
ภาษาไทยถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญทางวัฒนธรรมของชาติและยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อสื่อสารและการเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนไทยทุกคน แต่ปัญหาที่พบ คือ เด็กไทยในระดับประถมศึกษาจำนวนไม่น้อยที่ยังมีปัญหาด้านการอ่านเขียนภาษาไทย ซึ่งมีทั้งที่อ่านไม่คล่อง เขียนไม่คล่อง ส่วนขั้นที่รุนแรงอย่างน่าวิตกถึงขนาดที่ว่า “อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้” ก็ยังมีอีกจำนวนหนึ่ง
เชื่อว่าทุกท่านตระหนักและเห็นความสำคัญของการอ่านเขียนภาษาไทย เพราะถือเป็นพื้นฐานที่จะส่งผลกระทบไปถึงการเรียนรู้วิชาอื่น ๆ เป็นอย่างมาก ถ้าหากนักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ก็จะทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาอื่น ๆ ตกต่ำตามไปด้วย
จากข้อมูลการสำรวจเพื่อคัดกรองเด็กที่มีปัญหาด้านการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พบว่า นักเรียนในระดับชั้น ป.3 จากจำนวนนักเรียน 445,000 คน มีที่อยู่ในข่ายต้องปรับปรุง ประมาณ 127,800 คน แยกเป็นนักเรียนที่อ่านไม่ได้เลย จำนวน 27,000 คน หรือ 6.27% นักเรียนที่อ่านได้แต่อยู่ในระดับปรับปรุง จำนวน 23,700 คน หรือ 5.32% อ่านได้แต่ไม่เข้าใจ จำนวน 14,600 คน หรือ 3.2% อ่านได้เข้าใจบ้าง จำนวน 62,000 คน หรือ 14% ส่วนนักเรียนระดับชั้น ป.6 จากจำนวน 444,000 คน มีที่อยู่ในข่ายต้องปรับปรุง ประมาณ 73,290 คน แยกเป็นนักเรียนที่อ่านไม่ได้เลยจำนวน 7,880 คน หรือ 1.77% นักเรียนที่อ่านได้แต่อยู่ในระดับปรับปรุง จำนวน 6,750 คน หรือ 1.52% อ่านได้แต่ไม่เข้าใจ จำนวน 7,080 คน หรือ 1.59% อ่านได้เข้าใจบ้าง จำนวน 51,580 คน หรือ 11.6%
“ตัวเลขข้างต้นเป็นการสะท้อนปัญหาระบบการศึกษาไทยพอสมควร จะพบว่าทั้งชั้น ป. 3 และ ป. 6 มีนักเรียนต้องปรับปรุงเรื่องการอ่านออก-เขียนได้ ประมาณ 2 แสนคน ถือว่ามียอดสูง แต่ผมก็ถือว่าผู้บริหารโรงเรียนและครูมีความกล้าที่จะเผชิญความจริง ไม่มีการอะลุ่มอล่วยทำให้ยอดเด็กอ่านหนังสือไม่ออกมาต่ำ เพื่อปกปิดความล้มเหลวของโรงเรียนและครู อย่างไรก็ดี อยากฝากให้ผู้ปกครองเข้าใจว่าเราไม่ได้มองว่าเด็กกลุ่มนี้คือปัญหาหรือความบกพร่อง และจะไม่ตำหนิครูเพราะถือเป็นความผิดพลาดล้มเหลวที่ระบบการศึกษา ซึ่งเรากำลังหาทางแก้ไขอยู่ และดีที่เราจับจุดถูกและเร็ว มิฉะนั้นการแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์ตกต่ำอื่นๆ จะไม่สามารถแก้ได้” นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์สืบเนื่องจากการเปิดเผยข้อมูลของ สพฐ.
จากนโยบายที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ต้องการให้ สพฐ. เร่งแก้ปัญหาใหญ่เด็กไทยอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ อ่านจับใจความไม่รู้เรื่องนั้น สพฐ. เตรียมนำร่องปูพรมพัฒนาทักษะการเขียนให้กับนักเรียนชั้น ป. 3 และ ป. 6 โดยตั้งเป้าว่าภายในสิ้นปีการศึกษา 2556 นักเรียน ป. 3 ทุกคนจะต้องอ่านออกเขียนได้ ส่วนนักเรียน ป.6 ทุกคนจะต้องอ่านรู้เรื่อง ก็คงจะเป็นความหวังของทุกคนที่อยากจะให้ความฝันนี้เป็นจริงในเร็ววัน
เมื่อมีการหยิบยกปัญหาการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียนมาถกกันคราใด เรามักจะได้ยินการโทษกันไปมาต่าง ๆ นานา ไม่ว่าจะเป็น “ครูไม่สอนแบบแจกลูก-สะกดคำ-ผันเสียงนักเรียนจึงอ่านไม่ได้” “เพราะนโยบายไม่มีการซ้ำชั้นปล่อยให้เด็กที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้เลื่อนชั้นขึ้นมา” “หนังสือเรียนยุคนี้ไม่ดีพอขาดประสิทธิภาพในลำดับขั้นตอนจากง่ายไปหายากและขาดระบบในการนำฝึกที่ดี” “ผู้บริหารวางตัวครูผู้สอนชั้น ป.1 ที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมไม่เข้าใจวิถีภาษาไทย” เหล่านี้เป็นต้น
จากการได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับบุคคลร่วมสมัยพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ซึ่งทุกคนล้วนเห็นตรงกันว่าการสอนภาษาไทยแบบเดิม ๆ ที่มีการสอนอ่านแบบแจกลูกสะกดคำนั้นจะช่วยให้เด็กอ่านได้และอ่านคล่องติดตัวไปอย่างยั่งยืน แต่อย่างไรก็ตาม การสอนแบบแจกลูกสะกดคำนั้นควรสอนในช่วงที่นักเรียนยังอ่านหนังสือไม่แตกฉาน แต่ก็ไม่ได้มีกฎตายตัวว่าจะต้องสอนถึงชั้นใด เพราะหากนักเรียนอ่านได้แล้วการแจกลูกสะกดคำก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะเชื่อว่าการสอนแบบแจกลูกสะกดคำเป็นเสมือนการให้เครื่องมือตกปลา ที่ครูมอบให้นักเรียนนำไปใช้ในการหาปลามารับประทานเองในระดับที่สูงขึ้นได้
คงต้องเป็นหน้าที่ของครูที่จะต้องวิเคราะห์และจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องเหมาะสมแต่ละช่วงวัย เช่น ระดับอนุบาลเน้น การฟัง – พูด – เปล่งเสียงคำ ท่อง – ร้องจำพยัญชนะ สระ เขียนเส้น – เขียนอักษร – ตัวเลข นักเรียนชั้น ป. 1 - 3 เน้นในเรื่องของการอ่านออก – เขียนได้ แจกลูก – สะกดคำ – ผันเสียง ส่วนชั้น ป. 4 - 6 ให้เน้นในเรื่องของการอ่านคล่อง – เขียนคล่อง อ่านจับใจความ เขียนบันทึก เขียนเรื่อง รวมไปถึงการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียนสร้างสรรค์ เป็นต้น
สิ่งสำคัญคือครูผู้สอนจะต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียน จัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับนักเรียนแต่ละคน เพราะนักเรียนบางคนแค่เพียงสะกดคำก็อ่านคำนั้นได้ แต่บางคนต้องใช้วิธีให้สะกดคำ เทียบคำที่เคยอ่านได้ หรืออ่านซ้ำ ๆ ส่วนบางคนอาจจะใช้วิธีสอนแบบปกติไม่ได้เลย ดังนั้น ครูจะต้องสอนด้วยวิธีการที่หลากหลายแตกต่างกันไป มีเทคนิคการสอนและใช้สื่อหลากหลาย ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ ต้องทำให้เด็กสนุกกับการเรียนรู้ ไม่เป็นทุกข์เมื่อถึงเวลาเรียนเพียงเพราะรู้สึกว่าภาษาไทยเป็นเรื่องที่ยาก
คงถึงเวลาแล้วที่จะหยิบยกปัญหาการอ่านออกเขียนได้มาวิเคราะห์ทบทวนเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง พร้อมหาแนวทางแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดกันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า หากผู้บริหารระดับนโยบายพร้อมที่จะขับเคลื่อนผลักดันให้คุณครูทุกคนร่วมแรงร่วมใจช่วยกันพัฒนาคุณภาพเด็กไทย โดยการเริ่มต้นจากการอ่านออกเขียนได้ 100 % ก็คงจะไม่ไกลเกินความฝัน เพราะถือเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขเพื่อ “ตัดไฟแต่ต้นลม” ก่อนที่จะวิกฤติมากเกินกว่าที่จะเยียวยาแก้ไข
ฟาฏินา วงศ์เลขา
http://www.dailynews.co.th/education/236677
ข่าวจาก:::::::::::::::
อ่านออกเขียนได้100%ไม่ไกลเกินฝัน
ภาษาไทยถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญทางวัฒนธรรมของชาติและยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อสื่อสารและการเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนไทยทุกคน แต่ปัญหาที่พบ คือ เด็กไทยในระดับประถมศึกษาจำนวนไม่น้อยที่ยังมีปัญหาด้านการอ่านเขียนภาษาไทย ซึ่งมีทั้งที่อ่านไม่คล่อง เขียนไม่คล่อง ส่วนขั้นที่รุนแรงอย่างน่าวิตกถึงขนาดที่ว่า “อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้” ก็ยังมีอีกจำนวนหนึ่ง
เชื่อว่าทุกท่านตระหนักและเห็นความสำคัญของการอ่านเขียนภาษาไทย เพราะถือเป็นพื้นฐานที่จะส่งผลกระทบไปถึงการเรียนรู้วิชาอื่น ๆ เป็นอย่างมาก ถ้าหากนักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ก็จะทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาอื่น ๆ ตกต่ำตามไปด้วย
จากข้อมูลการสำรวจเพื่อคัดกรองเด็กที่มีปัญหาด้านการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พบว่า นักเรียนในระดับชั้น ป.3 จากจำนวนนักเรียน 445,000 คน มีที่อยู่ในข่ายต้องปรับปรุง ประมาณ 127,800 คน แยกเป็นนักเรียนที่อ่านไม่ได้เลย จำนวน 27,000 คน หรือ 6.27% นักเรียนที่อ่านได้แต่อยู่ในระดับปรับปรุง จำนวน 23,700 คน หรือ 5.32% อ่านได้แต่ไม่เข้าใจ จำนวน 14,600 คน หรือ 3.2% อ่านได้เข้าใจบ้าง จำนวน 62,000 คน หรือ 14% ส่วนนักเรียนระดับชั้น ป.6 จากจำนวน 444,000 คน มีที่อยู่ในข่ายต้องปรับปรุง ประมาณ 73,290 คน แยกเป็นนักเรียนที่อ่านไม่ได้เลยจำนวน 7,880 คน หรือ 1.77% นักเรียนที่อ่านได้แต่อยู่ในระดับปรับปรุง จำนวน 6,750 คน หรือ 1.52% อ่านได้แต่ไม่เข้าใจ จำนวน 7,080 คน หรือ 1.59% อ่านได้เข้าใจบ้าง จำนวน 51,580 คน หรือ 11.6%
“ตัวเลขข้างต้นเป็นการสะท้อนปัญหาระบบการศึกษาไทยพอสมควร จะพบว่าทั้งชั้น ป. 3 และ ป. 6 มีนักเรียนต้องปรับปรุงเรื่องการอ่านออก-เขียนได้ ประมาณ 2 แสนคน ถือว่ามียอดสูง แต่ผมก็ถือว่าผู้บริหารโรงเรียนและครูมีความกล้าที่จะเผชิญความจริง ไม่มีการอะลุ่มอล่วยทำให้ยอดเด็กอ่านหนังสือไม่ออกมาต่ำ เพื่อปกปิดความล้มเหลวของโรงเรียนและครู อย่างไรก็ดี อยากฝากให้ผู้ปกครองเข้าใจว่าเราไม่ได้มองว่าเด็กกลุ่มนี้คือปัญหาหรือความบกพร่อง และจะไม่ตำหนิครูเพราะถือเป็นความผิดพลาดล้มเหลวที่ระบบการศึกษา ซึ่งเรากำลังหาทางแก้ไขอยู่ และดีที่เราจับจุดถูกและเร็ว มิฉะนั้นการแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์ตกต่ำอื่นๆ จะไม่สามารถแก้ได้” นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์สืบเนื่องจากการเปิดเผยข้อมูลของ สพฐ.
จากนโยบายที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ต้องการให้ สพฐ. เร่งแก้ปัญหาใหญ่เด็กไทยอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ อ่านจับใจความไม่รู้เรื่องนั้น สพฐ. เตรียมนำร่องปูพรมพัฒนาทักษะการเขียนให้กับนักเรียนชั้น ป. 3 และ ป. 6 โดยตั้งเป้าว่าภายในสิ้นปีการศึกษา 2556 นักเรียน ป. 3 ทุกคนจะต้องอ่านออกเขียนได้ ส่วนนักเรียน ป.6 ทุกคนจะต้องอ่านรู้เรื่อง ก็คงจะเป็นความหวังของทุกคนที่อยากจะให้ความฝันนี้เป็นจริงในเร็ววัน
เมื่อมีการหยิบยกปัญหาการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียนมาถกกันคราใด เรามักจะได้ยินการโทษกันไปมาต่าง ๆ นานา ไม่ว่าจะเป็น “ครูไม่สอนแบบแจกลูก-สะกดคำ-ผันเสียงนักเรียนจึงอ่านไม่ได้” “เพราะนโยบายไม่มีการซ้ำชั้นปล่อยให้เด็กที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้เลื่อนชั้นขึ้นมา” “หนังสือเรียนยุคนี้ไม่ดีพอขาดประสิทธิภาพในลำดับขั้นตอนจากง่ายไปหายากและขาดระบบในการนำฝึกที่ดี” “ผู้บริหารวางตัวครูผู้สอนชั้น ป.1 ที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมไม่เข้าใจวิถีภาษาไทย” เหล่านี้เป็นต้น
จากการได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับบุคคลร่วมสมัยพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ซึ่งทุกคนล้วนเห็นตรงกันว่าการสอนภาษาไทยแบบเดิม ๆ ที่มีการสอนอ่านแบบแจกลูกสะกดคำนั้นจะช่วยให้เด็กอ่านได้และอ่านคล่องติดตัวไปอย่างยั่งยืน แต่อย่างไรก็ตาม การสอนแบบแจกลูกสะกดคำนั้นควรสอนในช่วงที่นักเรียนยังอ่านหนังสือไม่แตกฉาน แต่ก็ไม่ได้มีกฎตายตัวว่าจะต้องสอนถึงชั้นใด เพราะหากนักเรียนอ่านได้แล้วการแจกลูกสะกดคำก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะเชื่อว่าการสอนแบบแจกลูกสะกดคำเป็นเสมือนการให้เครื่องมือตกปลา ที่ครูมอบให้นักเรียนนำไปใช้ในการหาปลามารับประทานเองในระดับที่สูงขึ้นได้
คงต้องเป็นหน้าที่ของครูที่จะต้องวิเคราะห์และจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องเหมาะสมแต่ละช่วงวัย เช่น ระดับอนุบาลเน้น การฟัง – พูด – เปล่งเสียงคำ ท่อง – ร้องจำพยัญชนะ สระ เขียนเส้น – เขียนอักษร – ตัวเลข นักเรียนชั้น ป. 1 - 3 เน้นในเรื่องของการอ่านออก – เขียนได้ แจกลูก – สะกดคำ – ผันเสียง ส่วนชั้น ป. 4 - 6 ให้เน้นในเรื่องของการอ่านคล่อง – เขียนคล่อง อ่านจับใจความ เขียนบันทึก เขียนเรื่อง รวมไปถึงการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียนสร้างสรรค์ เป็นต้น
สิ่งสำคัญคือครูผู้สอนจะต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียน จัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับนักเรียนแต่ละคน เพราะนักเรียนบางคนแค่เพียงสะกดคำก็อ่านคำนั้นได้ แต่บางคนต้องใช้วิธีให้สะกดคำ เทียบคำที่เคยอ่านได้ หรืออ่านซ้ำ ๆ ส่วนบางคนอาจจะใช้วิธีสอนแบบปกติไม่ได้เลย ดังนั้น ครูจะต้องสอนด้วยวิธีการที่หลากหลายแตกต่างกันไป มีเทคนิคการสอนและใช้สื่อหลากหลาย ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ ต้องทำให้เด็กสนุกกับการเรียนรู้ ไม่เป็นทุกข์เมื่อถึงเวลาเรียนเพียงเพราะรู้สึกว่าภาษาไทยเป็นเรื่องที่ยาก
คงถึงเวลาแล้วที่จะหยิบยกปัญหาการอ่านออกเขียนได้มาวิเคราะห์ทบทวนเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง พร้อมหาแนวทางแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดกันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า หากผู้บริหารระดับนโยบายพร้อมที่จะขับเคลื่อนผลักดันให้คุณครูทุกคนร่วมแรงร่วมใจช่วยกันพัฒนาคุณภาพเด็กไทย โดยการเริ่มต้นจากการอ่านออกเขียนได้ 100 % ก็คงจะไม่ไกลเกินความฝัน เพราะถือเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขเพื่อ “ตัดไฟแต่ต้นลม” ก่อนที่จะวิกฤติมากเกินกว่าที่จะเยียวยาแก้ไข
ฟาฏินา วงศ์เลขา
http://www.dailynews.co.th/education/236677
ข่าวจาก:::::::::::::::