินชีวิตรัดกุม ตรงข้ามกับนางเอกที่ทำทุกอย่างตามอารมณ์ แต่สิ่งที่มีเหมือนกันคือ “ความฝัน” ผมชื่นชมคนที่ถ่ายทอดเรื่องราวในหนังเรื่องนี้ออกมา ในมุมมองที่ว่าการทำตามความฝันของคนเราในสังคมปัจจุบันนั้นมีรูปแบบ คือ
A.การสร้างรายได้ให้ได้มากที่สุด เร็วที่สุดเพื่อทำตามความฝัน (พระเอก)
B.ทำความฝันทันที เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ วินาทีนี้ (นางเอก)
คำตอบคงรู้อยู่ในใจ เอ้า!ไปเถียงกันเล่นๆ
“ในความเป็นจริงทำได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่ปัญหาแต่ปัญหาที่แท้จริงคือยังไม่ได้ลงมือทำ”
“นับให้ถึงร้อยนั้นไม่ยากแต่สิ่งที่ยากคือการเริ่มต้นนับหนึ่ง”
“การสร้างเงื่อนไขให้ตนเอง คือการยอมรับแล้วครึ่งหนึ่ง ว่าไม่มีทางที่ฝันจะเป็นจริง”
วินทร์ เลียววาริน ยกตัวอย่างของคนที่ก้าวข้ามเงื่อนไขของตนเองได้สำเร็จ ในหนังสือ “ความฝันโง่ๆ”
คริส มูน
พื้นที่ที่ฝังทุ่นระเบิดในโมซัมบิค อัฟริกา เต็มไปด้วยกับระเบิดที่รอการ ‘ทำความสะอาด’ ครั้งใหญ่ พื้นที่ที่เขาเหยียบน่าจะ ‘สะอาด’ แต่เสียงฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นในวินาทีที่ผ่านมาบอกเขาว่า พื้นที่นี้ยังห่างไกลจากความสะอาด
ปีนั้นคือ 1995 คริส มูน ไปเยือนโมซัมบิค ในงานอาสาสมัคร แรงระเบิดตัดขาขวาท่อนล่างกับแขนขวาขาดกระเด็น เขาเสียเลือดไปมาก
ออกจากโรงพยาบาลอัฟริกาไม่ถึงหนึ่งปี คริส มูน ใส่ขาเทียมไปร่วมวิ่ง ลอนดอน มาราธอน เพื่อหาทุนมาเพื่อคนพิการจากกับระเบิดในเขมร
เมษายน ปี 1997 เขาเป็นคนพิการขาขาดคนแรกในโลกที่วิ่ง The Great Sahara Run ฝ่าระยะทาง 250 กิโลเมตรในทะเลทรายสะฮาราสำเร็จ มันเป็นการวิ่งวิบากที่สุดในโลก ใช้เวลาวิ่งหกวัน ใต้ความร้อนจัดของแดดอัฟริกัน และเม็ดทรายระอุแห่งสะฮารา นักวิ่งทุกคนต้องพกพาอาหารและอุปกรณ์ทุกอย่างไปเอง นอกจากจะทำเพื่อพิสูจน์ขีดจำกัดของเขาเองแล้ว ยังเป็นการวิ่งเรี่ยไรเงินหนึ่งแสนเหรียญสำหรับองค์การกาชาดสากลเพื่อจัดหา แขนขาเทียมในเวียดนาม
ในเดือนกรกฎาคม ปี 1997 คริส มูน วิ่งทางสองร้อยกิโลเมตรในเวลาสี่วันร่วมกับกองทัพออสเตรเลีย เพื่อช่วยเหยื่อกับระเบิด
ในการแข่งขันโอลิมปิคฤดูหนาวที่นากาโนะ ญี่ปุ่น ในปี 1998 คริส มูน ได้รับเกียรติให้เป็นนักวิ่งผู้ถือคบเพลิงโอลิมปิคไปยังสนามกีฬาโอลิมปิค
คบเพลิงชีวิตของเขาไม่เคยมอดดับ
คริส มูน เป็นตัวอย่างของมนุษย์ที่ไม่ยอมให้อุปสรรคทางกายภาพมาบั่นทอนความฝัน ทัศนคติของเขาคือ ชีวิตไม่มีขีดจำกัด เขาไม่เชื่อในขีดจำกัด และพิสูจน์อย่างชัดเจนว่าไม่มีขีดจำกัดใดที่ขวางกั้นกำลังใจของมนุษย์
อุปสรรคทางกายเป็นเรื่องเล็กเสมอสำหรับคนที่ใช้กำลังใจเป็นเข็มทิศชีวิต
เพราะมนุษย์อาจสูญเสียองคาพยพแห่งกายได้ แต่หากไม่ยอมแพ้ นรกที่ไหนก็ขวางไม่ได้
http://www.zimbio.com/photos/Chris+Moon
“บางคนมัวแต่คิดน้อยใจว่าตนเอง ขาดต้นทุนชีวิต แต่หลายคนที่ทำตามความฝันจนสำเร็จนั้น ต้นทุนชีวิตล้วนติดลบทั้งสิ้น”
“ความฝันนั้นไม่มีวันหมดอายุครับ ตราบเท่าที่เรายังหายใจ แต่วันพรุ่งนี้เรายังจะหายใจรึเปล่า อันนี้ไม่รู้”
“ทำทุกครั้งที่มีโอกาส” โอกาสสำหรับบางคนหาไม่ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะง่าย ไม่มีขายในเซเว่น-อิเลฟเว่น (รับโอกาสเพิ่มไหมคะ ?) แต่จะทำอย่างไรเมื่อโอกาสนั้นมาหา อาจารย์ท่านหนึ่งสอนวิชาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม สมัยผมเป็นนิสิต บอกว่า
“โอกาสนั้นมาง่าย แต่จะหายไปในพริบตา”
กรีก มีรูปแกะสลักชื่อโอกาส ทุกๆวันจะคอยตอบคำถามคนที่ผ่านไปมา
“ท่านชื่ออะไร”
“ฉันชื่อโอกาส”
ใครเป็นคนแกะสลักท่านขึ้นมา
“ลีซีปัส”
ทำไมท่านจึงยืนเขย่งเท้า?
“เพื่อบ่งบอกว่าฉันอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม”
แล้วทำไมที่เท้าของท่านจึงมีปีก
“เพื่อแสดงให้เห็นว่าฉันจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว”
แต่ทำไมผมด้านหน้าของท่านจึงยาวอย่างนี้
“ก็เพื่อให้คนที่พบฉัน จะได้จับฉวยไว้ได้ง่าย”
แล้วทำไมหัวด้านหลังของท่านจึงล้าน ไม่มีผมแม้แต่เส้นเดียว
“ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า เมื่อฉันผ่านไปแล้ว ก็ยากที่จะจับฉันได้ใหม่”
ผมเคยถามหลานสาวผมว่าฝันอยากเป็นอะไร
เธอตอบว่า “หนูอยากอายุ 6 ขวบ หนูอายุ 5 ขวบมา สองปีแล้ว เบื่อ!!!!!!”
ลมหนาวแรกมาเยือน ขอตัวไปทำตามความฝัน(กลางวัน)ก่อนล่ะครับ เบื่อ!!!!
โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร?
เราทุกคนต้องเคยโดนผู้ใหญ่ถามว่า “โตขึ้นหนูฝันอยากเป็นอะไร?” เราก็จะตอบตามความชอบตอนนั้น อยากเป็นหมอ อยากเป็นนักดนตรี เป็นนักบิน อยากเป็นนายกฯ ฯลฯ ก็ว่าไป ส่วนมากจะได้รับคำตอบที่มีความชัดเจนของลักษณะอาชีพ โดยไม่ได้คิดถึงหลักการ เหตุผล ไม่มีความซับซ้อน (ยังไม่เคยเห็นเด็กคนไหนตอบว่าอยากเป็นท่าน ผอ. หรือนักกายภาพบำบัด)
วัยรุ่น
เมื่อค่อยๆโตขึ้นคำถามเหล่านั้นยังคงอยู่ในหัวเราทุกคน จนถึงช่วงวัยรุ่น คำถามเดิม
แต่ไม่ว่าจะเป็นคำตอบเดิมหรือเปลี่ยนไปจากเดิม ที่แน่ๆคำตอบนั้นจะผ่านกระบวนการของเหตุผล เงื่อนไข อารมณ์ และอีกหลายๆอย่าง ต่างจากตอนเด็กๆ จนถึงวันที่จะต้องกรอกรหัสเลือกคณะในใบสมัครเอนทรานซ์(เนื่องจากตอนนั้น จขกท. ยังใช้ระบบนั้นอยู่)
เป็นวันที่เราคิดว่าจะต้องตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตต่อจากนี้ เป็นเหมือนวันที่กำหนดอนาคต แต่ถ้ามองดีๆ มันเป็นเพียงแค่ระบบที่ให้เราต้องเลือกเท่านั้น แต่มันมีผลต่อเข็มทิศชีวิตของเราด้วยเช่นกัน
ผู้ใหญ่
วัยที่เต็มไปด้วยเหตุผล หลักการ และความรับผิดชอบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมมองว่าเป็นศัตรูตัวสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่า”ความฝัน” ความฝันคือ สิ่งที่อยากทำ ชอบ ทำแล้วมีความสุข ไม่ต้องการเหตุผลมากกว่านี้
ซึ่งทำให้เราได้เห็นเภสัชกรมาเป็นนักเขียน สจ๊วตมาเป็นนักดนตรีร๊อค
ซึ่งต่างจาก”ความจริง” ความจริง คือ สิ่งที่จำเป็นต้องทำ สร้างรายได้ เป็นหน้าที่ ชอบหรือไม่ ก็ต้องทำ ผมเชื่อว่ากว่า 90% ของท่านที่กำลังอ่านกระทู้นี้กำลังนั่งทำความจริงอยู่มิใช่ทำความฝัน และเก็บความฝันใส่ลิ้นชักไปแล้ว (บางท่านเก็บเข้าตู้เซฟ และลืมรหัสเปิดไปแล้ว) บางท่านอาจแย้งว่า”ก็ทำความจริงเพื่อมีเงิน มีเงินเต็มกระเป๋าเมื่อไหร่ ก็เอาไปสานฝันได้ไม่ยาก” อันนี้ผมไม่เถียง แต่วันที่คุณมีเงินเต็มกระเป๋าเมื่อไหร่ คุณอาจนั่งอยู่บนรถเข็นก็ได้ หรือบางท่านอาจบอกว่า
“ฉันมีเงินเยอะแยะ แม้อาจจะไม่ใช่ความฝัน แต่ฉันก็พอใจกับมันนะ” อันนี้ผมก็ไม่เถียงเช่นกัน
แต่ในมุมมองของผม คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มิใช่คนที่มีเงินมากมายจนใช้ไม่หมด
“แต่เป็นคนที่สร้างรายได้จากความฝันที่ไม่มีวันหมดของตัวเอง”
เส้นทางฝัน
“เงินคือสิ่งจำเป็นที่สุดในการทำตามฝันหรือไม่?”
“ความฝันก็คือการลงทุน เพียงแต่ผลกำไรอาจไม่ใช่เงิน”
ผมได้ดูหนังไทยเรื่องหนึ่ง “ยอดมนุษย์เงินเดือน” สะท้อนสังคมของคนทำงานกินเงินเดือนได้เป็นอย่างดี เนื้อเรื่องถ่ายทอดให้เห็นถึงการใช้ชีวิตของคนที่ทำงาน ในเมืองใหญ่ ผ่านตัวละครที่มีที่มาต่างกัน มาใช้ชีวิตการทำงานร่วมกันในสำนักงาน โดยตัวพระเอกกับนางเอก มีทัศนคติต่างกันอย่างชัดเจน (ตอนแรก ทะเลาะกัน) ตัวพระเอกนั้นเป็นคนมีระเบียบ มีแผนการดำเนินชีวิตรัดกุม ตรงข้ามกับนางเอกที่ทำทุกอย่างตามอารมณ์ แต่สิ่งที่มีเหมือนกันคือ “ความฝัน” ผมชื่นชมคนที่ถ่ายทอดเรื่องราวในหนังเรื่องนี้ออกมา ในมุมมองที่ว่าการทำตามความฝันของคนเราในสังคมปัจจุบันนั้นมีรูปแบบ คือ
A.การสร้างรายได้ให้ได้มากที่สุด เร็วที่สุดเพื่อทำตามความฝัน (พระเอก)
B.ทำความฝันทันที เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ วินาทีนี้ (นางเอก)
คำตอบคงรู้อยู่ในใจ เอ้า!ไปเถียงกันเล่นๆ
“ในความเป็นจริงทำได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่ปัญหาแต่ปัญหาที่แท้จริงคือยังไม่ได้ลงมือทำ”
“นับให้ถึงร้อยนั้นไม่ยากแต่สิ่งที่ยากคือการเริ่มต้นนับหนึ่ง”
“การสร้างเงื่อนไขให้ตนเอง คือการยอมรับแล้วครึ่งหนึ่ง ว่าไม่มีทางที่ฝันจะเป็นจริง”
วินทร์ เลียววาริน ยกตัวอย่างของคนที่ก้าวข้ามเงื่อนไขของตนเองได้สำเร็จ ในหนังสือ “ความฝันโง่ๆ”
คริส มูน
พื้นที่ที่ฝังทุ่นระเบิดในโมซัมบิค อัฟริกา เต็มไปด้วยกับระเบิดที่รอการ ‘ทำความสะอาด’ ครั้งใหญ่ พื้นที่ที่เขาเหยียบน่าจะ ‘สะอาด’ แต่เสียงฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นในวินาทีที่ผ่านมาบอกเขาว่า พื้นที่นี้ยังห่างไกลจากความสะอาด
ปีนั้นคือ 1995 คริส มูน ไปเยือนโมซัมบิค ในงานอาสาสมัคร แรงระเบิดตัดขาขวาท่อนล่างกับแขนขวาขาดกระเด็น เขาเสียเลือดไปมาก
ออกจากโรงพยาบาลอัฟริกาไม่ถึงหนึ่งปี คริส มูน ใส่ขาเทียมไปร่วมวิ่ง ลอนดอน มาราธอน เพื่อหาทุนมาเพื่อคนพิการจากกับระเบิดในเขมร
เมษายน ปี 1997 เขาเป็นคนพิการขาขาดคนแรกในโลกที่วิ่ง The Great Sahara Run ฝ่าระยะทาง 250 กิโลเมตรในทะเลทรายสะฮาราสำเร็จ มันเป็นการวิ่งวิบากที่สุดในโลก ใช้เวลาวิ่งหกวัน ใต้ความร้อนจัดของแดดอัฟริกัน และเม็ดทรายระอุแห่งสะฮารา นักวิ่งทุกคนต้องพกพาอาหารและอุปกรณ์ทุกอย่างไปเอง นอกจากจะทำเพื่อพิสูจน์ขีดจำกัดของเขาเองแล้ว ยังเป็นการวิ่งเรี่ยไรเงินหนึ่งแสนเหรียญสำหรับองค์การกาชาดสากลเพื่อจัดหา แขนขาเทียมในเวียดนาม
ในเดือนกรกฎาคม ปี 1997 คริส มูน วิ่งทางสองร้อยกิโลเมตรในเวลาสี่วันร่วมกับกองทัพออสเตรเลีย เพื่อช่วยเหยื่อกับระเบิด
ในการแข่งขันโอลิมปิคฤดูหนาวที่นากาโนะ ญี่ปุ่น ในปี 1998 คริส มูน ได้รับเกียรติให้เป็นนักวิ่งผู้ถือคบเพลิงโอลิมปิคไปยังสนามกีฬาโอลิมปิค
คบเพลิงชีวิตของเขาไม่เคยมอดดับ
คริส มูน เป็นตัวอย่างของมนุษย์ที่ไม่ยอมให้อุปสรรคทางกายภาพมาบั่นทอนความฝัน ทัศนคติของเขาคือ ชีวิตไม่มีขีดจำกัด เขาไม่เชื่อในขีดจำกัด และพิสูจน์อย่างชัดเจนว่าไม่มีขีดจำกัดใดที่ขวางกั้นกำลังใจของมนุษย์
อุปสรรคทางกายเป็นเรื่องเล็กเสมอสำหรับคนที่ใช้กำลังใจเป็นเข็มทิศชีวิต
เพราะมนุษย์อาจสูญเสียองคาพยพแห่งกายได้ แต่หากไม่ยอมแพ้ นรกที่ไหนก็ขวางไม่ได้
http://www.zimbio.com/photos/Chris+Moon
“บางคนมัวแต่คิดน้อยใจว่าตนเอง ขาดต้นทุนชีวิต แต่หลายคนที่ทำตามความฝันจนสำเร็จนั้น ต้นทุนชีวิตล้วนติดลบทั้งสิ้น”
“ความฝันนั้นไม่มีวันหมดอายุครับ ตราบเท่าที่เรายังหายใจ แต่วันพรุ่งนี้เรายังจะหายใจรึเปล่า อันนี้ไม่รู้”
“ทำทุกครั้งที่มีโอกาส” โอกาสสำหรับบางคนหาไม่ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะง่าย ไม่มีขายในเซเว่น-อิเลฟเว่น (รับโอกาสเพิ่มไหมคะ ?) แต่จะทำอย่างไรเมื่อโอกาสนั้นมาหา อาจารย์ท่านหนึ่งสอนวิชาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม สมัยผมเป็นนิสิต บอกว่า
“โอกาสนั้นมาง่าย แต่จะหายไปในพริบตา”
กรีก มีรูปแกะสลักชื่อโอกาส ทุกๆวันจะคอยตอบคำถามคนที่ผ่านไปมา
“ท่านชื่ออะไร”
“ฉันชื่อโอกาส”
ใครเป็นคนแกะสลักท่านขึ้นมา
“ลีซีปัส”
ทำไมท่านจึงยืนเขย่งเท้า?
“เพื่อบ่งบอกว่าฉันอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม”
แล้วทำไมที่เท้าของท่านจึงมีปีก
“เพื่อแสดงให้เห็นว่าฉันจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว”
แต่ทำไมผมด้านหน้าของท่านจึงยาวอย่างนี้
“ก็เพื่อให้คนที่พบฉัน จะได้จับฉวยไว้ได้ง่าย”
แล้วทำไมหัวด้านหลังของท่านจึงล้าน ไม่มีผมแม้แต่เส้นเดียว
“ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า เมื่อฉันผ่านไปแล้ว ก็ยากที่จะจับฉันได้ใหม่”
ผมเคยถามหลานสาวผมว่าฝันอยากเป็นอะไร
เธอตอบว่า “หนูอยากอายุ 6 ขวบ หนูอายุ 5 ขวบมา สองปีแล้ว เบื่อ!!!!!!”
ลมหนาวแรกมาเยือน ขอตัวไปทำตามความฝัน(กลางวัน)ก่อนล่ะครับ เบื่อ!!!!