ทารุณเด็ก-สตรีเฉลี่ยทุก 20 นาที สธ.แฉพ่อทำร้ายแม่ ลูกเสี่ยงเป็นตุ๊ด-ทอม

ที่มา: หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556



สังคมไทยน่าห่วง คนก่อเหตุทำร้ายผู้หญิง-เด็กเฉลี่ยทุก 20 นาที เผยอันดับ 1 ตบตีทำร้ายร่างกายมากสุดในผู้ใหญ่ ส่วนเด็กวิกฤติสุด ถูกข่มขืนคุกคามทางเพศหนัก เตือนพ่อตบตีแม่ส่งผลลูกเป็นกะเทย-ทอม

เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม สธ. เผยในรอบ 5 ปี สังคมไทยใช้ความรุนแรง ทำร้ายสตรีและเด็ก ต้องส่งโรงพยาบาลภาครัฐจำนวน 117,506 ราย เฉลี่ยก่อเหตุทุก 20 นาที ปัญหาอันดับหนึ่งของผู้ใหญ่คือ ถูกทำร้ายร่างกาย ส่วนในเด็กคือ ถูกคุกคามทางเพศ โดยเฉพาะเด็กที่เกิดจากครอบครัวที่มีปัญหาพ่อแม่ตีกัน อาจมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง หรือบางครั้งเด็กผู้หญิงจะห้าวเหมือนเด็กชาย เพราะต้องการปกป้องแม่ ขณะที่เด็กชายไม่อยากเลียนแบบความเป็นชายจากพ่อ จะอ่อนแอคล้ายเพศหญิง เพราะมองว่าผู้ชายเป็นเพศชอบทำร้ายผู้หญิง แนะพ่อแม่จะต้องช่วยกันสร้างครอบครัวให้อบอุ่น โดยเฉพาะช่วงวัยเด็กแรกเกิดถึง 2 ขวบ

เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ความรุนแรงในเด็กและสตรีเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันในสังคมไทย โดยนับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งนี้จากสถิติการให้บริการของศูนย์พึ่งได้ในโรงพยาบาลทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี 2550-2554 มีเด็กและสตรีที่ถูกกระทำรุนแรง ต้องส่งเข้ารับบริการจำนวน 117,506 ราย เฉลี่ยปีละ 23,501 ราย หรือก่อเหตุทุก 20 นาที ล่าสุดปี 2554 มีเด็กและสตรีถูกกระทำจำนวน 22,565 ราย เป็นเด็ก 11,491 ราย เป็นหญิงอายุ 18 ปีขึ้นไป 11,074 ราย

"ปัญหาที่พบในกลุ่มเด็กอันดับ 1 คือ การถูกล่วงละเมิดทางเพศ พบ 8,518 ราย รองลงมาคือ ทางร่างกาย 2,413 ราย และทางด้านจิตใจ 262 ราย ผู้ทำร้ายส่วนใหญ่คือคนรู้จัก สาเหตุหลักคือ ผู้กระทำได้รับแรงกระตุ้นจากสื่อลามก ความใกล้ชิด และโอกาสเอื้ออำนวย รองลงมาคือการดื่มสุรา ใช้สารเสพติด ส่วนการบาดเจ็บในกลุ่มผู้หญิงอายุ 18 ปีขึ้นไป อันดับ 1 คือ การถูกกระทำต่อร่างกาย เช่น ถูกทุบตี 8,716 ราย ผู้ทำร้ายส่วนใหญ่เป็นผู้ใกล้ชิด เช่น สามี แฟน สาเหตุอันดับ 1 ได้แก่ การนอกใจ ทะเลาะ หึงหวง รองลงมาคือ เมาสุรา และใช้สารเสพติดอื่นๆ" นายสรวงศ์กล่าว

นายสรวงศ์กล่าวว่า การกระทำรุนแรงส่วนใหญ่เกิดขึ้นในครอบครัว ซึ่งสังคมไทยยังมีความเชื่อว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ควรเปิดเผยให้ใครทราบ และเด็กจะตกเป็นเหยื่อความรุนแรงได้ง่าย เพราะไม่รู้เท่าทันผู้ใหญ่ ไม่มีประสบการณ์ป้องกันตัวเอง โดยเด็กจะถูกขู่ไม่ให้บอกใคร หรือครอบครัวไม่ยอมให้เปิดเผยเพราะกลัวอับอาย จึงต้องเร่งกระตุ้นให้สังคมไทยเกิดความตระหนัก และร่วมกันแก้ไขป้องกัน ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขได้ตั้งหน่วยบริการเฉพาะ คือ ศูนย์พึ่งได้ในโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศ ให้บริการแบบสหวิชาชีพและครบวงจร ทั้งด้านการแพทย์ ซึ่งให้การดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ การสังคมสงเคราะห์ ด้านกฎหมาย

ขณะที่ พญ.เบญจพร ปัญญายง ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า จากข้อมูลระบบเฝ้าระวังการบาดเจ็บรุนแรงแห่งชาติ (IS) ปี พ.ศ. 2550-2555 การบาดเจ็บรุนแรงในผู้หญิงจากการถูกทำร้ายด้วยวิธีต่างๆ พบว่า การถูกทำร้ายโดยการใช้กำลังกาย รวมอาละวาดหรือต่อสู้โดยไม่ใช้อาวุธมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 32 หรือประมาณ 1 ใน 3 ของเหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมด มีข้อสังเกตว่า หากมีอาการมึนเมาทั้งคู่ การบาดเจ็บจะรุนแรงกว่าคนที่อีกฝ่ายไม่ได้ดื่มเหล้า อันเนื่องจากการขาดสติยั้งคิด รองลงมาคือ การถูกทำร้ายโดยการใช้อาวุธไม่มีคม ร้อยละ 21 ถูกทำร้ายโดยการอาวุธมีคม ร้อยละ 19 ถูกทำร้ายโดยการใช้อาวุธปืนไม่ระบุชนิด ร้อยละ 11 การถูกทำร้ายโดยไม่ระบุวิธี รวมลอบสังหาร ฆาตกรรม ร้อยละ 7 การถูกทำร้ายทางเพศโดยการใช้กำลังกาย รวมการข่มขืน ร้อยละ 4

พญ.เบญจพร กล่าวต่อว่า จากการศึกษารายกรณีที่เป็นผู้ก่อความรุนแรง พบว่า มีประวัติอยู่ในครอบครัวที่ใช้ความรุนแรงมาก่อน หรืออาศัยอยู่ในสังคมแวดล้อมที่มีการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ทำให้ซึมซับพฤติกรรมรุนแรงและเกิดความเคยชิน เมื่อมาประสบกับปัญหา จะแก้ปัญหาด้วยวิธีการรุนแรงและก้าวร้าวเช่นกัน และพบว่าครอบครัวที่มีพ่อทำร้ายแม่ จะทำให้ลูกสาวมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนมาทางชาย เนื่องจากไม่ต้องการให้ตนเองอ่อนแอเหมือนแม่ และมีพฤติกรรมก้าวร้าวปกป้องตนเองและแม่ไม่ให้ถูกทำร้าย ส่วนครอบครัวที่มีลูกชายก็จะมีพฤติกรรมกลายเป็นผู้หญิงแททน มีอาการเศร้าซึม เก็บตัว ไม่อยากเป็นผู้ชาย เพราะมองว่าผู้ชายชอบทำร้ายผู้หญิง

"ในการป้องกันปัญหาการใช้ความรุนแรง พ่อแม่จะต้องช่วยกันสร้างครอบครัวให้เป็นสุข และให้ความอบอุ่นแก่ลูกทุกคน สร้างความรักและความผูกพันกับลูกๆ โดยเฉพาะเด็กแรกเกิดถึง 2 ขวบ ซึ่งเป็นวัยที่ต้องพึ่งพาพ่อแม่ และเป็นช่วงที่สมองของเด็กพัฒนามากที่สุด ในการอบรมลูกควรเลือกใช้วิธีอื่นแทนการเฆี่ยนตี เช่น ทำงานชดเชย งดเที่ยวเล่น เป็นต้น และไม่ควรใช้ความรุนแรงทั้งพฤติกรรมและวาจาต่อหน้าเด็ก แม้ว่าเด็กจะดูเหมือนว่ายังไม่รู้เรื่องก็ตาม สิ่งที่เด็กเห็นหรือสัมผัสจะฝั่งอยู่ใต้จิตสำนึกของเด็กตลอดไป" พญ.เบญจพร กล่าว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่