ที่มา: หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556
เคยนึกสงสัยบ้างหรือไม่ว่า การตั้งชื่อหรือเรียกชื่อเชื้อไวรัสชนิดใหม่ อาการป่วยใหม่ หรือพฤติกรรมประหลาดของคน ใครเป็นผู้กำหนด และมีหลักเกณฑ์อย่างไร บางครั้งจึงเรียกชื่อตามสถานที่ อย่างเชื้อไวรัส H1N1 ที่ระบาดไปทั่วโลกในปี 2552 นั้น ถูกตั้งชื่อเมื่อเริ่มแรกว่า ไข้หวัดหมูเม็กซิกัน หรือตั้งตามชื่อตัวละครในวรรณกรรมคลาสสิก อย่างภาวะลมหายใจบกพร่องจากโรคอ้วน ที่เรียกอีกชื่อว่า "พิควิเคียน" (Pickwickian) ตามชื่อตัวละครร่างอ้วนในนวนิยายของชาร์ลส ดิคเดค มีอาการผิดปกติบางชนิดที่เรียกตามชื่อนักกีฬาชื่อดัง หรือแพทย์ผู้ค้นพบทางรักษาบ้าง
คำตอบคือ ไม่มีหน่วยงานกลางหรือหลักเกณฑ์กำกับเรื่องการตั้งชื่อตายตัว และปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นคือ หากตั้งชื่อไม่เข้าหูผู้ถูกพาดพิง หรือชื่อไม่เป็นมงคลตั้งแต่แรกแล้ว ก็ยากที่คนทั่วไปจะเปลี่ยนไปเรียกชื่อใหม่ได้
อย่างไวรัสโคโรนาโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือเมอร์ส-คอฟ (Middle East Respiratory Syndrome Coronavirus-MERS-CoV) ที่คร่าชีวิตผู้ป่วย 58 คนจากผู้ติดเชื้อทั้งหมด 130 คนในซาอุดีอาระเบีย ตูนิเซีย จอร์แดน กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นับจากปี 2555 ชื่อเรียกที่เรียกกันคือ ไวรัสซาอุดีอาระเบีย เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ชาวอียิปต์พบเชื้อไวรัสต้นเหตุครั้งแรกในผู้ป่วยชาวซาอุฯ
แต่นายรอน ฟูเชียร์ นักวิทยาศาสตร์ศูนย์การแพทย์ "เอราสมุส" ในเนเธอร์แลนด์ ที่ร่วมวิเคราะห์เชื้อไวรัสใหม่นี้ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ซาอุฯ ไม่ปลื้อเลยกับชื่อ จึงเปลี่ยนใหม่เป็นไวรัส HCoV-EMC ย่อจากไวรัสโคโรนาในมนุษย์ เอรามุส เอ็มซี (Human coronavirus Erasmus) แต่ผู้นำซาอุฯ ก็ยังไม่พอใจอีก ตนกับนักวิจัยท่านอื่นๆ จึงประชุมหารือกัน ก่อนได้สรุปเป็นเมอร์ส-คอฟ
องค์การอนามัยโลกอนุมัติชื่อนี้เมื่อพฤษภาคม แต่มีเสริมท้ายว่า โดยทั่วไป องค์การอนามัยโลกไม่นิยมตั้งชื่อไวรัสโดยพาดพิงแหล่งต้นตอที่มาหรือสถานที่ที่พบเชื้อครั้งแรก
ความที่ไม่มีหน่วยงานกลางที่กำกับเรื่องการตั้งชื่อเชื้อโรคและอาการป่วยใหม่ ทำให้หลายครั้งต้องหาชื่อใหม่มาใช้แทนชื่อเดิมหลายครั้งกว่าจะได้ข้อสรุป สร้างความยุ่งยากไม่น้อย และบางครั้งชื่อที่ตั้งไว้ไม่เหมาะสมในตอนแรกก็หายไปอย่างรวดเร็ว อย่างไวรัสเอชไอวี สาเหตุของโรคเอดส์ ครั้งหนึ่งเคยได้รับการตั้งชื่อว่า เชื้อ 4-H ซึ่งพาดพิงถึงชาวเฮติ รักเพศเดียวกัน โรคทางพันธุกรรมที่ทำให้เลือดไหลไม่หยุด และเฮโรอีน (Haitians, Homosexuals, Hemophiliacs และ Heroin) จากนั้น ชื่อ GRID หรือ Gay-related Immunodeficiency โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เกี่ยวกับเกย์ เป็นอีกชื่อหนึ่งที่มีผู้นำมาใช้ในปี 2528 แล้วก็หายไปในเวลาไม่นาน กว่าจะลงตัวที่ HIV/AIDS
สมัยก่อน การตั้งชื่ออาการป่วยหรือเชื้อ มักเรียกตามชื่อผู้ค้นพบ แต่ปัจจุบันเหลือน้อยแล้ว ที่ยังอยู่เช่น โรคอัลไซเมอร์ ตามชื่อจิตแพทย์ชาวเยอรมัน
การตั้งชื่อซูเปอร์บัก หรือแบคทีเรียดื้อยา ในปี 2552 NDM-1 ที่มีคำว่านิวเดลีรวมอยู่ด้วย (N ย่อจาก New Delhi) เนื่องจากพบครั้งแรกในชายชาวอินเดียที่ไปตั้งรกรากในสวีเดน แต่ล้มป่วยหลังกลับจากเยือนกรุงนิวเดลีในปี 2550 จุดกระแสไม่พอใจในอินเดีย โดยผู้เชี่ยวชาญการแพทย์และสมาชิกรัฐสภาอินเดียระบุว่า ชื่อเช่นนี้ทำให้ภาพลักษณ์ของเมืองหลวงประเทศเป็นแหล่งสกปรก แม้ต่อมา มีการพบซูเปอร์บักตัวนี้ทั่วโลก ไม่ใช่นิวเดลีที่เดียว แต่ชื่อ NDM-1 ได้ใช้กันแพร่หลายจนยากจะเปลี่ยนเสียแล้ว แม้แต่ในหมู่นักวิทยาศาสตร์
แต่มีชื่อบางชื่อที่วงการนักวิทยาศาสตร์เห็นพ้องกันว่าไม่ควรใช้อีกต่อไป อย่าง "ฮัลเลอร์ฟอร์เดน-ซปาต์ซ์" (Hallervorden-Spatz) ที่ตั้งชื่อตามแพทย์ชาวเยอรมันสองคนในยุคนาซีที่วิจัยอาการนี้กับสมองเด็กที่ถูกฆ่าตาย จนทราบว่าเป็นอาการบกพร่องทางระบบประสาทชนิดหนึ่งที่ทำให้เดินและพูดไม่ได้ แต่ผ่านมานานนับ 10 ปีเป็นอย่างน้อยแล้ว นับจากมีการเรียกร้องให้เปลี่ยนชื่อเรียกอย่างจริงจังในสหรัฐอเมริกา แต่ก็ยังมีผู้ใช้ชื่อนี้อยู่ อย่างในอินเดียหรือแอฟริกาใต้
ชื่อ "เชื้อ" (โรค) ใหม่ ท่านได้แต่ใดมา
เคยนึกสงสัยบ้างหรือไม่ว่า การตั้งชื่อหรือเรียกชื่อเชื้อไวรัสชนิดใหม่ อาการป่วยใหม่ หรือพฤติกรรมประหลาดของคน ใครเป็นผู้กำหนด และมีหลักเกณฑ์อย่างไร บางครั้งจึงเรียกชื่อตามสถานที่ อย่างเชื้อไวรัส H1N1 ที่ระบาดไปทั่วโลกในปี 2552 นั้น ถูกตั้งชื่อเมื่อเริ่มแรกว่า ไข้หวัดหมูเม็กซิกัน หรือตั้งตามชื่อตัวละครในวรรณกรรมคลาสสิก อย่างภาวะลมหายใจบกพร่องจากโรคอ้วน ที่เรียกอีกชื่อว่า "พิควิเคียน" (Pickwickian) ตามชื่อตัวละครร่างอ้วนในนวนิยายของชาร์ลส ดิคเดค มีอาการผิดปกติบางชนิดที่เรียกตามชื่อนักกีฬาชื่อดัง หรือแพทย์ผู้ค้นพบทางรักษาบ้าง
คำตอบคือ ไม่มีหน่วยงานกลางหรือหลักเกณฑ์กำกับเรื่องการตั้งชื่อตายตัว และปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นคือ หากตั้งชื่อไม่เข้าหูผู้ถูกพาดพิง หรือชื่อไม่เป็นมงคลตั้งแต่แรกแล้ว ก็ยากที่คนทั่วไปจะเปลี่ยนไปเรียกชื่อใหม่ได้
อย่างไวรัสโคโรนาโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือเมอร์ส-คอฟ (Middle East Respiratory Syndrome Coronavirus-MERS-CoV) ที่คร่าชีวิตผู้ป่วย 58 คนจากผู้ติดเชื้อทั้งหมด 130 คนในซาอุดีอาระเบีย ตูนิเซีย จอร์แดน กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นับจากปี 2555 ชื่อเรียกที่เรียกกันคือ ไวรัสซาอุดีอาระเบีย เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ชาวอียิปต์พบเชื้อไวรัสต้นเหตุครั้งแรกในผู้ป่วยชาวซาอุฯ
แต่นายรอน ฟูเชียร์ นักวิทยาศาสตร์ศูนย์การแพทย์ "เอราสมุส" ในเนเธอร์แลนด์ ที่ร่วมวิเคราะห์เชื้อไวรัสใหม่นี้ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ซาอุฯ ไม่ปลื้อเลยกับชื่อ จึงเปลี่ยนใหม่เป็นไวรัส HCoV-EMC ย่อจากไวรัสโคโรนาในมนุษย์ เอรามุส เอ็มซี (Human coronavirus Erasmus) แต่ผู้นำซาอุฯ ก็ยังไม่พอใจอีก ตนกับนักวิจัยท่านอื่นๆ จึงประชุมหารือกัน ก่อนได้สรุปเป็นเมอร์ส-คอฟ
องค์การอนามัยโลกอนุมัติชื่อนี้เมื่อพฤษภาคม แต่มีเสริมท้ายว่า โดยทั่วไป องค์การอนามัยโลกไม่นิยมตั้งชื่อไวรัสโดยพาดพิงแหล่งต้นตอที่มาหรือสถานที่ที่พบเชื้อครั้งแรก
ความที่ไม่มีหน่วยงานกลางที่กำกับเรื่องการตั้งชื่อเชื้อโรคและอาการป่วยใหม่ ทำให้หลายครั้งต้องหาชื่อใหม่มาใช้แทนชื่อเดิมหลายครั้งกว่าจะได้ข้อสรุป สร้างความยุ่งยากไม่น้อย และบางครั้งชื่อที่ตั้งไว้ไม่เหมาะสมในตอนแรกก็หายไปอย่างรวดเร็ว อย่างไวรัสเอชไอวี สาเหตุของโรคเอดส์ ครั้งหนึ่งเคยได้รับการตั้งชื่อว่า เชื้อ 4-H ซึ่งพาดพิงถึงชาวเฮติ รักเพศเดียวกัน โรคทางพันธุกรรมที่ทำให้เลือดไหลไม่หยุด และเฮโรอีน (Haitians, Homosexuals, Hemophiliacs และ Heroin) จากนั้น ชื่อ GRID หรือ Gay-related Immunodeficiency โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เกี่ยวกับเกย์ เป็นอีกชื่อหนึ่งที่มีผู้นำมาใช้ในปี 2528 แล้วก็หายไปในเวลาไม่นาน กว่าจะลงตัวที่ HIV/AIDS
สมัยก่อน การตั้งชื่ออาการป่วยหรือเชื้อ มักเรียกตามชื่อผู้ค้นพบ แต่ปัจจุบันเหลือน้อยแล้ว ที่ยังอยู่เช่น โรคอัลไซเมอร์ ตามชื่อจิตแพทย์ชาวเยอรมัน
การตั้งชื่อซูเปอร์บัก หรือแบคทีเรียดื้อยา ในปี 2552 NDM-1 ที่มีคำว่านิวเดลีรวมอยู่ด้วย (N ย่อจาก New Delhi) เนื่องจากพบครั้งแรกในชายชาวอินเดียที่ไปตั้งรกรากในสวีเดน แต่ล้มป่วยหลังกลับจากเยือนกรุงนิวเดลีในปี 2550 จุดกระแสไม่พอใจในอินเดีย โดยผู้เชี่ยวชาญการแพทย์และสมาชิกรัฐสภาอินเดียระบุว่า ชื่อเช่นนี้ทำให้ภาพลักษณ์ของเมืองหลวงประเทศเป็นแหล่งสกปรก แม้ต่อมา มีการพบซูเปอร์บักตัวนี้ทั่วโลก ไม่ใช่นิวเดลีที่เดียว แต่ชื่อ NDM-1 ได้ใช้กันแพร่หลายจนยากจะเปลี่ยนเสียแล้ว แม้แต่ในหมู่นักวิทยาศาสตร์
แต่มีชื่อบางชื่อที่วงการนักวิทยาศาสตร์เห็นพ้องกันว่าไม่ควรใช้อีกต่อไป อย่าง "ฮัลเลอร์ฟอร์เดน-ซปาต์ซ์" (Hallervorden-Spatz) ที่ตั้งชื่อตามแพทย์ชาวเยอรมันสองคนในยุคนาซีที่วิจัยอาการนี้กับสมองเด็กที่ถูกฆ่าตาย จนทราบว่าเป็นอาการบกพร่องทางระบบประสาทชนิดหนึ่งที่ทำให้เดินและพูดไม่ได้ แต่ผ่านมานานนับ 10 ปีเป็นอย่างน้อยแล้ว นับจากมีการเรียกร้องให้เปลี่ยนชื่อเรียกอย่างจริงจังในสหรัฐอเมริกา แต่ก็ยังมีผู้ใช้ชื่อนี้อยู่ อย่างในอินเดียหรือแอฟริกาใต้