บทที่ ๑
http://pantip.com/topic/30905106 บทที่ ๒
http://pantip.com/topic/30936995
บทที่ ๓
http://pantip.com/topic/30977636 บทที่ ๔
http://pantip.com/topic/31009593
(ขอบคุณทุกเสียง ทุกความรู้สึก ที่ส่งผ่านมาถึงผู้เขียนเรื่องนี้)
บทที่ ๕
เมธาวัฒน์ขับรถออกจากซุ้มประตูวัดพารถเข้าสู่ถนนทางตรงแล้วเขาจึงสนทนากับนางยุพิน
“คุณป้ารู้จักแม่ชีท่านนี้มาก่อนหรือเปล่าครับ” เขาถามพลางดูกระจกมองหลังแวบหนึ่ง
“เพื่อนป้าเคยชวนมาหาครั้งหนึ่งไม่นานนี้เอง มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากรู้ว่าทำไมท่านถึงได้ชื่อแม่ชีตาเห็น” เขานิ่งไปชั่วครู่ราวกับนึกตรึกตรอง “เท่าที่พูดคุยกับท่าน เหมือนเราเข้าไปนั่งสนทนาธรรมกันนะครับ ไม่ได้มีอะไรให้แปลกใจเลยว่าท่านรู้เห็นอะไรมากกว่าคนทั่วไป”
“เรื่องนั้นป้าก็ไม่แน่ใจหรอกนะ ครั้งก่อนที่ได้พบท่านก็ไม่ได้ยุ่งกับวิชาอาคมอะไร เพื่อนป้าหลังยอกหลายวันกินยาไม่หาย ได้ข่าวมาว่าแม่ชีรักษาอาการเจ็บป่วยบางอย่างได้ ก็เลยชวนป้าไปหาท่าน” นางยุพินพูดเนือย ๆ
“แล้วรักษาหายมั้ยครับ” ชายหนุ่มยังถามต่อ
“ไม่ได้หายปลิดทิ้งต่อหน้าต่อตาอะไรแบบนั้น ท่านให้น้ำขวดหนึ่งกลับไปอาบที่บ้าน น่าอัศจรรย์ว่าเพียงชั่วข้ามคืนอาการก็หายไป”
“แต่ก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันนะครับ”
“ข้อนี้ป้าไม่รู้รายละเอียดอะไรนัก บ้างก็พูดกันว่าคนป่วยหนัก ๆ รายที่เดินทางไม่สะดวก แต่ญาติ ๆ มาขอท่านช่วยอนุเคราะห์ เพียงแค่บอกชื่อบอกวันเดือนปีเกิด ยังไม่ทันได้บอกอาการท่านก็พูดได้ว่าป่วยเป็นโรคอะไร ป้าว่าอาจจะมาจากสาเหตุนี้”
“ถ้าเป็นเรื่องจริงท่านคงปฏิบัติจนได้อภิญญาแล้วมั้งครับ”
กัญญานิ่งเงียบมาตลอดเพราะกำลังขบคิดถึงคำพูดของภิกษุรูปนั้น หล่อนเห็นว่าช่างเป็นความบังเอิญราวกับท่านร่วมอยู่ในวงสนทนาคณะของหล่อนกับแม่ชีอัมพร
‘พุทโธช่วยได้ จำไว้ให้ดี’ กระแสเสียงของภิกษุและแม่ชีดังซ้อนเป็นเสียงเดียวกันในความคิดคำนึงของกัญญา
“คิดอะไรอยู่หรือลูก นั่งเงียบเชียว” นางยุพินแตะแขนบุตรสาว
“เปล่าค่ะแม่” หล่อนบอกเสียงเบา สายตามองภาพข้างทางอย่างไร้จุดหมาย “เรามาผิดวันหรือเปล่าไม่รู้นะคะ เห็นบางสำนักทรงเขาไม่รับแขกวันพระวันโกนทำนองนั้น”
“แม่ชีไม่ได้รับดูดวงจ้ะลูก ท่านช่วยคนอย่างเดียว”
“แล้วเรื่องของเราท่านช่วยได้หรือคะ ไม่ใช่อาการเจ็บป่วยทางกายนี่นา”
“ครั้งก่อนแม่เห็นมีคนมาหาท่านเรื่องทำนองนี้อยู่บ้าง ท่านคงพอจะรู้เหตุรู้ทางแก้อยู่เหมือนกันละนะ ไม่งั้นชาวบ้านคงไม่ไปพึ่งบารมีท่าน ดูแต่ต้นกับต่อก็ยังไปหาท่านด้วยเรื่องผี ๆ สาง ๆ เลย”
“ใบหน้าท่านดูมีเมตตา ถ้าท่านรู้เห็นจริงก็คงไม่นิ่งดูดายกับคนที่ไปขอความช่วยเหลือหรอกครับ เพราะท่านก็ไม่ได้รับเงินทองอะไรไม่ใช่หรือครับ”
“ไม่เลยจ้ะ” นางยุพินรีบบอก “ใครจะถวายเงินทองอะไรนี่แม่ชีไม่รับเลย บอกให้ไปถวายกับทางวัด”
“วันนี้ถือว่าเราไปทำบุญเพื่อความสบายใจ กัญไม่ต้องคิดอะไรมากนะครับ” เมธาวัฒน์พูด “ว่าแต่ตรงกลับบ้านเลยหรือจะไปแวะที่ไหนต่อมั้ยครับ”
“กัญ ลูกจะไปไหนหรือเปล่า”
กัญญาส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ถ้างั้นก็แวะกินข้าวนอกบ้านกันก่อนแล้วค่อยเข้าบ้าน บ่ายโมงกว่าแล้วนี่ ลุงอยู่บ้านคงเรียบร้อยไปแล้วละ” นางยุพินหันไปกล่าวกับชายหนุ่ม “ป้าไม่รู้ว่าเมธาจะแวะมา จะได้เตรียมทำกับข้าวไว้ให้”
“ผมก็ไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้าเหมือนกันครับ โทรศัพท์คุยกับกัญฟังเรื่องเมื่อคืนแล้วพูดกันว่าน่าจะได้เข้าวัดทำบุญ กัญเห็นดีด้วยผมก็แต่งตัวออกมาเลยครับ”
“เรื่องเมื่อคืนน่ากลัวเหลือเกินลูกเอ๊ย ตามเข้าไปหลอกหลอนถึงในห้องนอนจนแทบนอนกันไม่ได้ ลุงเขาก็เป็นห่วง เลยต้องให้ป้าเข้านอนเป็นเพื่อนยายกัญ”
“มีอะไรหรือครับ กัญเล่าให้ผมฟังแค่ว่าเจ้าแต้มตาย” เมธาวัฒน์ถามขมวดคิ้ว
กัญญาอยากจะร้องทัดทานมารดา แต่ก็ช้าไปเสียแล้วเมื่อนางพูดขึ้นโดยเร็วว่า
“ไม่รู้ตัวอะไรเข้าไปอยู่ในตู้เสื้อผ้ายายกัญ ทำเสียงกุก ๆ กัก ๆ อยู่ข้างใน แต่พอเปิดดูกลับไม่เจออะไร ทำเอาขนลุกไปตาม ๆ กันจนต้องนอนเปิดไฟไว้ทั้งคืน...”
หญิงสาวจึงทำได้แค่เพียงการเม้มริมฝีปากแล้วนิ่งเงียบ
“ได้ยินกันหมดทุกคนในบ้าน พูดแล้วยังขนลุก ป้าถึงได้ตัดสินใจไปหาแม่ชียังไงล่ะ”
“ผมว่าดูแปลก ๆ อยู่นะครับ”
“สำหรับป้านั้นเห็นว่าแปลกมากเชียวละ ทั้งเรื่องที่ยายกัญเจอมาและสิ่งที่ได้เห็นกับตาตัวเอง”
กัญญามิได้เล่าเรื่องนี้ให้เมธาวัฒน์ฟัง เพราะเกรงเขาเข้าใจหล่อนว่าพูดเพ้อเจ้อด้วยความขลาดกลัวจนหูแว่วตาฝาดไปเสียทุกอย่างกับสิ่งรอบตัว ซึ่งขณะนี้มารดาของหล่อนเป็นผู้เล่าเหตุการณ์เอง อย่างน้อยก็ถือเป็นประจักษ์พยานว่า สิ่งที่หล่อนพานพบมามิใช่เป็นแต่เพียงเรื่องแต่งขึ้นมาแต่อย่างใด
และหล่อนยังเก็บงำความลับไว้อีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องที่พี่ต่อบอกว่าเห็นคนแก่หน้าขาววอกนั่งอยู่เบาะหลังในรถของหล่อน นาทีนี้หญิงสาวชั่งใจว่าจะไม่พูดออกไป ด้วยไม่ต้องการให้ผู้รับฟังต้องเป็นทุกข์ใจเพิ่มขึ้น
“เราทำบุญให้เขาไปแล้ว เขาคงไม่มารบกวนอีกหรอก” กัญญาหวังให้ผู้รับฟังทั้งสองคลายความกังวล
“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นนะลูก อย่าได้มารบกวนกันอีกเลย เจ้าประคู้ณ” นางยุพินยกมือพนมขึ้นเหนือศีรษะ
“กินข้าวกันที่ตลาดดีกว่านะคะ มีหลายร้านให้เลือก” หล่อนเปลี่ยนเรื่องพูด อยากให้ทุกคนลืมเรื่องลี้ลับต่าง ๆ เสีย โดยที่หล่อนเองก็พยายามไม่หวนคิดถึงมันอีกเช่นกัน
-----------------------------------
วิรัตน์กับธีระออกจากวัดแวะซื้อของที่ตลาดแล้วก็ตรงกลับเข้าบ้าน
วิรัตน์ผู้พี่สั่งให้น้องชายเตรียมของเพื่อนำออกไปร้าน แต่ตัวเองกลับเดินหาขันน้ำใบใหญ่เทน้ำมนต์ในขวดพลาสติกกรอกมาจากอ่างน้ำมนต์ของทางวัด
เขายกขันน้ำขึ้นระดับอก หลับตาแล้วทำปากขมุบขมิบราวกับบริกรรมคาถาบางอย่าง ครู่หนึ่งก็ลืมตาแล้วใช้นิ้วมือจุ่มลงในขันพลางเดินไปจุดนั้นจุดนี้ของบ้านเพื่อประพรมน้ำมนต์
“ทำบุญให้เขาไปแล้ว คงไม่ต้องพบเจอกันอีกแล้วมั้งพี่” ธีระมองพี่ชายแล้วยิ้มกว้างอย่างขบขัน
“ไปสู่สุคติเถอะโยม อย่ามารบกวนกันอีกเลย” ต้นพูดพลางพรมน้ำมนต์ใส่ข้างฝา
“เราก็เป็นโยมอยู่นะพี่ ไม่ได้เป็นพระซักหน่อย”
“พี่พูดแทนพระน่ะ ให้คุณผีเขาไปที่ชอบ ๆ” ต้นบอกหน้าตาเฉย
ต่อฟังแล้วหัวเราะ “พี่นี่ถูกผีหลอกจนเพี้ยนไปแล้ว”
“เรื่องผ่านมาแล้วนายก็หัวเราะได้น่ะสิ ตอนผีงับขาความรู้สึกเป็นไง เห็นสลัดขาเหยง ๆ จนล้มหงายท้อง อยากให้นายเห็นหน้าตัวเองตอนนั้นเหลือเกิน” ต้นว่า
“พอเถอะพี่ พูดไปใครเขาก็ไม่เชื่อ เราสองคนโดนผีกัดแต่ไม่เป็นรอยอะไร” ความชื่นบานบนใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นความหม่นหมอง “คงไม่ใช่พวกเราหนังเหนียวอะไรหรอกนะ วันก่อนพี่ยังถูกมีดบาดอยู่เลย”
ต้นมองน้องชายแล้วพยักหน้าเรียก
“มานี่ เดี๋ยวพี่จะพรมน้ำมนต์ให้ ขวัญเอ๋ยขวัญมา” พี่ชายไม่รอให้น้องชายขยับตัวเพราะเป็นฝ่ายเดินเข้าหาเสียเองแล้วพรมน้ำมนต์ให้จนชุ่มเต็มหน้า
“สาธุครับหลวงพี่ วันนี้หรือวันไหนอย่าได้มารบกวนกันอีกเลยนะคุณผี” ต่อแกล้งพูดให้พี่ชายสบายใจ ส่วนตัวเองยังไม่สามารถกำจัดภาพแห่งความกลัวไปได้ ราวกับมันติดอยู่ในทุกขุมขน นึกถึงขึ้นมาคราใดก็พาให้ขนลุกชันได้ตลอด
“เอ้า ดื่มสักคนละอึกสองอึก เพิ่มความเข้มขลัง” ต้นยื่นขันน้ำมนต์มาให้ต่อตรงหน้า เขาส่ายหน้าแล้วดันขันกลับคืนไป
“เชิญพี่ตามสบาย ผมว่าน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ แต่มือพี่น่ะคงไม่ศักดิ์สิทธิ์สักเท่าไหร่ เข้าบ้านมายังไม่เห็นล้างมือเลย นี่ถ้าผมดื่มเข้าไปแล้วท้องเสีย เกิดเจอผีขึ้นมาอีกต้องวิ่งหนีผีแล้วถ่ายราดรดกางเกง ใครรู้เข้าจะหาว่าผมกลัวผีจนขี้ราด”
“นายนี่ช่างคิดไปได้” ต้นหัวเราะก๊าก วางขันน้ำมนต์บนหลังตู้เย็นแล้วหันกลับมาพูดกับน้องชายด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ถามอะไรหน่อยนะต่อ คิดให้ดี ๆ ก่อนตอบ”
“มีอะไรหรือครับ”
“นายรู้สึกเจ็บมั้ยตอนถูกกะโหลกผีกัด”
ต่อนิ่งคิดทบทวนความรู้สึกของตัวเอง ครู่หนึ่งจึงตอบกลับไป “ไม่แน่ใจนะครับ กลัวด้วยตกใจด้วยปน ๆ กันเลยไม่ทันรู้สึกตัวมั้ง”
“พี่ว่าไม่เจ็บนะ ถ้าเจ็บก็ต้องมีรอยแผลให้เราเห็นสิ”
ต่อเม้มปาก กลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด
“ก็อาจจะเป็นอย่างพี่ว่า แบบนี้หรือเปล่าครับที่เขาเรียกว่าผีหลอก มาหลอกให้พวกเรากลัว แต่จริง ๆ แล้วทำอะไรพวกเราไม่ได้” ต่อบอกเรียบ ๆ พลางนึกอะไรขึ้นมาได้จึงกลับมีรอยยิ้มในหน้า “ผมเคยได้ยินพระอาจารย์ท่านหนึ่งพูดว่า ผีไม่มีกล้ามเนื้อ แต่เรามีกล้ามเนื้อจะกลัวมันทำไม ผีกินโอวัลตินไม่ได้ แต่เรากินได้ ฉะนั้นไม่ต้องไปกลัวมัน”
“ท่านเป็นพระก็เลยไม่กลัว แต่เราเป็นโยมจะไม่ให้กลัวยังไงไหว นี่ผมร่วงไปกี่เส้นแล้วก็ไม่รู้ เจอกันอีกสงสัยคราวนี้คงหัวโกร๋นแน่ ๆ หมดหล่อกันพอดี” ต้นยิ้มแห้ง ๆ
“อุตส่าห์ดั้นด้นไปหาแม่ชีตาเห็น แต่ท่านก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะครับ”
“พี่ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันนะ ป้าสาลี่ข้างบ้านบอกว่าท่านเก่งนักหนา”
ต่อฉุกใจคิดถึงคำพูดบางตอนของแม่ชีอัมพร ด้วยว่าเป็นคำพูดเดียวกับที่พระภิกษุรูปหนึ่งกล่าวขึ้นมาขณะที่เขายืนคุยกับกัญญาใต้ร่มหูกวาง
“อาทิตย์นี้เราปิดร้านแล้วเข้าบ้านช้าหน่อยดีกว่า ซื้อของรอใส่บาตรพระตอนเช้าก่อนแล้วค่อยเข้าบ้าน” ต้นบอก
“ก็ดีนะพี่ แม่ชีบอกให้ทำบุญทำดีเข้าไว้นี่ครับ”
“เราเป็นชาวพุทธ ถึงไม่เชื่อไม่ศรัทธาอะไรก็แล้วแต่ อย่างน้อยคงต้องเชื่อเรื่องบุญบาปไว้บ้างละ”
ต่อคิดว่าพี่ชายของเขาพูดได้อย่างน่าคิด ไม่เสียทีที่ได้บวชเรียนกันคนละพรรษาเมื่ออายุครบบวช
---------------------------------
ผีล่ากรรม ( บทที่ ๕ )
บทที่ ๓ http://pantip.com/topic/30977636 บทที่ ๔ http://pantip.com/topic/31009593
เมธาวัฒน์ขับรถออกจากซุ้มประตูวัดพารถเข้าสู่ถนนทางตรงแล้วเขาจึงสนทนากับนางยุพิน
“คุณป้ารู้จักแม่ชีท่านนี้มาก่อนหรือเปล่าครับ” เขาถามพลางดูกระจกมองหลังแวบหนึ่ง
“เพื่อนป้าเคยชวนมาหาครั้งหนึ่งไม่นานนี้เอง มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากรู้ว่าทำไมท่านถึงได้ชื่อแม่ชีตาเห็น” เขานิ่งไปชั่วครู่ราวกับนึกตรึกตรอง “เท่าที่พูดคุยกับท่าน เหมือนเราเข้าไปนั่งสนทนาธรรมกันนะครับ ไม่ได้มีอะไรให้แปลกใจเลยว่าท่านรู้เห็นอะไรมากกว่าคนทั่วไป”
“เรื่องนั้นป้าก็ไม่แน่ใจหรอกนะ ครั้งก่อนที่ได้พบท่านก็ไม่ได้ยุ่งกับวิชาอาคมอะไร เพื่อนป้าหลังยอกหลายวันกินยาไม่หาย ได้ข่าวมาว่าแม่ชีรักษาอาการเจ็บป่วยบางอย่างได้ ก็เลยชวนป้าไปหาท่าน” นางยุพินพูดเนือย ๆ
“แล้วรักษาหายมั้ยครับ” ชายหนุ่มยังถามต่อ
“ไม่ได้หายปลิดทิ้งต่อหน้าต่อตาอะไรแบบนั้น ท่านให้น้ำขวดหนึ่งกลับไปอาบที่บ้าน น่าอัศจรรย์ว่าเพียงชั่วข้ามคืนอาการก็หายไป”
“แต่ก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันนะครับ”
“ข้อนี้ป้าไม่รู้รายละเอียดอะไรนัก บ้างก็พูดกันว่าคนป่วยหนัก ๆ รายที่เดินทางไม่สะดวก แต่ญาติ ๆ มาขอท่านช่วยอนุเคราะห์ เพียงแค่บอกชื่อบอกวันเดือนปีเกิด ยังไม่ทันได้บอกอาการท่านก็พูดได้ว่าป่วยเป็นโรคอะไร ป้าว่าอาจจะมาจากสาเหตุนี้”
“ถ้าเป็นเรื่องจริงท่านคงปฏิบัติจนได้อภิญญาแล้วมั้งครับ”
กัญญานิ่งเงียบมาตลอดเพราะกำลังขบคิดถึงคำพูดของภิกษุรูปนั้น หล่อนเห็นว่าช่างเป็นความบังเอิญราวกับท่านร่วมอยู่ในวงสนทนาคณะของหล่อนกับแม่ชีอัมพร
‘พุทโธช่วยได้ จำไว้ให้ดี’ กระแสเสียงของภิกษุและแม่ชีดังซ้อนเป็นเสียงเดียวกันในความคิดคำนึงของกัญญา
“คิดอะไรอยู่หรือลูก นั่งเงียบเชียว” นางยุพินแตะแขนบุตรสาว
“เปล่าค่ะแม่” หล่อนบอกเสียงเบา สายตามองภาพข้างทางอย่างไร้จุดหมาย “เรามาผิดวันหรือเปล่าไม่รู้นะคะ เห็นบางสำนักทรงเขาไม่รับแขกวันพระวันโกนทำนองนั้น”
“แม่ชีไม่ได้รับดูดวงจ้ะลูก ท่านช่วยคนอย่างเดียว”
“แล้วเรื่องของเราท่านช่วยได้หรือคะ ไม่ใช่อาการเจ็บป่วยทางกายนี่นา”
“ครั้งก่อนแม่เห็นมีคนมาหาท่านเรื่องทำนองนี้อยู่บ้าง ท่านคงพอจะรู้เหตุรู้ทางแก้อยู่เหมือนกันละนะ ไม่งั้นชาวบ้านคงไม่ไปพึ่งบารมีท่าน ดูแต่ต้นกับต่อก็ยังไปหาท่านด้วยเรื่องผี ๆ สาง ๆ เลย”
“ใบหน้าท่านดูมีเมตตา ถ้าท่านรู้เห็นจริงก็คงไม่นิ่งดูดายกับคนที่ไปขอความช่วยเหลือหรอกครับ เพราะท่านก็ไม่ได้รับเงินทองอะไรไม่ใช่หรือครับ”
“ไม่เลยจ้ะ” นางยุพินรีบบอก “ใครจะถวายเงินทองอะไรนี่แม่ชีไม่รับเลย บอกให้ไปถวายกับทางวัด”
“วันนี้ถือว่าเราไปทำบุญเพื่อความสบายใจ กัญไม่ต้องคิดอะไรมากนะครับ” เมธาวัฒน์พูด “ว่าแต่ตรงกลับบ้านเลยหรือจะไปแวะที่ไหนต่อมั้ยครับ”
“กัญ ลูกจะไปไหนหรือเปล่า”
กัญญาส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ถ้างั้นก็แวะกินข้าวนอกบ้านกันก่อนแล้วค่อยเข้าบ้าน บ่ายโมงกว่าแล้วนี่ ลุงอยู่บ้านคงเรียบร้อยไปแล้วละ” นางยุพินหันไปกล่าวกับชายหนุ่ม “ป้าไม่รู้ว่าเมธาจะแวะมา จะได้เตรียมทำกับข้าวไว้ให้”
“ผมก็ไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้าเหมือนกันครับ โทรศัพท์คุยกับกัญฟังเรื่องเมื่อคืนแล้วพูดกันว่าน่าจะได้เข้าวัดทำบุญ กัญเห็นดีด้วยผมก็แต่งตัวออกมาเลยครับ”
“เรื่องเมื่อคืนน่ากลัวเหลือเกินลูกเอ๊ย ตามเข้าไปหลอกหลอนถึงในห้องนอนจนแทบนอนกันไม่ได้ ลุงเขาก็เป็นห่วง เลยต้องให้ป้าเข้านอนเป็นเพื่อนยายกัญ”
“มีอะไรหรือครับ กัญเล่าให้ผมฟังแค่ว่าเจ้าแต้มตาย” เมธาวัฒน์ถามขมวดคิ้ว
กัญญาอยากจะร้องทัดทานมารดา แต่ก็ช้าไปเสียแล้วเมื่อนางพูดขึ้นโดยเร็วว่า
“ไม่รู้ตัวอะไรเข้าไปอยู่ในตู้เสื้อผ้ายายกัญ ทำเสียงกุก ๆ กัก ๆ อยู่ข้างใน แต่พอเปิดดูกลับไม่เจออะไร ทำเอาขนลุกไปตาม ๆ กันจนต้องนอนเปิดไฟไว้ทั้งคืน...”
หญิงสาวจึงทำได้แค่เพียงการเม้มริมฝีปากแล้วนิ่งเงียบ
“ได้ยินกันหมดทุกคนในบ้าน พูดแล้วยังขนลุก ป้าถึงได้ตัดสินใจไปหาแม่ชียังไงล่ะ”
“ผมว่าดูแปลก ๆ อยู่นะครับ”
“สำหรับป้านั้นเห็นว่าแปลกมากเชียวละ ทั้งเรื่องที่ยายกัญเจอมาและสิ่งที่ได้เห็นกับตาตัวเอง”
กัญญามิได้เล่าเรื่องนี้ให้เมธาวัฒน์ฟัง เพราะเกรงเขาเข้าใจหล่อนว่าพูดเพ้อเจ้อด้วยความขลาดกลัวจนหูแว่วตาฝาดไปเสียทุกอย่างกับสิ่งรอบตัว ซึ่งขณะนี้มารดาของหล่อนเป็นผู้เล่าเหตุการณ์เอง อย่างน้อยก็ถือเป็นประจักษ์พยานว่า สิ่งที่หล่อนพานพบมามิใช่เป็นแต่เพียงเรื่องแต่งขึ้นมาแต่อย่างใด
และหล่อนยังเก็บงำความลับไว้อีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องที่พี่ต่อบอกว่าเห็นคนแก่หน้าขาววอกนั่งอยู่เบาะหลังในรถของหล่อน นาทีนี้หญิงสาวชั่งใจว่าจะไม่พูดออกไป ด้วยไม่ต้องการให้ผู้รับฟังต้องเป็นทุกข์ใจเพิ่มขึ้น
“เราทำบุญให้เขาไปแล้ว เขาคงไม่มารบกวนอีกหรอก” กัญญาหวังให้ผู้รับฟังทั้งสองคลายความกังวล
“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นนะลูก อย่าได้มารบกวนกันอีกเลย เจ้าประคู้ณ” นางยุพินยกมือพนมขึ้นเหนือศีรษะ
“กินข้าวกันที่ตลาดดีกว่านะคะ มีหลายร้านให้เลือก” หล่อนเปลี่ยนเรื่องพูด อยากให้ทุกคนลืมเรื่องลี้ลับต่าง ๆ เสีย โดยที่หล่อนเองก็พยายามไม่หวนคิดถึงมันอีกเช่นกัน
-----------------------------------
วิรัตน์กับธีระออกจากวัดแวะซื้อของที่ตลาดแล้วก็ตรงกลับเข้าบ้าน
วิรัตน์ผู้พี่สั่งให้น้องชายเตรียมของเพื่อนำออกไปร้าน แต่ตัวเองกลับเดินหาขันน้ำใบใหญ่เทน้ำมนต์ในขวดพลาสติกกรอกมาจากอ่างน้ำมนต์ของทางวัด
เขายกขันน้ำขึ้นระดับอก หลับตาแล้วทำปากขมุบขมิบราวกับบริกรรมคาถาบางอย่าง ครู่หนึ่งก็ลืมตาแล้วใช้นิ้วมือจุ่มลงในขันพลางเดินไปจุดนั้นจุดนี้ของบ้านเพื่อประพรมน้ำมนต์
“ทำบุญให้เขาไปแล้ว คงไม่ต้องพบเจอกันอีกแล้วมั้งพี่” ธีระมองพี่ชายแล้วยิ้มกว้างอย่างขบขัน
“ไปสู่สุคติเถอะโยม อย่ามารบกวนกันอีกเลย” ต้นพูดพลางพรมน้ำมนต์ใส่ข้างฝา
“เราก็เป็นโยมอยู่นะพี่ ไม่ได้เป็นพระซักหน่อย”
“พี่พูดแทนพระน่ะ ให้คุณผีเขาไปที่ชอบ ๆ” ต้นบอกหน้าตาเฉย
ต่อฟังแล้วหัวเราะ “พี่นี่ถูกผีหลอกจนเพี้ยนไปแล้ว”
“เรื่องผ่านมาแล้วนายก็หัวเราะได้น่ะสิ ตอนผีงับขาความรู้สึกเป็นไง เห็นสลัดขาเหยง ๆ จนล้มหงายท้อง อยากให้นายเห็นหน้าตัวเองตอนนั้นเหลือเกิน” ต้นว่า
“พอเถอะพี่ พูดไปใครเขาก็ไม่เชื่อ เราสองคนโดนผีกัดแต่ไม่เป็นรอยอะไร” ความชื่นบานบนใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นความหม่นหมอง “คงไม่ใช่พวกเราหนังเหนียวอะไรหรอกนะ วันก่อนพี่ยังถูกมีดบาดอยู่เลย”
ต้นมองน้องชายแล้วพยักหน้าเรียก
“มานี่ เดี๋ยวพี่จะพรมน้ำมนต์ให้ ขวัญเอ๋ยขวัญมา” พี่ชายไม่รอให้น้องชายขยับตัวเพราะเป็นฝ่ายเดินเข้าหาเสียเองแล้วพรมน้ำมนต์ให้จนชุ่มเต็มหน้า
“สาธุครับหลวงพี่ วันนี้หรือวันไหนอย่าได้มารบกวนกันอีกเลยนะคุณผี” ต่อแกล้งพูดให้พี่ชายสบายใจ ส่วนตัวเองยังไม่สามารถกำจัดภาพแห่งความกลัวไปได้ ราวกับมันติดอยู่ในทุกขุมขน นึกถึงขึ้นมาคราใดก็พาให้ขนลุกชันได้ตลอด
“เอ้า ดื่มสักคนละอึกสองอึก เพิ่มความเข้มขลัง” ต้นยื่นขันน้ำมนต์มาให้ต่อตรงหน้า เขาส่ายหน้าแล้วดันขันกลับคืนไป
“เชิญพี่ตามสบาย ผมว่าน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ แต่มือพี่น่ะคงไม่ศักดิ์สิทธิ์สักเท่าไหร่ เข้าบ้านมายังไม่เห็นล้างมือเลย นี่ถ้าผมดื่มเข้าไปแล้วท้องเสีย เกิดเจอผีขึ้นมาอีกต้องวิ่งหนีผีแล้วถ่ายราดรดกางเกง ใครรู้เข้าจะหาว่าผมกลัวผีจนขี้ราด”
“นายนี่ช่างคิดไปได้” ต้นหัวเราะก๊าก วางขันน้ำมนต์บนหลังตู้เย็นแล้วหันกลับมาพูดกับน้องชายด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ถามอะไรหน่อยนะต่อ คิดให้ดี ๆ ก่อนตอบ”
“มีอะไรหรือครับ”
“นายรู้สึกเจ็บมั้ยตอนถูกกะโหลกผีกัด”
ต่อนิ่งคิดทบทวนความรู้สึกของตัวเอง ครู่หนึ่งจึงตอบกลับไป “ไม่แน่ใจนะครับ กลัวด้วยตกใจด้วยปน ๆ กันเลยไม่ทันรู้สึกตัวมั้ง”
“พี่ว่าไม่เจ็บนะ ถ้าเจ็บก็ต้องมีรอยแผลให้เราเห็นสิ”
ต่อเม้มปาก กลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด
“ก็อาจจะเป็นอย่างพี่ว่า แบบนี้หรือเปล่าครับที่เขาเรียกว่าผีหลอก มาหลอกให้พวกเรากลัว แต่จริง ๆ แล้วทำอะไรพวกเราไม่ได้” ต่อบอกเรียบ ๆ พลางนึกอะไรขึ้นมาได้จึงกลับมีรอยยิ้มในหน้า “ผมเคยได้ยินพระอาจารย์ท่านหนึ่งพูดว่า ผีไม่มีกล้ามเนื้อ แต่เรามีกล้ามเนื้อจะกลัวมันทำไม ผีกินโอวัลตินไม่ได้ แต่เรากินได้ ฉะนั้นไม่ต้องไปกลัวมัน”
“ท่านเป็นพระก็เลยไม่กลัว แต่เราเป็นโยมจะไม่ให้กลัวยังไงไหว นี่ผมร่วงไปกี่เส้นแล้วก็ไม่รู้ เจอกันอีกสงสัยคราวนี้คงหัวโกร๋นแน่ ๆ หมดหล่อกันพอดี” ต้นยิ้มแห้ง ๆ
“อุตส่าห์ดั้นด้นไปหาแม่ชีตาเห็น แต่ท่านก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะครับ”
“พี่ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันนะ ป้าสาลี่ข้างบ้านบอกว่าท่านเก่งนักหนา”
ต่อฉุกใจคิดถึงคำพูดบางตอนของแม่ชีอัมพร ด้วยว่าเป็นคำพูดเดียวกับที่พระภิกษุรูปหนึ่งกล่าวขึ้นมาขณะที่เขายืนคุยกับกัญญาใต้ร่มหูกวาง
“อาทิตย์นี้เราปิดร้านแล้วเข้าบ้านช้าหน่อยดีกว่า ซื้อของรอใส่บาตรพระตอนเช้าก่อนแล้วค่อยเข้าบ้าน” ต้นบอก
“ก็ดีนะพี่ แม่ชีบอกให้ทำบุญทำดีเข้าไว้นี่ครับ”
“เราเป็นชาวพุทธ ถึงไม่เชื่อไม่ศรัทธาอะไรก็แล้วแต่ อย่างน้อยคงต้องเชื่อเรื่องบุญบาปไว้บ้างละ”
ต่อคิดว่าพี่ชายของเขาพูดได้อย่างน่าคิด ไม่เสียทีที่ได้บวชเรียนกันคนละพรรษาเมื่ออายุครบบวช
---------------------------------