ช่วงนี้ หันไปทางไหนก็เจอแต่คำว่า "เจ"
เราก็อดคิดคำนวณไม่ได้ >,<
กระทู้นี้ไม่ tag อาหารเจ เพราะไม่อยากให้เป็นกระทู้ล่อเป้า
หากเปรียบการกินเจ เหมือนการทำบัญชีด้านการเงิน เราว่า คนที่คิดจะกินเจเพราะอยากได้บุญ เป็นการคิดตื้นๆ
เหมือนคนทำบัญชี ที่พอถึงวันที่ 31 ธันวาคม ก็ปล่อยผ่านไป ไม่ได้บันทึก "ดอกเบี้ยค้างจ่าย" หรือ "ดอกเบี้ยค้างรับ" แล้วค่อยไปกลับรายการในวันที่ 1 มกราคม ของปีถัดไป แต่ปล่อยข้ามไปเลย แล้วค่อยไปบันทึกตอนที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยหรือรับดอกเบี้ย
เราว่ามันเป็นการทำแบบตื้นๆ คิดตื้นๆ ไม่มีระบบ
---
ไก่ วัว หมู มันก็มีช่วงอายุของมัน
เห็นนักกินเจ หลายคนชอบพูดถึงช่วงเวลาที่ไก่ วัว หมู อยู่ในกรงขัง อย่างทรมาน โดนขังเป็นช่องๆขยับตัวไม่ได้ ทั้งชีวิตมีแต่กิน กับผสมพันธุ์ แล้วก็คลอดลูก แล้วก็รอวันโดนประหารชีวิต กลายเป็นอาหารของมนุษย์
การกินเจแค่ 10 วัน ในช่วงเทศกาลกินเจ แทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะช่วงชีวิตของไก่กับวัวและหมู และสัตว์อื่นๆ ก็มีช่วงชีวิตหลายปี เช่น อายุของไก่โดยเฉลี่ยก็จะอยู่ที่ 3-4 ปี
ถ้าหากเราต้องการจะช่วยชีวิตสัตว์พวกนี้จริงๆ เราควรจะหยุดทานเนื้อสัตว์อย่างต่ำก็ 3-4 ปี แล้วค่อยกลับไปทานใหม่
การที่เราหยุดทานเนื้อสัตว์แค่ 10 วัน มันก็แค่เป็นการยืดวันประหารของสัตว์พวกนี้ออกไปอีก 10 วัน
แต่ 10 วันที่สัตว์พวกนี้ไม่โดนประหาร มันก็ไม่ได้ถูกปล่อยออกมาเดินเล่นหรือได้รับความสุข หรืออิสระในการใช้ชีวิต มันก็ยังถูกขังเป็นช่องๆอยู่ในกรงขัง และยังได้รับความทุกข์ทรมานตามเดิม
มิหนำซ้ำ
คนที่กินเจยังมีเงื่อนไข ไม่กินกระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุ่ยช่าย ใบยาสูบ พืชพวกนี้ไม่ใช่สัตว์ (แต่กินหอยนางรมได้ O.O ทั้งๆที่หอยนางรมเป็นสัตว์)
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปทางไหนก็เห็นคำว่า "เจ" อยู่เต็มไปหมด แต่คนที่ทานเจเคยสงสัยกันไหม??? ว่าคนที่คิดระบบ "เจ" อาจจะคิดผิด หรือระบบอาจจะทำงานไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ไม่มีการแก้ไขอะไร
ถ้าหากการกินอาหารเจ ทำไปเพื่อล้างพิษในร่างกายหรือเพื่อสุขภาพร่างกาย พูดง่ายๆก็คือ "ทำเพื่อตัวคนที่กินเอง แต่ไม่ได้ทำเพื่อสัตว์ที่โดนกิน" อันนี้ก็แล้วไป ไม่ถือว่ามีความผิดพลาดอะไร เพราะจะกินอะไรมันก็สิทธิ์ของคุณ เพราะคุณทำเพื่อสุขภาพร่างกายของตัวเอง
แต่ถ้ากินเจเพื่อช่วยชีวิตสัตว์ เพราะอยากได้บุญหรืออะไรก็ตามที่คุณคิดว่า คุณทำเพื่อเพื่อนร่วมโลก แต่ไม่ใช่เพื่อตัวคุณเอง หากเป็นเช่นนี้ เราว่าระบบมันยังไม่สมบูรณ์นะ >,<
ระบบที่สมบูรณ์ ถ้าหากจะทำเพื่อช่วยชีวิตสัตว์จริงๆ น่าจะมีการปรับปรุงระบบ นำข้อเสียมาปรับปรุงให้มันถูกต้อง
เราขอยกตัวอย่างการปรับปรุงระบบนะ
1. เทศกาลกินเจแค่ 10 วัน แทบไม่มีผลอะไรกับสัตว์เลย เพราะยังไงมันก็โดนฆ่าอยู่ดี แล้ว 10 วันที่มนุษย์กินเจ พวกสัตว์ก็ยังถูกขังอย่างทรมาน มันไม่ได้มีความสุขขึ้นเลย >,<
- ถ้าเราเปลี่ยนจากเทศกาลกินเจ มาเป็นเทศกาลไถ่ชีวิตสัตว์จะดีกว่าไหม???
มันก็จะเกิดธุรกิจใหม่ขึ้นมา
ปัจจุบันนี้ เมื่อถึงเทศกาลกินเจ พ่อค้าแม่ค้ามักจะฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าที่เป็นเจ เช่นพวกผัก เต้าหู้ กลายเป็นว่าอาหารเจก็เลยแพงกว่าปกติ
ถ้าเราเปลี่ยนจากเทศกาลกินเจมาเป็น "เทศกาลไถ่ชีวิตสัตว์" มันก็ต้องมีธุรกิจขึ้นมาใหม่ คือ ธุรกิจโรงเลี้ยงสัตว์ที่คนนำมาปล่อย ซึ่งคนที่จะนำสัตว์ไปปล่อย ก็ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูสัตว์ด้วย เช่น วัว 1 ตัว ต้องจ่ายค่าอาหารและน้ำตลอดชีวิตของวัวตัวนั้น ประมาณ 1,000 บาท (หรืออาจจะมากกว่านี้ ก็แล้วแต่จะคำนวณ)
2. การกินเจ ก็ไม่ใช่ว่าจะถูกยกเลิกไป.. แต่ควรจะมีการชวนเชื่อแบบใหม่ ไม่ทำเทศกาลกินเจ 10 วัน แต่ควรทำเทศกาลไถ่ชีวิตสัตว์แทน 10 วัน แล้วหันไปรณรงค์การกินเจให้ครบช่วงอายุของสัตว์ต่างๆแทน เช่น ถ้าจะกินก็ต้องกินต่อเนื่องอย่างต่ำ 1-2 ปี หรือ 3-4 ปี อันนี้ก็แล้วแต่จะคิด ให้มันครบช่วงอายุของสัตว์ หรืออย่างน้อยๆก็ครึ่งอายุของสัตว์ก็ยังดี น่าจะมีผลกับการลดปริมาณการฆ่าสัตว์ได้บ้างพอสมควร (แต่ถ้างดกินสัตว์แค่ 10 วัน เราคิดว่ามันจะไม่มีผลกับการลดปริมาณการฆ่าสัตว์เลย มันแค่ยืดเวลาเฉยๆ แต่ไม่มีผลกับการลดปริมาณการฆ่า)
ถ้าคนหันมากินเจแบบต่อเนื่องเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี(หรือมากกว่า 1 ปีก็จะยิ่งดี) ปริมาณการฆ่าสัตว์ต้องลดลงแน่นอน พวกโรงฆ่าสัตว์ก็จะผสมพันธุ์สัตว์น้อยลง สัตว์จะถูกฆ่าน้อยลง
เราคิดว่า การทำระบบที่เห็นผลจริง มีประโยชน์จริง มันจะเกิดผลจริงๆมากกว่า
แต่การพูดคำว่า "กินเจ" เราว่ามันเป็น ระบบตื้นๆ คิดง่ายๆแค่ว่า "อยากได้บุญ อยากช่วยชีวิตสัตว์ ก็กินเจสิ่ แต่กินแค่ 10 วันพอ"
บางคนคิดว่า กินเจ 1 วันก็ได้บุญ แต่เราว่ามันไม่ใช่ละ ><
ลองนึกภาพถ้าเราเป็นไก่หรือวัวที่กำลังจะถูกฆ่า ถ้าเราเป็นวัวแล้วเราฟังภาษามนุษย์รู้เรื่อง แล้วเราได้ยินมนุษย์คุยกันว่าวันนี้เขาจะยังไม่ฆ่าเรา เพราะเขาอยากได้บุญ เขาจะกินแต่ผัก
แต่พอวันพรุ่งนี้ เขาเลิกกินผัก เลิกกินเจ เขาก็มาฆ่าเราอยู่ดี ถ้าเราเป็นวัวเราจะไม่รู้สึกว่าเราติดหนี้บุญคุณเขาเลยที่เขาเว้นชีวิตเราแค่ 1 วัน ยังไงเราก็จะยังโกรธแค้นเขาอยู่ดี และมองเขาเป็นมนุษย์ที่โหดร้ายอยู่ดี
1 วันนะ.. มันแทบไม่ช่วยอะไร ถ้า 1 วันนี้ พาเราออกจากกรงขังสิ่ ให้เราได้ใช้ชีวิตตามธรรมชาติของเราสิ่ จากนั้นค่อยเอาเรากลับไปขังและฆ่าเรา แบบนี้ก็ยังได้บุญกว่าไหม?
หรือถ้าสามารถเอาเราออกจากกรงขังได้เลย ยิ่งดี นี่สิ่ถึงจะถือว่า ท่านมีบุญคุณกับเราจริงๆ
แต่ถ้าท่าน ไว้ชีวิตเราแค่ 1 วัน และ 1 วันนี้ เราก็ยังถูกขังอยู่ในกรงขังอย่างทรมาน แล้ววันต่อมา ท่านก็ฆ่าเราอยู่ดี แบบนี้เราไม่คิดว่าท่านมีพระคุณกับเราหรอกนะ --'
---
มีคนถามว่า ถ้าไถ่ชีวิตสัตว์แล้วจะเอาไปไว้ที่ไหน???
ถ้ามีเทศกาลไถ่ชีวิตสัตว์จริง สถานที่รองรับมันจะมีตามมาเองนั่นแหละ(Demand & Supply) เพราะเดี๋ยวก็จะมีคนทำธุรกิจโรงรับเลี้ยงสัตว์ที่ถูกไถ่ชีวิตมา (เหมือนที่มีคนพยายามทำธุรกิจเนื้อสัตว์เทียม โปรตีนสังเคราะห์ เพื่อตอบสนองเทศกาลกินเจ)
ขนาดเทศกาลกินเจ ก็ยังมีธุรกิจเกี่ยวกับอาหารเจมากมาย
คนทำธุรกิจนี่นะ เขาจะฉวยโอกาสดีๆอยู่แล้วแหละ มีเทศกาลอะไร เขาก็จะคิดค้นธุรกิจมารองรับเองแหละ
ถ้ามีเทศกาลไถ่ชีวิตสัตว์จริง เดี๋ยวมันก็จะมีธุรกิจเกี่ยวกับสถานที่รองรับสัตว์เหล่านี้เองนั่นแหละ
นักการเงิน นักบัญชี คิดยังไงกับเทศกาลกินเจ ? [กระทู้สนทนา]
เราก็อดคิดคำนวณไม่ได้ >,<
กระทู้นี้ไม่ tag อาหารเจ เพราะไม่อยากให้เป็นกระทู้ล่อเป้า
หากเปรียบการกินเจ เหมือนการทำบัญชีด้านการเงิน เราว่า คนที่คิดจะกินเจเพราะอยากได้บุญ เป็นการคิดตื้นๆ
เหมือนคนทำบัญชี ที่พอถึงวันที่ 31 ธันวาคม ก็ปล่อยผ่านไป ไม่ได้บันทึก "ดอกเบี้ยค้างจ่าย" หรือ "ดอกเบี้ยค้างรับ" แล้วค่อยไปกลับรายการในวันที่ 1 มกราคม ของปีถัดไป แต่ปล่อยข้ามไปเลย แล้วค่อยไปบันทึกตอนที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยหรือรับดอกเบี้ย
เราว่ามันเป็นการทำแบบตื้นๆ คิดตื้นๆ ไม่มีระบบ
---
ไก่ วัว หมู มันก็มีช่วงอายุของมัน
เห็นนักกินเจ หลายคนชอบพูดถึงช่วงเวลาที่ไก่ วัว หมู อยู่ในกรงขัง อย่างทรมาน โดนขังเป็นช่องๆขยับตัวไม่ได้ ทั้งชีวิตมีแต่กิน กับผสมพันธุ์ แล้วก็คลอดลูก แล้วก็รอวันโดนประหารชีวิต กลายเป็นอาหารของมนุษย์
การกินเจแค่ 10 วัน ในช่วงเทศกาลกินเจ แทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะช่วงชีวิตของไก่กับวัวและหมู และสัตว์อื่นๆ ก็มีช่วงชีวิตหลายปี เช่น อายุของไก่โดยเฉลี่ยก็จะอยู่ที่ 3-4 ปี
ถ้าหากเราต้องการจะช่วยชีวิตสัตว์พวกนี้จริงๆ เราควรจะหยุดทานเนื้อสัตว์อย่างต่ำก็ 3-4 ปี แล้วค่อยกลับไปทานใหม่
การที่เราหยุดทานเนื้อสัตว์แค่ 10 วัน มันก็แค่เป็นการยืดวันประหารของสัตว์พวกนี้ออกไปอีก 10 วัน
แต่ 10 วันที่สัตว์พวกนี้ไม่โดนประหาร มันก็ไม่ได้ถูกปล่อยออกมาเดินเล่นหรือได้รับความสุข หรืออิสระในการใช้ชีวิต มันก็ยังถูกขังเป็นช่องๆอยู่ในกรงขัง และยังได้รับความทุกข์ทรมานตามเดิม
มิหนำซ้ำ
คนที่กินเจยังมีเงื่อนไข ไม่กินกระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุ่ยช่าย ใบยาสูบ พืชพวกนี้ไม่ใช่สัตว์ (แต่กินหอยนางรมได้ O.O ทั้งๆที่หอยนางรมเป็นสัตว์)
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปทางไหนก็เห็นคำว่า "เจ" อยู่เต็มไปหมด แต่คนที่ทานเจเคยสงสัยกันไหม??? ว่าคนที่คิดระบบ "เจ" อาจจะคิดผิด หรือระบบอาจจะทำงานไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ไม่มีการแก้ไขอะไร
ถ้าหากการกินอาหารเจ ทำไปเพื่อล้างพิษในร่างกายหรือเพื่อสุขภาพร่างกาย พูดง่ายๆก็คือ "ทำเพื่อตัวคนที่กินเอง แต่ไม่ได้ทำเพื่อสัตว์ที่โดนกิน" อันนี้ก็แล้วไป ไม่ถือว่ามีความผิดพลาดอะไร เพราะจะกินอะไรมันก็สิทธิ์ของคุณ เพราะคุณทำเพื่อสุขภาพร่างกายของตัวเอง
แต่ถ้ากินเจเพื่อช่วยชีวิตสัตว์ เพราะอยากได้บุญหรืออะไรก็ตามที่คุณคิดว่า คุณทำเพื่อเพื่อนร่วมโลก แต่ไม่ใช่เพื่อตัวคุณเอง หากเป็นเช่นนี้ เราว่าระบบมันยังไม่สมบูรณ์นะ >,<
ระบบที่สมบูรณ์ ถ้าหากจะทำเพื่อช่วยชีวิตสัตว์จริงๆ น่าจะมีการปรับปรุงระบบ นำข้อเสียมาปรับปรุงให้มันถูกต้อง
เราขอยกตัวอย่างการปรับปรุงระบบนะ
1. เทศกาลกินเจแค่ 10 วัน แทบไม่มีผลอะไรกับสัตว์เลย เพราะยังไงมันก็โดนฆ่าอยู่ดี แล้ว 10 วันที่มนุษย์กินเจ พวกสัตว์ก็ยังถูกขังอย่างทรมาน มันไม่ได้มีความสุขขึ้นเลย >,<
- ถ้าเราเปลี่ยนจากเทศกาลกินเจ มาเป็นเทศกาลไถ่ชีวิตสัตว์จะดีกว่าไหม???
มันก็จะเกิดธุรกิจใหม่ขึ้นมา
ปัจจุบันนี้ เมื่อถึงเทศกาลกินเจ พ่อค้าแม่ค้ามักจะฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าที่เป็นเจ เช่นพวกผัก เต้าหู้ กลายเป็นว่าอาหารเจก็เลยแพงกว่าปกติ
ถ้าเราเปลี่ยนจากเทศกาลกินเจมาเป็น "เทศกาลไถ่ชีวิตสัตว์" มันก็ต้องมีธุรกิจขึ้นมาใหม่ คือ ธุรกิจโรงเลี้ยงสัตว์ที่คนนำมาปล่อย ซึ่งคนที่จะนำสัตว์ไปปล่อย ก็ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูสัตว์ด้วย เช่น วัว 1 ตัว ต้องจ่ายค่าอาหารและน้ำตลอดชีวิตของวัวตัวนั้น ประมาณ 1,000 บาท (หรืออาจจะมากกว่านี้ ก็แล้วแต่จะคำนวณ)
2. การกินเจ ก็ไม่ใช่ว่าจะถูกยกเลิกไป.. แต่ควรจะมีการชวนเชื่อแบบใหม่ ไม่ทำเทศกาลกินเจ 10 วัน แต่ควรทำเทศกาลไถ่ชีวิตสัตว์แทน 10 วัน แล้วหันไปรณรงค์การกินเจให้ครบช่วงอายุของสัตว์ต่างๆแทน เช่น ถ้าจะกินก็ต้องกินต่อเนื่องอย่างต่ำ 1-2 ปี หรือ 3-4 ปี อันนี้ก็แล้วแต่จะคิด ให้มันครบช่วงอายุของสัตว์ หรืออย่างน้อยๆก็ครึ่งอายุของสัตว์ก็ยังดี น่าจะมีผลกับการลดปริมาณการฆ่าสัตว์ได้บ้างพอสมควร (แต่ถ้างดกินสัตว์แค่ 10 วัน เราคิดว่ามันจะไม่มีผลกับการลดปริมาณการฆ่าสัตว์เลย มันแค่ยืดเวลาเฉยๆ แต่ไม่มีผลกับการลดปริมาณการฆ่า)
ถ้าคนหันมากินเจแบบต่อเนื่องเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี(หรือมากกว่า 1 ปีก็จะยิ่งดี) ปริมาณการฆ่าสัตว์ต้องลดลงแน่นอน พวกโรงฆ่าสัตว์ก็จะผสมพันธุ์สัตว์น้อยลง สัตว์จะถูกฆ่าน้อยลง
เราคิดว่า การทำระบบที่เห็นผลจริง มีประโยชน์จริง มันจะเกิดผลจริงๆมากกว่า
แต่การพูดคำว่า "กินเจ" เราว่ามันเป็น ระบบตื้นๆ คิดง่ายๆแค่ว่า "อยากได้บุญ อยากช่วยชีวิตสัตว์ ก็กินเจสิ่ แต่กินแค่ 10 วันพอ"
บางคนคิดว่า กินเจ 1 วันก็ได้บุญ แต่เราว่ามันไม่ใช่ละ ><
ลองนึกภาพถ้าเราเป็นไก่หรือวัวที่กำลังจะถูกฆ่า ถ้าเราเป็นวัวแล้วเราฟังภาษามนุษย์รู้เรื่อง แล้วเราได้ยินมนุษย์คุยกันว่าวันนี้เขาจะยังไม่ฆ่าเรา เพราะเขาอยากได้บุญ เขาจะกินแต่ผัก
แต่พอวันพรุ่งนี้ เขาเลิกกินผัก เลิกกินเจ เขาก็มาฆ่าเราอยู่ดี ถ้าเราเป็นวัวเราจะไม่รู้สึกว่าเราติดหนี้บุญคุณเขาเลยที่เขาเว้นชีวิตเราแค่ 1 วัน ยังไงเราก็จะยังโกรธแค้นเขาอยู่ดี และมองเขาเป็นมนุษย์ที่โหดร้ายอยู่ดี
1 วันนะ.. มันแทบไม่ช่วยอะไร ถ้า 1 วันนี้ พาเราออกจากกรงขังสิ่ ให้เราได้ใช้ชีวิตตามธรรมชาติของเราสิ่ จากนั้นค่อยเอาเรากลับไปขังและฆ่าเรา แบบนี้ก็ยังได้บุญกว่าไหม?
หรือถ้าสามารถเอาเราออกจากกรงขังได้เลย ยิ่งดี นี่สิ่ถึงจะถือว่า ท่านมีบุญคุณกับเราจริงๆ
แต่ถ้าท่าน ไว้ชีวิตเราแค่ 1 วัน และ 1 วันนี้ เราก็ยังถูกขังอยู่ในกรงขังอย่างทรมาน แล้ววันต่อมา ท่านก็ฆ่าเราอยู่ดี แบบนี้เราไม่คิดว่าท่านมีพระคุณกับเราหรอกนะ --'
---
มีคนถามว่า ถ้าไถ่ชีวิตสัตว์แล้วจะเอาไปไว้ที่ไหน???
ถ้ามีเทศกาลไถ่ชีวิตสัตว์จริง สถานที่รองรับมันจะมีตามมาเองนั่นแหละ(Demand & Supply) เพราะเดี๋ยวก็จะมีคนทำธุรกิจโรงรับเลี้ยงสัตว์ที่ถูกไถ่ชีวิตมา (เหมือนที่มีคนพยายามทำธุรกิจเนื้อสัตว์เทียม โปรตีนสังเคราะห์ เพื่อตอบสนองเทศกาลกินเจ)
ขนาดเทศกาลกินเจ ก็ยังมีธุรกิจเกี่ยวกับอาหารเจมากมาย
คนทำธุรกิจนี่นะ เขาจะฉวยโอกาสดีๆอยู่แล้วแหละ มีเทศกาลอะไร เขาก็จะคิดค้นธุรกิจมารองรับเองแหละ
ถ้ามีเทศกาลไถ่ชีวิตสัตว์จริง เดี๋ยวมันก็จะมีธุรกิจเกี่ยวกับสถานที่รองรับสัตว์เหล่านี้เองนั่นแหละ