บทที่ ๕
http://pantip.com/topic/31040932
(ขอบคุณทุกเสียง ทุกความรู้สึก ที่ส่งผ่านมาถึงผู้เขียนเรื่องนี้)
บทที่ ๖
“คุณนิดครับ กัญออกไปธนาคารหรือครับ ผมผ่านมารอบหนึ่งแล้วไม่เห็นเธอเลย” เมธาวัฒน์ตัดสินใจเข้าไปนั่งสอบถามชนิษฐาถึงที่หน้าโต๊ะทำงาน
“ไม่เห็นหน้าเจ้ากินข้าไม่ลงหรือไงคะคุณ” ชนิษฐาพูดยิ้ม ๆ มองดูนาฬิกาแขวนผนังเบื้องหน้าซึ่งบอกเวลา 10.20 น. แล้วจึงว่า “ยังไม่เที่ยงเลยค่ะ หิวแล้วหรือ”
“เปล่าครับ ผมยังไม่หิว แต่ใจหวิว ๆ ที่ไม่ได้เห็นหน้ากัญ” ชายหนุ่มบอกพลางยกมือขึ้นกุมหน้าอกซ้ายของตัวเอง ใบหน้าขาวเรียวชื่นบานด้วยรอยยิ้มกว้างเห็นฟันขาวเรียงเรียบ
“ต๊าย ดูท่าจะอาการหนัก ฉันว่าถ้ายายกัญแต่งงานกับคุณนี่อายุยืนถึงร้อยปีแน่นอน หัวเราะทุกวันหมอบอกว่าจะอายุยืนใช่มั้ยคะ” ชนิษฐาค่อนขอด แต่หัวเราะรื่นเริงกับท่าทางของชายหนุ่ม
“ขอให้เป็นอย่างนั้นจริงเถอะครับ ถ้าผมได้แต่งงานกับกัญเมื่อไหร่ แล้วผมจะเอาหัวหมูมาแก้บนกับคุณ”
“เอาผ้าสามสีมาผูกด้วยเลยดีมั้ย” ชนิษฐาพูดกลั้วหัวเราะ “แหม ดีนะ ไม่มีมาลัยเจ็ดสีเจ็ดศอกมาให้ด้วย”
“ถ้าคุณต้องการเดี๋ยวผมจัดให้ได้นะครับ”
“พอเถอะคุณ ดิฉันไม่ได้เป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่อะไรนะคะ ไม่ต้องเอามาให้ฉันหรอก” หญิงสาวค้อนให้ชายหนุ่ม แต่ริมฝีปากยังมีรอยยิ้ม
“ตกลงกัญไปไหนหรือครับ” เมธาวัฒน์วกกลับเข้าเรื่องเดิม
“เข้าไปจัดของที่ห้องเก็บวัสดุจ้ะ” ชนิษฐาบอกเสียงเรียบ รอยยิ้มจางหายไป แต่เอียงศีรษะน้อย ๆ เม้มริมฝีปากพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากัน “หายไปนานแล้วเหมือนกันนะ คุณตามเข้าไปดูสักหน่อยก็ดีค่ะ นิดจะละไปก็กลัวแขกเข้ามาแล้วไม่เจอใคร”
“ครับ เดี๋ยวผมจะเข้าไปดูให้ ขอบคุณนะครับที่บอก” ชายหนุ่มค้อมศีรษะเล็กน้อยให้หญิงสาวก่อนลุกจากไป
เมื่อถึงหน้าห้องเก็บวัสดุเมธาวัฒน์เห็นประตูห้องปิดสนิท ยื่นมือจับลูกบิดดูจึงรู้ว่าไม่ได้ล็อกไว้ เขาเปิดประตูก้าวเข้าไปภายในซึ่งสว่างด้วยแสงไฟ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวใด ๆ เลย
“กัญครับ กัญอยู่ในนี้หรือเปล่า” เขาถามแล้วนิ่งรอครู่หนึ่ง
เมื่อไม่ได้รับคำตอบเขาก็ส่ายตามองหาหญิงสาวไปยังจุดต่าง ๆ
“กัญครับ” เขารู้สึกไม่ไว้วางใจกับบรรยากาศของห้องจึงเรียกหาหญิงสาวซ้ำอีกครั้ง พลางก้าวเท้าช้า ๆ เดินสำรวจตามช่องทางเดินระหว่างชั้นเหล็กเก็บของ จนไปถึงมุมในส่วนลึกที่สุดของห้องเขาพบร่างของกัญญานอนเหยียดยาวอยู่บนพื้น
“กัญ!” เมธาวัฒน์อุทานเสียงดัง ถลันเข้าไปนั่งลงข้างกายหญิงสาวเห็นใบหน้าหล่อนขาวซีดมีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก ไรผมตรงขมับด้านขวายังปรากฏเลือดแดงคล้ำเป็นวงกว้าง
เขารีบสอดแขนเข้าไปใต้ต้นคอกัญญา ยกพยุงร่างของหล่อนเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแนบกาย
“กัญครับ กัญ” ชายหนุ่มเขย่าร่างหญิงสาวเบา ๆ เพื่อเรียกสติให้กลับคืนมา แต่หล่อนยังนอนแน่นิ่งทำให้เขาร้อนใจจนต้องคว้าสมุดเล่มบางจากพื้นขึ้นมาโบกลมช่วยอีกทางหนึ่ง
กัญญาดูจะรู้สึกตัวขึ้นมาบ้างด้วยอาการลืมตาช้า ๆ แต่ยังไม่ทันไรเปลือกตากลับปิดสนิทลงดังเก่า
“กัญ...กัญครับ นี่เมธเองนะ”
หญิงสาวค่อย ๆ เผยอเปลือกตาขึ้นอีกครั้งจนเมธาวัฒน์แลเห็นตาดำหล่อนชัดเจน
“เมธ ช่วยกัญด้วย!” หล่อนผวาเข้ากอดชายหนุ่ม
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ” เขารีบถาม
“ผีหลอก...ผีหลอกกัญค่ะ ผี...อยู่ในตู้” หญิงสาวบอกละล่ำละลัก
เมธาวัฒน์จ้องมองตู้เอกสารหลายใบซึ่งฝาตู้ปิดสนิทด้วยความรู้สึกเย็นวาบภายในกาย
“มันอยู่ในตู้นั้นค่ะเมธ...มันอยู่ในตู้” หล่อนพูดพลางชี้มือไปยังตู้เบื้องหน้า
เขาไม่แน่ใจว่าภายในตู้นั้นจะมีอะไรอยู่จริงหรือไม่ แต่เขาอยากให้หล่อนคลายความกลัวจึงพูดปลอบใจหล่อน
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมเข้ามาไม่เห็นมีอะไรเลย ผมอยู่กับกัญแล้ว ไม่ต้องกลัวนะครับ”
“กัญเห็นจริง ๆ นะคะ มันอยู่ข้างในนั้น” หล่อนเสียงสั่นตัวสั่น
เขาเป็นกังวลกับท่าทีของหล่อน อยากจะเดินเข้าไปเปิดฝาตู้ตรวจดู แต่คิดว่าบาดแผลของหล่อนน่าเป็นห่วงที่สุดในยามนี้
“กัญบาดเจ็บ เราออกไปทำแผลกันก่อนนะครับ” เขาบอกพลางเหยียดกายลุกขึ้นยืนพร้อม ๆ กับช่วยพยุงร่างกัญญาให้ลุกขึ้นด้วย พอหล่อนทรงตัวได้เขาก็พาเดินออกจากที่นั้นไปนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของหล่อนเอง
ชนิษฐามองหน้ากัญญาแล้วตาโตออกอุทานเสียงดัง
“ยายกัญ เธอเป็นอะไรน่ะ!”
“คุณนิดช่วยทำแผลให้เธอก่อนนะครับ คงจะเป็นลมแล้วไปกระแทกกับอะไรเข้า”
ชนิษฐาลนลานหยิบกล่องยาชุดปฐมพยาบาลในตู้ด้านหลังถือออกมาวางบนโต๊ะแล้วลากเก้าอี้เข้าไปนั่งใกล้กัญญาที่ใบหน้ายังซีดเซียว
“เมื่อคืนพักผ่อนน้อย หรือเมื่อเช้าไม่ได้กินข้าวเช้าจ๊ะ” ชนิษฐาซักถามพลางหยิบสำลีจากห่อมาแตะตรงขมับของเพื่อนสนิท “เอ ตอนเช้าเราก็ไปนั่งกินอาหารเช้าด้วยกันนี่นะ ไม่น่าหิวจนเป็นลม”
“ฉันสบายดี เป็นปกติดีทุกอย่าง แต่มีบางอย่างไม่ปกติอยู่ในตู้เก็บเอกสาร” กัญญาพูดโดยไม่มองหน้าชนิษฐา ใบหน้าหล่อนก้มต่ำมองมือตัวเองที่ประสานกันบนหน้าตัก
“อะไรไม่ปกติ ตู้เสียหรือไง” ชนิษฐาซักถามต่อ มือยังคงสาละวนเปลี่ยนสำลีซับเลือดตรงขมับของกัญญา
“มีผีอยู่ในตู้นั้น มันออกมาหลอกฉัน” กัญญาบอกพลางเงยหน้ามองสบตาคู่สนทนา “เหมือนศพจมน้ำตาย บวมอืดน่าสะอิดสะเอียน มันอยู่ข้างในนั้น”
“พระช่วย!” ชนิษฐาชะงักมือ ร้องอุทานแล้วดันเก้าอี้ตัวเองออกห่างจากเพื่อนสนิท
เมธาวัฒน์คิดว่าชนิษฐาตกใจกับเรื่องที่กัญญาพูดถึง แต่เมื่อเห็นอาการมือสั่นค้างอยู่ในท่าเดิมของอีกฝ่ายเขาก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“มีอะไรหรือครับ คุณนิด”
“คือ...คือว่า...” ชนิษฐาพูดกระอึกกระอัก “ยายกัญไม่ได้หัวแตกหรอกนะคะ ไม่มีบาดแผลอะไรเลย”
“อย่าล้อเล่นนะครับคุณนิด แล้วเลือดมากจากไหน” ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยกับคำบอกเล่าของผู้ทำแผลให้กัญญา เขาลุกขึ้นเดินอ้อมหลังเก้าอี้ไปมองดูขมับด้านขวาของกัญญาซึ่งมิได้มีบาดแผลแต่อย่างใด !
“เลือด...เลือดใคร...มา...มาจากไหนคะ อย่าบอกนะว่า เลือด...ผะ...ผี” ชนิษฐาปากคอสั่น ปล่อยสำลีเปื้อนเลือดหลุดจากนิ้วมือลงสู่พื้น
เมธาวัฒน์พยายามคิดหาคำตอบด้วยเหตุผลอื่น แต่ก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
“ว้าย! พระช่วย พระเจ้าช่วย ดูนั่นสิคะ” ชนิษฐาร้องลั่น ชี้นิ้วไปที่ก้อนสำลีบนพื้น มันเปลี่ยนจากสีแดงชุ่มเลือดกลับกลายเป็นสีขาวสะอาดราวกับไม่เคยผ่านการใช้งาน
ชายหนุ่มมองเห็นภาพนั้นแล้วประหลาดใจอยู่ไม่น้อย มองสำลีเปื้อนเลือดบนโต๊ะอีกกลุ่มหนึ่งก็เกิดปรากฏการณ์เดียวกัน
กัญญาเงยหน้าสบตากับเมธาวัฒน์ หล่อนยกมือข้างหนึ่งไปบีบมือเขาจนแน่น
“เขาไปแล้วมั้งครับ คงไม่มีอะไรแล้วละ” ชายหนุ่มพูดลอย ๆ พลางบีบมือหญิงสาวตอบ
“ใครคะ ใครไปแล้ว” ชนิษฐารีบถาม
เมธาวัฒน์ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร เขาจึงตอบเป็นกลาง ๆ ไปว่า “ก็...อย่างที่เราเข้าใจกันนั่นละครับ”
กัญญาเม้มริมฝีปาก บีบมือชายหนุ่มอีกครั้งก่อนคลายมือออก แล้วหล่อนเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยสูดลมหายใจเข้ายาว ๆ
“เมธกลับไปทำงานต่อเถอะค่ะ เดี๋ยวข้างบนจะวุ่นวายนึกว่าพนักงานหายตัวไปไหน” หล่อนบอกพลางก้มตัวเก็บก้อนสำลีบนพื้นขึ้นวางรวมกับอีกส่วนที่อยู่บนโต๊ะ กำทั้งหมดไว้ในมือแล้วลุกขึ้นนำไปทิ้งถังขยะหลังโต๊ะทำงาน
ชายหนุ่มรู้ว่ากัญญาไม่ต้องการให้เขาเป็นห่วงกังวลกับหล่อนมากเกินไป เขาจึงเดินกลับขึ้นไปทำงานต่ออย่างเงียบ ๆ ถึงอย่างนั้นบางแวบความคิดเขาก็อดนึกถึงสีหน้าของหล่อนตอนฟื้นจากอาการหมดสติไม่ได้ คนเราจะต้องผ่านขีดขั้นความกลัวถึงเพียงไหนจนทำให้หมดสติลงได้ สิ่งที่ตามหลอกหลอนหล่อนนั้นคงไม่ธรรมดาเสียแล้ว
เวลาผ่านไปจนใกล้เที่ยงวัน หญิงสาวผู้อยู่ในความคิดคำนึงของเมธาวัฒน์ส่งเสียงใส ๆ ผ่านมาทางโทรศัพท์ติดต่อภายใน นัดหมายถึงสถานที่กินอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้วก็วางสายไป ทำให้เมื่อถึงเวลาพักกลางวันชายหนุ่มต้องเอ่ยปากแยกตัวออกมาจากเพื่อนร่วมงานซึ่งทานข้าวกลางวันด้วยกันประจำไปนั่งในศูนย์อาหารของห้างสรรพสินค้าฝั่งตรงข้ามบริษัท
ชนิษฐากับกัญญาเลือกสั่งราดหน้าเพราะไม่ต้องรอคิวนานเหมือนอาหารประเภทข้าวที่มีผู้รอเข้าคิวเป็นระเบียบบ้างยืนรวมกันเป็นกลุ่มบ้างตามหน้าร้านต่าง ๆ เมธาวัฒน์เห็นภาพเหล่านั้นแล้วก็ตัดสินใจเลือกอาหารกลางวันแบบเดียวกับสองสาว เพราะเขาไม่ชอบการพาตัวเองเข้าไปเบียดเสียดในกลุ่มคนมาก ๆ
กินอาหารกันหมดจานแล้วชนิษฐาก็เป็นผู้ตั้งกระทู้ถึงเหตุการณ์สยองขวัญของกัญญา
“กัญ เธอคิดออกหรือยังว่าเลือดนั้นเป็นเลือดใครหรืออะไร”
ผู้ถูกถามได้แต่เพียงส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“อาจจะเป็นเลือดหนู จิ้งจก หรือตุ๊กแกแถว ๆ นั้นโดนประตูตู้หนีบแล้วเลือดหยดใส่หน้าเธอหรือเปล่า”
เมธาวัฒน์นึกขำกับความช่างคิดสรรหาคำตอบของชนิษฐา ซึ่งเขาเห็นว่าไม่มีทางเป็นไปได้เลย
“ฉันไม่รู้ว่าเลือดใคร แต่สิ่งที่ฉันเจอคือผีแน่นอน” กัญญาพูดเสียงเบา “มันขู่จะเอาชีวิตฉันด้วยนะ”
ชายหนุ่มอึ้งไปทันทีเมื่อกัญญาพูดจบ มองหน้าชนิษฐาเห็นมีอาการเช่นเดียวกับเขา และหล่อนยังเลิกคิ้วสูงทำตาโต
“พูดแบบนี้เท่ากับบอกว่าเลือดนั้นเป็นเลือดผีน่ะสิ นี่เธอทำให้ฉันกลัวห้องนั้นจนไม่กล้าเข้าไปแล้วนะ”
“ฉันพูดจริง ๆ นะนิด” กัญญากล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
“หรือว่าในตู้อาจจะมีผีสิง” ชนิษฐาแสดงความเห็น
“คุณนิดรู้ประวัติตู้พวกนั้นหรือเปล่าครับ” เมธาวัฒน์มุ่งประเด็นไปที่ตู้เอกสาร
“ก็รู้พอ ๆ กับยายกัญนั่นแหละค่ะ คุณอรุณีจัดซื้อใหม่ทั้งหมดเพราะนิดเห็นมีบิลรายการอยู่ในบัญชีทรัพย์สินของบริษัทด้วยค่ะ” ชนิษฐาชี้แจง “ถ้าเป็นของใหม่ก็ไม่น่าจะมีผีสิงนะคะ เพราะถ้ามีจริง ๆ พวกเราก็คงได้เจอกันมาบ้างแล้วก่อนหน้านี้”
“น่าจะเป็นแบบนั้นนะครับ ส่วนมากของมือสองหรือเปลี่ยนเจ้าของมาหลายมือถึงจะมีเรื่องลึกลับอะไรทำนองนั้น” เขาตั้งข้อสังเกต
“มันไม่ได้อยู่ในตู้หรอกค่ะ แต่มันไปได้ทุกที่ที่มันอยากไป” กัญญาพูดขึ้นบ้าง
ผีล่ากรรม ( บทที่ ๖ )
(ขอบคุณทุกเสียง ทุกความรู้สึก ที่ส่งผ่านมาถึงผู้เขียนเรื่องนี้)
“คุณนิดครับ กัญออกไปธนาคารหรือครับ ผมผ่านมารอบหนึ่งแล้วไม่เห็นเธอเลย” เมธาวัฒน์ตัดสินใจเข้าไปนั่งสอบถามชนิษฐาถึงที่หน้าโต๊ะทำงาน
“ไม่เห็นหน้าเจ้ากินข้าไม่ลงหรือไงคะคุณ” ชนิษฐาพูดยิ้ม ๆ มองดูนาฬิกาแขวนผนังเบื้องหน้าซึ่งบอกเวลา 10.20 น. แล้วจึงว่า “ยังไม่เที่ยงเลยค่ะ หิวแล้วหรือ”
“เปล่าครับ ผมยังไม่หิว แต่ใจหวิว ๆ ที่ไม่ได้เห็นหน้ากัญ” ชายหนุ่มบอกพลางยกมือขึ้นกุมหน้าอกซ้ายของตัวเอง ใบหน้าขาวเรียวชื่นบานด้วยรอยยิ้มกว้างเห็นฟันขาวเรียงเรียบ
“ต๊าย ดูท่าจะอาการหนัก ฉันว่าถ้ายายกัญแต่งงานกับคุณนี่อายุยืนถึงร้อยปีแน่นอน หัวเราะทุกวันหมอบอกว่าจะอายุยืนใช่มั้ยคะ” ชนิษฐาค่อนขอด แต่หัวเราะรื่นเริงกับท่าทางของชายหนุ่ม
“ขอให้เป็นอย่างนั้นจริงเถอะครับ ถ้าผมได้แต่งงานกับกัญเมื่อไหร่ แล้วผมจะเอาหัวหมูมาแก้บนกับคุณ”
“เอาผ้าสามสีมาผูกด้วยเลยดีมั้ย” ชนิษฐาพูดกลั้วหัวเราะ “แหม ดีนะ ไม่มีมาลัยเจ็ดสีเจ็ดศอกมาให้ด้วย”
“ถ้าคุณต้องการเดี๋ยวผมจัดให้ได้นะครับ”
“พอเถอะคุณ ดิฉันไม่ได้เป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่อะไรนะคะ ไม่ต้องเอามาให้ฉันหรอก” หญิงสาวค้อนให้ชายหนุ่ม แต่ริมฝีปากยังมีรอยยิ้ม
“ตกลงกัญไปไหนหรือครับ” เมธาวัฒน์วกกลับเข้าเรื่องเดิม
“เข้าไปจัดของที่ห้องเก็บวัสดุจ้ะ” ชนิษฐาบอกเสียงเรียบ รอยยิ้มจางหายไป แต่เอียงศีรษะน้อย ๆ เม้มริมฝีปากพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากัน “หายไปนานแล้วเหมือนกันนะ คุณตามเข้าไปดูสักหน่อยก็ดีค่ะ นิดจะละไปก็กลัวแขกเข้ามาแล้วไม่เจอใคร”
“ครับ เดี๋ยวผมจะเข้าไปดูให้ ขอบคุณนะครับที่บอก” ชายหนุ่มค้อมศีรษะเล็กน้อยให้หญิงสาวก่อนลุกจากไป
เมื่อถึงหน้าห้องเก็บวัสดุเมธาวัฒน์เห็นประตูห้องปิดสนิท ยื่นมือจับลูกบิดดูจึงรู้ว่าไม่ได้ล็อกไว้ เขาเปิดประตูก้าวเข้าไปภายในซึ่งสว่างด้วยแสงไฟ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวใด ๆ เลย
“กัญครับ กัญอยู่ในนี้หรือเปล่า” เขาถามแล้วนิ่งรอครู่หนึ่ง
เมื่อไม่ได้รับคำตอบเขาก็ส่ายตามองหาหญิงสาวไปยังจุดต่าง ๆ
“กัญครับ” เขารู้สึกไม่ไว้วางใจกับบรรยากาศของห้องจึงเรียกหาหญิงสาวซ้ำอีกครั้ง พลางก้าวเท้าช้า ๆ เดินสำรวจตามช่องทางเดินระหว่างชั้นเหล็กเก็บของ จนไปถึงมุมในส่วนลึกที่สุดของห้องเขาพบร่างของกัญญานอนเหยียดยาวอยู่บนพื้น
“กัญ!” เมธาวัฒน์อุทานเสียงดัง ถลันเข้าไปนั่งลงข้างกายหญิงสาวเห็นใบหน้าหล่อนขาวซีดมีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก ไรผมตรงขมับด้านขวายังปรากฏเลือดแดงคล้ำเป็นวงกว้าง
เขารีบสอดแขนเข้าไปใต้ต้นคอกัญญา ยกพยุงร่างของหล่อนเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแนบกาย
“กัญครับ กัญ” ชายหนุ่มเขย่าร่างหญิงสาวเบา ๆ เพื่อเรียกสติให้กลับคืนมา แต่หล่อนยังนอนแน่นิ่งทำให้เขาร้อนใจจนต้องคว้าสมุดเล่มบางจากพื้นขึ้นมาโบกลมช่วยอีกทางหนึ่ง
กัญญาดูจะรู้สึกตัวขึ้นมาบ้างด้วยอาการลืมตาช้า ๆ แต่ยังไม่ทันไรเปลือกตากลับปิดสนิทลงดังเก่า
“กัญ...กัญครับ นี่เมธเองนะ”
หญิงสาวค่อย ๆ เผยอเปลือกตาขึ้นอีกครั้งจนเมธาวัฒน์แลเห็นตาดำหล่อนชัดเจน
“เมธ ช่วยกัญด้วย!” หล่อนผวาเข้ากอดชายหนุ่ม
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ” เขารีบถาม
“ผีหลอก...ผีหลอกกัญค่ะ ผี...อยู่ในตู้” หญิงสาวบอกละล่ำละลัก
เมธาวัฒน์จ้องมองตู้เอกสารหลายใบซึ่งฝาตู้ปิดสนิทด้วยความรู้สึกเย็นวาบภายในกาย
“มันอยู่ในตู้นั้นค่ะเมธ...มันอยู่ในตู้” หล่อนพูดพลางชี้มือไปยังตู้เบื้องหน้า
เขาไม่แน่ใจว่าภายในตู้นั้นจะมีอะไรอยู่จริงหรือไม่ แต่เขาอยากให้หล่อนคลายความกลัวจึงพูดปลอบใจหล่อน
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมเข้ามาไม่เห็นมีอะไรเลย ผมอยู่กับกัญแล้ว ไม่ต้องกลัวนะครับ”
“กัญเห็นจริง ๆ นะคะ มันอยู่ข้างในนั้น” หล่อนเสียงสั่นตัวสั่น
เขาเป็นกังวลกับท่าทีของหล่อน อยากจะเดินเข้าไปเปิดฝาตู้ตรวจดู แต่คิดว่าบาดแผลของหล่อนน่าเป็นห่วงที่สุดในยามนี้
“กัญบาดเจ็บ เราออกไปทำแผลกันก่อนนะครับ” เขาบอกพลางเหยียดกายลุกขึ้นยืนพร้อม ๆ กับช่วยพยุงร่างกัญญาให้ลุกขึ้นด้วย พอหล่อนทรงตัวได้เขาก็พาเดินออกจากที่นั้นไปนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของหล่อนเอง
ชนิษฐามองหน้ากัญญาแล้วตาโตออกอุทานเสียงดัง
“ยายกัญ เธอเป็นอะไรน่ะ!”
“คุณนิดช่วยทำแผลให้เธอก่อนนะครับ คงจะเป็นลมแล้วไปกระแทกกับอะไรเข้า”
ชนิษฐาลนลานหยิบกล่องยาชุดปฐมพยาบาลในตู้ด้านหลังถือออกมาวางบนโต๊ะแล้วลากเก้าอี้เข้าไปนั่งใกล้กัญญาที่ใบหน้ายังซีดเซียว
“เมื่อคืนพักผ่อนน้อย หรือเมื่อเช้าไม่ได้กินข้าวเช้าจ๊ะ” ชนิษฐาซักถามพลางหยิบสำลีจากห่อมาแตะตรงขมับของเพื่อนสนิท “เอ ตอนเช้าเราก็ไปนั่งกินอาหารเช้าด้วยกันนี่นะ ไม่น่าหิวจนเป็นลม”
“ฉันสบายดี เป็นปกติดีทุกอย่าง แต่มีบางอย่างไม่ปกติอยู่ในตู้เก็บเอกสาร” กัญญาพูดโดยไม่มองหน้าชนิษฐา ใบหน้าหล่อนก้มต่ำมองมือตัวเองที่ประสานกันบนหน้าตัก
“อะไรไม่ปกติ ตู้เสียหรือไง” ชนิษฐาซักถามต่อ มือยังคงสาละวนเปลี่ยนสำลีซับเลือดตรงขมับของกัญญา
“มีผีอยู่ในตู้นั้น มันออกมาหลอกฉัน” กัญญาบอกพลางเงยหน้ามองสบตาคู่สนทนา “เหมือนศพจมน้ำตาย บวมอืดน่าสะอิดสะเอียน มันอยู่ข้างในนั้น”
“พระช่วย!” ชนิษฐาชะงักมือ ร้องอุทานแล้วดันเก้าอี้ตัวเองออกห่างจากเพื่อนสนิท
เมธาวัฒน์คิดว่าชนิษฐาตกใจกับเรื่องที่กัญญาพูดถึง แต่เมื่อเห็นอาการมือสั่นค้างอยู่ในท่าเดิมของอีกฝ่ายเขาก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“มีอะไรหรือครับ คุณนิด”
“คือ...คือว่า...” ชนิษฐาพูดกระอึกกระอัก “ยายกัญไม่ได้หัวแตกหรอกนะคะ ไม่มีบาดแผลอะไรเลย”
“อย่าล้อเล่นนะครับคุณนิด แล้วเลือดมากจากไหน” ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยกับคำบอกเล่าของผู้ทำแผลให้กัญญา เขาลุกขึ้นเดินอ้อมหลังเก้าอี้ไปมองดูขมับด้านขวาของกัญญาซึ่งมิได้มีบาดแผลแต่อย่างใด !
“เลือด...เลือดใคร...มา...มาจากไหนคะ อย่าบอกนะว่า เลือด...ผะ...ผี” ชนิษฐาปากคอสั่น ปล่อยสำลีเปื้อนเลือดหลุดจากนิ้วมือลงสู่พื้น
เมธาวัฒน์พยายามคิดหาคำตอบด้วยเหตุผลอื่น แต่ก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
“ว้าย! พระช่วย พระเจ้าช่วย ดูนั่นสิคะ” ชนิษฐาร้องลั่น ชี้นิ้วไปที่ก้อนสำลีบนพื้น มันเปลี่ยนจากสีแดงชุ่มเลือดกลับกลายเป็นสีขาวสะอาดราวกับไม่เคยผ่านการใช้งาน
ชายหนุ่มมองเห็นภาพนั้นแล้วประหลาดใจอยู่ไม่น้อย มองสำลีเปื้อนเลือดบนโต๊ะอีกกลุ่มหนึ่งก็เกิดปรากฏการณ์เดียวกัน
กัญญาเงยหน้าสบตากับเมธาวัฒน์ หล่อนยกมือข้างหนึ่งไปบีบมือเขาจนแน่น
“เขาไปแล้วมั้งครับ คงไม่มีอะไรแล้วละ” ชายหนุ่มพูดลอย ๆ พลางบีบมือหญิงสาวตอบ
“ใครคะ ใครไปแล้ว” ชนิษฐารีบถาม
เมธาวัฒน์ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร เขาจึงตอบเป็นกลาง ๆ ไปว่า “ก็...อย่างที่เราเข้าใจกันนั่นละครับ”
กัญญาเม้มริมฝีปาก บีบมือชายหนุ่มอีกครั้งก่อนคลายมือออก แล้วหล่อนเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยสูดลมหายใจเข้ายาว ๆ
“เมธกลับไปทำงานต่อเถอะค่ะ เดี๋ยวข้างบนจะวุ่นวายนึกว่าพนักงานหายตัวไปไหน” หล่อนบอกพลางก้มตัวเก็บก้อนสำลีบนพื้นขึ้นวางรวมกับอีกส่วนที่อยู่บนโต๊ะ กำทั้งหมดไว้ในมือแล้วลุกขึ้นนำไปทิ้งถังขยะหลังโต๊ะทำงาน
ชายหนุ่มรู้ว่ากัญญาไม่ต้องการให้เขาเป็นห่วงกังวลกับหล่อนมากเกินไป เขาจึงเดินกลับขึ้นไปทำงานต่ออย่างเงียบ ๆ ถึงอย่างนั้นบางแวบความคิดเขาก็อดนึกถึงสีหน้าของหล่อนตอนฟื้นจากอาการหมดสติไม่ได้ คนเราจะต้องผ่านขีดขั้นความกลัวถึงเพียงไหนจนทำให้หมดสติลงได้ สิ่งที่ตามหลอกหลอนหล่อนนั้นคงไม่ธรรมดาเสียแล้ว
เวลาผ่านไปจนใกล้เที่ยงวัน หญิงสาวผู้อยู่ในความคิดคำนึงของเมธาวัฒน์ส่งเสียงใส ๆ ผ่านมาทางโทรศัพท์ติดต่อภายใน นัดหมายถึงสถานที่กินอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้วก็วางสายไป ทำให้เมื่อถึงเวลาพักกลางวันชายหนุ่มต้องเอ่ยปากแยกตัวออกมาจากเพื่อนร่วมงานซึ่งทานข้าวกลางวันด้วยกันประจำไปนั่งในศูนย์อาหารของห้างสรรพสินค้าฝั่งตรงข้ามบริษัท
ชนิษฐากับกัญญาเลือกสั่งราดหน้าเพราะไม่ต้องรอคิวนานเหมือนอาหารประเภทข้าวที่มีผู้รอเข้าคิวเป็นระเบียบบ้างยืนรวมกันเป็นกลุ่มบ้างตามหน้าร้านต่าง ๆ เมธาวัฒน์เห็นภาพเหล่านั้นแล้วก็ตัดสินใจเลือกอาหารกลางวันแบบเดียวกับสองสาว เพราะเขาไม่ชอบการพาตัวเองเข้าไปเบียดเสียดในกลุ่มคนมาก ๆ
กินอาหารกันหมดจานแล้วชนิษฐาก็เป็นผู้ตั้งกระทู้ถึงเหตุการณ์สยองขวัญของกัญญา
“กัญ เธอคิดออกหรือยังว่าเลือดนั้นเป็นเลือดใครหรืออะไร”
ผู้ถูกถามได้แต่เพียงส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“อาจจะเป็นเลือดหนู จิ้งจก หรือตุ๊กแกแถว ๆ นั้นโดนประตูตู้หนีบแล้วเลือดหยดใส่หน้าเธอหรือเปล่า”
เมธาวัฒน์นึกขำกับความช่างคิดสรรหาคำตอบของชนิษฐา ซึ่งเขาเห็นว่าไม่มีทางเป็นไปได้เลย
“ฉันไม่รู้ว่าเลือดใคร แต่สิ่งที่ฉันเจอคือผีแน่นอน” กัญญาพูดเสียงเบา “มันขู่จะเอาชีวิตฉันด้วยนะ”
ชายหนุ่มอึ้งไปทันทีเมื่อกัญญาพูดจบ มองหน้าชนิษฐาเห็นมีอาการเช่นเดียวกับเขา และหล่อนยังเลิกคิ้วสูงทำตาโต
“พูดแบบนี้เท่ากับบอกว่าเลือดนั้นเป็นเลือดผีน่ะสิ นี่เธอทำให้ฉันกลัวห้องนั้นจนไม่กล้าเข้าไปแล้วนะ”
“ฉันพูดจริง ๆ นะนิด” กัญญากล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
“หรือว่าในตู้อาจจะมีผีสิง” ชนิษฐาแสดงความเห็น
“คุณนิดรู้ประวัติตู้พวกนั้นหรือเปล่าครับ” เมธาวัฒน์มุ่งประเด็นไปที่ตู้เอกสาร
“ก็รู้พอ ๆ กับยายกัญนั่นแหละค่ะ คุณอรุณีจัดซื้อใหม่ทั้งหมดเพราะนิดเห็นมีบิลรายการอยู่ในบัญชีทรัพย์สินของบริษัทด้วยค่ะ” ชนิษฐาชี้แจง “ถ้าเป็นของใหม่ก็ไม่น่าจะมีผีสิงนะคะ เพราะถ้ามีจริง ๆ พวกเราก็คงได้เจอกันมาบ้างแล้วก่อนหน้านี้”
“น่าจะเป็นแบบนั้นนะครับ ส่วนมากของมือสองหรือเปลี่ยนเจ้าของมาหลายมือถึงจะมีเรื่องลึกลับอะไรทำนองนั้น” เขาตั้งข้อสังเกต
“มันไม่ได้อยู่ในตู้หรอกค่ะ แต่มันไปได้ทุกที่ที่มันอยากไป” กัญญาพูดขึ้นบ้าง