ยาวนะครับ นักปรัชญาสมัยก่อนเมื่อเหมือนห้องหว้ากอสมัยนี้ที่มีปัญหา ความเห็นไม่ตรงกันก็ยกเห็นผลมาสนับสนุตนและคัดค้านผู้เห็นต่างเพียงแต่สมัยนั้น ไม่มีเว็บบอร์ด อินเตอร์เนต จึงเป็นสนทนาธรรมแบบพูดคุยถกเถียงกัน สิ่งที่ชาวหว้ากอกำลังทำอยู่ คือประเด็นตายแล้วสูญหรือไม่ สมัยก่อนเมื่อสองพันห้าร้อยปีที่แล้วเขาก็มีการถกเถียงเรื่องนี้กันมาแล้ว พระไตรปิฎกได้เขียนเรื่องราวเหล่านั้นไว้
คิดเห็นอย่างไร ในการยกเหตุผลเรื่องการตายแล้วสูญของ พระกุมารกัสสปะ เชิญสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นกันดังในปายาสิราชัญญสูตรเทอญ
ขอตั้งข้อสังเกตว่า ฝ่ายพระเจ้าปายาสิที่เชื่อว่าการตายแล้วสูญนั้น ได้มีการตั้งสมมติฐาน ทำการทดลอง แล้วสรุปผล ดัง scientific method ในปัจจุบัน แม้นจะควบคุมตัวแปรได้ไม่ดีพอ
ส่วนพระกุมารกัสสปะนั้นใช้การตรึก คล้ายอริสโตเติล ซึ่งอาจนำไปสู่ fallacy หรือเหตุผลวิบัติได้
เนื้อหาเรียบเรียงจาก
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
ทีฆนิกาย มหาวรรค
ปายาสิราชัญญสูตร
------------------------------
เหตุการณ์เกิดหลังพุทธปรินิพพานประมาณกี่ปีก็ไม่บอก คัมภีร์พระพุทธศาสนาก็อย่างนี้แหละครับ มุ่งแสดงแต่สัจธรรม ไม่สนใจ “บริบท” แห่งกาลเวลาและสถานที่ ปล่อยให้ผู้ศึกษาค้นคว้าหาเอาเอง เรื่องราวของปายาสิราชันย์ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎก ส่วนสุตตันตปิฎกทีฆนิกาย ชื่อว่า ปายาสิราชัญญาสูตร
พระเจ้าปายาสิ ครองเมืองเสตัพยะ เมืองขึ้นของแคว้นโกศล ของมหาราชพระนามว่า ปเสนทิโกศล พระเจ้าปายาสิเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือมีความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าชาติก่อนชาติหน้าไม่มี บุญบาปไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี
เนื่องจากปายาสิเป็นนักคิด นักปรัชญา กว่าจะตกลงปลงใจยึดมั่นในความเห็นเช่นนี้ก็นาน มิใช่อยู่ๆ ก็สรุปเอาเอง พระองค์ได้ทำการค้นคว้าทดลองตามกรรมวิธีของพระองค์หลายอย่าง แล้วก็ได้ข้อสรุปว่า บุญบาปไม่มีจริง นรกสวรรค์ไม่มีจริง
พวกสมณพราหมณ์สอนเรื่องเหล่านี้เพื่อตัวพวกเขาเองมากกว่า คือ สอนคนให้ทำบุญทำทาน ก็เพื่อพวกเขาจะได้รับประทานกินอยู่สบาย แล้วก็หลอกให้ผู้โง่เขลานำเอาของไปให้ เพื่อหวังสุคติโลกสวรรค์
ปายาสิได้ทดลองอะไรบ้าง เอาไว้ให้ปายาสิท่านได้เล่าเองในภายหลัง ตอนนี้มาพูดถึงเหตุการณ์ทั่วไปก่อน เมื่อพระองค์มีความเชื่ออย่างนี้ แล้วก็ไปรุกรานพวกสมณชีพราหมณ์ทั้งหลาย ว่าพวกท่านเหล่านั้นกำลังหลอกลวงประชาชนผู้โง่เขลา เมื่อสมณชีพราหมณ์ทั้งหลายได้โต้ตอบว่ามิได้หลอกลวงแต่ประการใด เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เป็นไปได้จริง แต่เนื่องจากท่านเหล่านั้นไม่มีปฏิภาณปัญญาพอจะโต้ตอบหักล้างความคิดเห็นของปายาสิได้ จึงพากันถอยไปเป็นส่วนมาก
ปายาสิก็ยิ่งได้ใจ ประกาศท้าโต้วาทะกับนักปราชญ์คนใดก็ได้ในโลก อย่างว่านั้นแหละ เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือปายาสิยังมีพระคุณเจ้ากุมารกัสสปะ
กุมารกัสสปะ เป็นนามของพระเถระอดีตสามเณรน้อย และอดีตโอรสบุญธรรมของพระเจ้าปเสนทิโกศล มีความเป็นมาย่อ ๆ ว่า นางภิกษุณีนิรนามรูปหนึ่งตั้งครรภ์ก่อนมาบวช ครั้นบวชแล้วก็คลอดบุตร พระเทวทัตผู้ดูแลภิกษุณีรูปนั้นอยู่ไล่ท่านสึกหาว่าต้องปาราชิก พระพุทธเจ้ารับสั่งให้พระอุบาลีเถระเป็นประธานสอบสวนปรากฏว่าภิกษุณีบริสุทธิ์ เมื่อคลอดบุตรออกมา พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทราบเรื่อง จึงทรงนำไปเลี้ยงเป็นโอรสบุญธรรม ขนานนามว่า กุมารกัสสปะ
หนูน้อยกุมารกัสสปะบวชเป็นสามเณรแต่อายุยังน้อย อยู่ในพระพุทธศาสนาเรื่อยมาจนเป็นภิกษุ เป็นผู้คงแก่เรียน มีปฏิสัมภิทาญาณแตกฉานในพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง ได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ในเอตัคคะ (ความเป็นเลิศ) ทางด้านเป็นพระธรรมกถึกแสดงธรรมได้อย่างวิจิตรพิสดาร
พระกุมารกัสสปะทราบเรื่องราวของพระเจ้าปายาสิ จึงไปพบเพื่อเตือนให้ละความเห็นผิดนั้น ปายาสิหรือจะยอมง่าย ๆ ขอท้าโต้วาทะกับท่าน บอกว่า ถ้าพระเถระสามารถหาเหตุผลมาหักล้างความเห็นของเขา ทำให้เขายอมรับได้ จะนับถือเป็นอาจารย์ และแล้วการโต้วาทะกันก็เกิดขึ้น พระเถระถามว่า “เพราะเหตุใด มหาบพิตรจึงมีความเชื่อว่าบุญบาปไม่มี สวรรค์นรกไม่มี”
ปายาสิตรัสว่า “โยมได้ทดลองอยู่หลายครั้ง จนแน่ใจว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มี”
กุมารกัสสปะ “ทดลองอย่างไร”
ปายาสิ “โยมเคยบอกให้คนที่ทำชั่วมากที่สุด ที่พวกสมณพราหมณ์สอนว่าตายแล้วจะไปตกนรกแน่นอน สั่งเขาว่าถ้าตายไปตกนรกจริง ก็ให้กลับมาบอก เขาก็รับปาก แต่จนป่านนี้เขายังไม่มาบอกเลย แสดงว่าเขาไม่ไปตกนรกจริง”
กุมารกัสสปะ “มหาบพิตร สมมติว่านักโทษที่ต้องโทษเด็ดขาด ถูกสั่งประหารชีวิต เขาจะขอว่า ขอให้ปล่อยเขาไปสั่งเสียลูกเมียสักสามสี่วันก่อนเถอะ แล้วเขาจะกลับมาให้ประหาร จะได้ไหม”
ปายาสิ “ไม่ได้สิ พระคุณเจ้า นักโทษเด็ดขาดไม่ได้รับอิสรภาพขนาดนั้น เกรงเขาจะหนีไปเสีย ทางการจึงไม่อนุญาต”
กุมารกัสสปะ “เช่นเดียวกัน นักโทษเด็ดขาด ไม่ได้รับอิสรภาพแม้เพียงชั่วคราว สัตว์ตายไปเกิดในนรกก็ไม่มีอิสรภาพไปไหนมาไหนได้ ถึงแม้เขาจะไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับพระองค์ เขาก็ไม่สามารถมาบอกได้”
ปายาสิ “เรื่องนี้พอฟังขึ้น แต่โยมก็ได้สั่งให้คนที่มีศีลมีธรรมที่พวกสมณพราหมณ์บอกว่า ตายแล้วต้องไปเกิดบนสวรรค์แน่นอน สั่งให้เขามาบอกบ้าง แต่เขาก็ไม่มาบอก เขาไม่ถูกกักกันอะไรมิใช่หรือ ทำไมจึงไม่มาบอกเล่า”
กุมารกัสสปะ “มีอยู่สองเหตุผล ประการที่หนึ่ง วันเวลาของมนุษย์และเทวดาไม่เท่ากัน วันหนึ่งของบนสวรรค์เท่ากับร้อยปีของมนุษย์ ถึงแม้คนนั้นไม่ลืมสัญญา กว่าจะกลับมาบอกมหาบพิตรก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปนานแล้ว
อีกประการหนึ่ง ผู้ที่ไปเกิดเป็นเทวดาแล้ว ย่อมไม่ปรารถนากลับมายังโลกมนุษย์อีก เพราะมนุษย์โลกน่ารังเกียจ ดุจคนตกหลุมคูถเน่าเหม็น คนช่วยให้ขึ้นมาอาบน้ำชำระกายให้สะอาด ประพรมด้วยน้ำหอมอย่างดี จะให้เขากระโดดลงไปในหลุมคูถอีก เขาย่อมไม่ปรารถนาจะลงไป ฉะนั้นแล”
ปายาสิ “โยมยังไม่เชื่ออยู่ดีที่ว่าคนเราตายไปแล้วไปเกิดใหม่ โยมก็ทดลองแล้ว ไม่เห็นเป็นตามที่พวกสมณพราหมณ์สอนกันเลย”
กุมารกัสสปะ “มหาบพิตรทรงทดลองอย่างไร”
ปายาสิ “โยมสั่งให้เอาโจรลงไปในหม้อใหญ่ ๆ ทั้งเป็น ปิดฝา แล้วเอาหนังรัดให้แน่น เอาดินเหนียวฉาบให้มิดชิด ยกขึ้นเตาจุดไฟเผา เมื่อรู้ว่าตายแล้วก็ยกลง กระเทาะดินออก เปิดฝาค่อย ๆ เฝ้าดูเพื่อจะดูว่า “ชีวะ” (วิญญาณ) มันออกทางไหน ก็ไม่เห็นมีอะไรออกไป จึงสรุปได้ว่าโลกอื่นไม่มีแน่นอน”
กุมารกัสสปะ “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เวลามหาบพิตรบรรทมหลับในตอนกลางวัน มีมหาดเล็กนั่งเฝ้าอยู่ พระองค์พระสุบินนิมิต (ฝัน) ในกลางวัน ว่าพระองค์เสด็จไปเที่ยวป่าบ้าง เที่ยวชมรมณียสถานต่าง ๆบ้าง มหาดเล็กที่นั่งเฝ้าอยู่เห็น “ชีวะ” ของพระองค์ออกไปทางไหนไหม”
ปายาสิ “ไม่เห็นพระคุณเจ้า”
กุมารกัสสปะ “นี่ขนาดมหาบพิตรยังทรงมีพระชนม์อยู่ ชีวะออกจากร่างทางไหน มหาดเล็กยังไม่เห็นเลย ไฉนจะเห็น “ชีวะ” ของคนตายแล้วเล่า”
ปายาสิ “โยมยังทดลองอีกนะ พระคุณเจ้าสั่งให้ชั่งน้ำหนักนักโทษประหารแล้วก็ประหาร โดยเอาเชือกรัดคอ พอเขาตายแล้วก็ชั่งน้ำหนักอีกครั้ง ปรากฏว่าศพน้ำหนักมากกว่าเมื่อเขายังมีชีวิตอีก ไหนว่าตายแล้วชีวะ(วิญญาณ) ออกจากร่างไง ทำไมจึงหนักกว่าตอนมีชีวิตเล่า”
กุมารกัสสปะ “มหาบพิตร เหล็กที่เผาไฟร้อน ย่อมเบากว่าเหล็กเย็น ๆ ฉันใด ร่างกายคนเป็นสิ่งมีจิตวิญญาณ มีเตโชธาตุ ปฐวีธาตุ วาโยธาตุ อาโปธาตุ ย่อมเบากว่าศพฉันนั้น
แม้ว่าพระเถระจะยกตรรกะหรือเหตุผลมาหักล้างอย่างไร ปายาสิราชันย์ก็ยังไม่ยอมรับ ยังคงเสนอ “ผลงานวิจัย” ของพระองค์ต่อไป
พระเจ้าปายาสิรายงานให้พระกุมารกัสสปะทราบว่า พระองค์ทรงทดลองอีกวิธีหนึ่ง เพื่อพิสูจน์ว่าตายแล้วเกิดจริงหรือไม่ โดยสั่งให้นักโทษประหาร โดยไม่ให้กระทบกระทั่งผิดหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก เพื่อจะดูว่า “ชีวะ” (วิญญาณ) ออกจากร่างทางไหน เมื่อโจรตายแล้วก็ให้จับพลิกคว่ำหงายดู ให้นอนตะแคง จับห้อยหัวลง ฯลฯ ก็ไม่เห็นช่องไหนที่ชีวะหรือวิญญาณออกจากร่างไป
นี้แสดงว่า ตายแล้วไม่ไปเกิดใหม่จริง เพราะไม่เห็นมีอะไรออกจากร่างไปเกิดใหม่
พระกุมารกัสสปะอธิบายเปรียบเทียบให้ฟังว่า บุรุษหนึ่งเป่าสังข์เสียงไพเราะ ชาวบ้านนอกได้ยินก็มารุมถามว่าเสียงอะไร เขาบอกว่าเสียงสังข์ ชาวบ้านถามว่า เสียงออกมาทางไหน บุรุษนั้นตอบว่า ออกมาจากสังข์ ชาวบ้านจึงจับสังข์มาพลิกไปมาเพื่อให้สังข์เปล่งเสียง สังข์ก็ไม่เปล่งเสียงอะไร ฉันใด ชีวะ ถ้ามันออกจากร่างจริง ก็ไม่สามารถเห็นได้ด้วยประสาทสัมผัส ฉันนั้น
หมายเหตุไว้ตรงนี้ว่า ความจริงความคิดที่ว่า ร่างกายแตกดับแล้ว วิญญาณออกจากร่างไปเกิดใหม่นั้น เป็นความเชื่อนอกพระพุทธศาสนา พระเจ้าปายาสิเชื่อตามที่สมณพราหมณ์สมัยนั้นสอนกัน จึงพยายามทดลองว่า คนเราเมื่อตายไป ชีวะหรือวิญญาณมันออกไปทางไหน เมื่อหาไม่พบ จึงมีความเข้าใจว่าไม่มีการตายการเกิด
พระกุมารกัสสปะยกอุปมาอุปไมยให้ฟังว่า ถึงแม้ (สมมติว่า) วิญญาณมันออกจากร่างจริง วิญญาณมันไม่มีรูปร่าง มันจะมีร่องรอยแห่งการไปมาได้อย่างไร ดุจเสียงสังข์ที่ออกจากสังข์ ก็รู้แต่ว่ามันออกไป แต่มันออกไปทางไหนย่อมบอกไม่ได้ ฉันนั้น การยกเหตุผลมาชี้แจงนี้ เป็นเหตุผลทางตรรกะที่พอฟังแล้วเข้าใจได้ทันที แต่มิได้หมายความว่า พระพุทธศาสนาสอนการตายเกิดแบบนี้ อันนี้พึงคำนึงในเรื่องนี้ให้ดีนะครับ
ปายาสิราชันย์ยังไม่ยอม ยังอ้างผลงานวิจัยต่อไปว่า เคยสั่งให้ชำแหละร่างของโจรทีละชิ้น ๆ อย่างละเอียด เพื่อดูว่าชีวะมันอยู่ที่ไหน ก็ไม่พบ แสดงว่าโลกอื่นไม่มีจริง ที่ว่าตายแล้วชีวะไปเกิดในโลกใหม่ ย่อมเป็นไปไม่ได้
พระกุมารกัสสปะกล่าวว่า “อาตมาภาพจะยกเรื่องราวให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง”
มีฤาษีตนหนึ่งเป็นผู้นับถือการบูชาไฟในป่า มีลูกศิษย์เป็นเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง วันหนึ่งฤาษีจะไปธุระข้างนอกอาศรม สั่งลูกศิษย์ให้ดูแลไฟอย่างดี อย่าให้ดับ ถ้าไฟดับก็ให้ก่อขึ้นใหม่
ชาววิทย์ควรฟัง ตายแล้วสูญเป็นความเห็นผิดมีวินิจฉัยแล้ว ในปายาสิราชัญญสูตร ? (จริงหรือ?)
คิดเห็นอย่างไร ในการยกเหตุผลเรื่องการตายแล้วสูญของ พระกุมารกัสสปะ เชิญสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นกันดังในปายาสิราชัญญสูตรเทอญ
ขอตั้งข้อสังเกตว่า ฝ่ายพระเจ้าปายาสิที่เชื่อว่าการตายแล้วสูญนั้น ได้มีการตั้งสมมติฐาน ทำการทดลอง แล้วสรุปผล ดัง scientific method ในปัจจุบัน แม้นจะควบคุมตัวแปรได้ไม่ดีพอ
ส่วนพระกุมารกัสสปะนั้นใช้การตรึก คล้ายอริสโตเติล ซึ่งอาจนำไปสู่ fallacy หรือเหตุผลวิบัติได้
เนื้อหาเรียบเรียงจาก
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
ทีฆนิกาย มหาวรรค
ปายาสิราชัญญสูตร
------------------------------
เหตุการณ์เกิดหลังพุทธปรินิพพานประมาณกี่ปีก็ไม่บอก คัมภีร์พระพุทธศาสนาก็อย่างนี้แหละครับ มุ่งแสดงแต่สัจธรรม ไม่สนใจ “บริบท” แห่งกาลเวลาและสถานที่ ปล่อยให้ผู้ศึกษาค้นคว้าหาเอาเอง เรื่องราวของปายาสิราชันย์ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎก ส่วนสุตตันตปิฎกทีฆนิกาย ชื่อว่า ปายาสิราชัญญาสูตร
พระเจ้าปายาสิ ครองเมืองเสตัพยะ เมืองขึ้นของแคว้นโกศล ของมหาราชพระนามว่า ปเสนทิโกศล พระเจ้าปายาสิเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือมีความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าชาติก่อนชาติหน้าไม่มี บุญบาปไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี
เนื่องจากปายาสิเป็นนักคิด นักปรัชญา กว่าจะตกลงปลงใจยึดมั่นในความเห็นเช่นนี้ก็นาน มิใช่อยู่ๆ ก็สรุปเอาเอง พระองค์ได้ทำการค้นคว้าทดลองตามกรรมวิธีของพระองค์หลายอย่าง แล้วก็ได้ข้อสรุปว่า บุญบาปไม่มีจริง นรกสวรรค์ไม่มีจริง
พวกสมณพราหมณ์สอนเรื่องเหล่านี้เพื่อตัวพวกเขาเองมากกว่า คือ สอนคนให้ทำบุญทำทาน ก็เพื่อพวกเขาจะได้รับประทานกินอยู่สบาย แล้วก็หลอกให้ผู้โง่เขลานำเอาของไปให้ เพื่อหวังสุคติโลกสวรรค์
ปายาสิได้ทดลองอะไรบ้าง เอาไว้ให้ปายาสิท่านได้เล่าเองในภายหลัง ตอนนี้มาพูดถึงเหตุการณ์ทั่วไปก่อน เมื่อพระองค์มีความเชื่ออย่างนี้ แล้วก็ไปรุกรานพวกสมณชีพราหมณ์ทั้งหลาย ว่าพวกท่านเหล่านั้นกำลังหลอกลวงประชาชนผู้โง่เขลา เมื่อสมณชีพราหมณ์ทั้งหลายได้โต้ตอบว่ามิได้หลอกลวงแต่ประการใด เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เป็นไปได้จริง แต่เนื่องจากท่านเหล่านั้นไม่มีปฏิภาณปัญญาพอจะโต้ตอบหักล้างความคิดเห็นของปายาสิได้ จึงพากันถอยไปเป็นส่วนมาก
ปายาสิก็ยิ่งได้ใจ ประกาศท้าโต้วาทะกับนักปราชญ์คนใดก็ได้ในโลก อย่างว่านั้นแหละ เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือปายาสิยังมีพระคุณเจ้ากุมารกัสสปะ
กุมารกัสสปะ เป็นนามของพระเถระอดีตสามเณรน้อย และอดีตโอรสบุญธรรมของพระเจ้าปเสนทิโกศล มีความเป็นมาย่อ ๆ ว่า นางภิกษุณีนิรนามรูปหนึ่งตั้งครรภ์ก่อนมาบวช ครั้นบวชแล้วก็คลอดบุตร พระเทวทัตผู้ดูแลภิกษุณีรูปนั้นอยู่ไล่ท่านสึกหาว่าต้องปาราชิก พระพุทธเจ้ารับสั่งให้พระอุบาลีเถระเป็นประธานสอบสวนปรากฏว่าภิกษุณีบริสุทธิ์ เมื่อคลอดบุตรออกมา พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทราบเรื่อง จึงทรงนำไปเลี้ยงเป็นโอรสบุญธรรม ขนานนามว่า กุมารกัสสปะ
หนูน้อยกุมารกัสสปะบวชเป็นสามเณรแต่อายุยังน้อย อยู่ในพระพุทธศาสนาเรื่อยมาจนเป็นภิกษุ เป็นผู้คงแก่เรียน มีปฏิสัมภิทาญาณแตกฉานในพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง ได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ในเอตัคคะ (ความเป็นเลิศ) ทางด้านเป็นพระธรรมกถึกแสดงธรรมได้อย่างวิจิตรพิสดาร
พระกุมารกัสสปะทราบเรื่องราวของพระเจ้าปายาสิ จึงไปพบเพื่อเตือนให้ละความเห็นผิดนั้น ปายาสิหรือจะยอมง่าย ๆ ขอท้าโต้วาทะกับท่าน บอกว่า ถ้าพระเถระสามารถหาเหตุผลมาหักล้างความเห็นของเขา ทำให้เขายอมรับได้ จะนับถือเป็นอาจารย์ และแล้วการโต้วาทะกันก็เกิดขึ้น พระเถระถามว่า “เพราะเหตุใด มหาบพิตรจึงมีความเชื่อว่าบุญบาปไม่มี สวรรค์นรกไม่มี”
ปายาสิตรัสว่า “โยมได้ทดลองอยู่หลายครั้ง จนแน่ใจว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มี”
กุมารกัสสปะ “ทดลองอย่างไร”
ปายาสิ “โยมเคยบอกให้คนที่ทำชั่วมากที่สุด ที่พวกสมณพราหมณ์สอนว่าตายแล้วจะไปตกนรกแน่นอน สั่งเขาว่าถ้าตายไปตกนรกจริง ก็ให้กลับมาบอก เขาก็รับปาก แต่จนป่านนี้เขายังไม่มาบอกเลย แสดงว่าเขาไม่ไปตกนรกจริง”
กุมารกัสสปะ “มหาบพิตร สมมติว่านักโทษที่ต้องโทษเด็ดขาด ถูกสั่งประหารชีวิต เขาจะขอว่า ขอให้ปล่อยเขาไปสั่งเสียลูกเมียสักสามสี่วันก่อนเถอะ แล้วเขาจะกลับมาให้ประหาร จะได้ไหม”
ปายาสิ “ไม่ได้สิ พระคุณเจ้า นักโทษเด็ดขาดไม่ได้รับอิสรภาพขนาดนั้น เกรงเขาจะหนีไปเสีย ทางการจึงไม่อนุญาต”
กุมารกัสสปะ “เช่นเดียวกัน นักโทษเด็ดขาด ไม่ได้รับอิสรภาพแม้เพียงชั่วคราว สัตว์ตายไปเกิดในนรกก็ไม่มีอิสรภาพไปไหนมาไหนได้ ถึงแม้เขาจะไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับพระองค์ เขาก็ไม่สามารถมาบอกได้”
ปายาสิ “เรื่องนี้พอฟังขึ้น แต่โยมก็ได้สั่งให้คนที่มีศีลมีธรรมที่พวกสมณพราหมณ์บอกว่า ตายแล้วต้องไปเกิดบนสวรรค์แน่นอน สั่งให้เขามาบอกบ้าง แต่เขาก็ไม่มาบอก เขาไม่ถูกกักกันอะไรมิใช่หรือ ทำไมจึงไม่มาบอกเล่า”
กุมารกัสสปะ “มีอยู่สองเหตุผล ประการที่หนึ่ง วันเวลาของมนุษย์และเทวดาไม่เท่ากัน วันหนึ่งของบนสวรรค์เท่ากับร้อยปีของมนุษย์ ถึงแม้คนนั้นไม่ลืมสัญญา กว่าจะกลับมาบอกมหาบพิตรก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปนานแล้ว
อีกประการหนึ่ง ผู้ที่ไปเกิดเป็นเทวดาแล้ว ย่อมไม่ปรารถนากลับมายังโลกมนุษย์อีก เพราะมนุษย์โลกน่ารังเกียจ ดุจคนตกหลุมคูถเน่าเหม็น คนช่วยให้ขึ้นมาอาบน้ำชำระกายให้สะอาด ประพรมด้วยน้ำหอมอย่างดี จะให้เขากระโดดลงไปในหลุมคูถอีก เขาย่อมไม่ปรารถนาจะลงไป ฉะนั้นแล”
ปายาสิ “โยมยังไม่เชื่ออยู่ดีที่ว่าคนเราตายไปแล้วไปเกิดใหม่ โยมก็ทดลองแล้ว ไม่เห็นเป็นตามที่พวกสมณพราหมณ์สอนกันเลย”
กุมารกัสสปะ “มหาบพิตรทรงทดลองอย่างไร”
ปายาสิ “โยมสั่งให้เอาโจรลงไปในหม้อใหญ่ ๆ ทั้งเป็น ปิดฝา แล้วเอาหนังรัดให้แน่น เอาดินเหนียวฉาบให้มิดชิด ยกขึ้นเตาจุดไฟเผา เมื่อรู้ว่าตายแล้วก็ยกลง กระเทาะดินออก เปิดฝาค่อย ๆ เฝ้าดูเพื่อจะดูว่า “ชีวะ” (วิญญาณ) มันออกทางไหน ก็ไม่เห็นมีอะไรออกไป จึงสรุปได้ว่าโลกอื่นไม่มีแน่นอน”
กุมารกัสสปะ “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เวลามหาบพิตรบรรทมหลับในตอนกลางวัน มีมหาดเล็กนั่งเฝ้าอยู่ พระองค์พระสุบินนิมิต (ฝัน) ในกลางวัน ว่าพระองค์เสด็จไปเที่ยวป่าบ้าง เที่ยวชมรมณียสถานต่าง ๆบ้าง มหาดเล็กที่นั่งเฝ้าอยู่เห็น “ชีวะ” ของพระองค์ออกไปทางไหนไหม”
ปายาสิ “ไม่เห็นพระคุณเจ้า”
กุมารกัสสปะ “นี่ขนาดมหาบพิตรยังทรงมีพระชนม์อยู่ ชีวะออกจากร่างทางไหน มหาดเล็กยังไม่เห็นเลย ไฉนจะเห็น “ชีวะ” ของคนตายแล้วเล่า”
ปายาสิ “โยมยังทดลองอีกนะ พระคุณเจ้าสั่งให้ชั่งน้ำหนักนักโทษประหารแล้วก็ประหาร โดยเอาเชือกรัดคอ พอเขาตายแล้วก็ชั่งน้ำหนักอีกครั้ง ปรากฏว่าศพน้ำหนักมากกว่าเมื่อเขายังมีชีวิตอีก ไหนว่าตายแล้วชีวะ(วิญญาณ) ออกจากร่างไง ทำไมจึงหนักกว่าตอนมีชีวิตเล่า”
กุมารกัสสปะ “มหาบพิตร เหล็กที่เผาไฟร้อน ย่อมเบากว่าเหล็กเย็น ๆ ฉันใด ร่างกายคนเป็นสิ่งมีจิตวิญญาณ มีเตโชธาตุ ปฐวีธาตุ วาโยธาตุ อาโปธาตุ ย่อมเบากว่าศพฉันนั้น
แม้ว่าพระเถระจะยกตรรกะหรือเหตุผลมาหักล้างอย่างไร ปายาสิราชันย์ก็ยังไม่ยอมรับ ยังคงเสนอ “ผลงานวิจัย” ของพระองค์ต่อไป
พระเจ้าปายาสิรายงานให้พระกุมารกัสสปะทราบว่า พระองค์ทรงทดลองอีกวิธีหนึ่ง เพื่อพิสูจน์ว่าตายแล้วเกิดจริงหรือไม่ โดยสั่งให้นักโทษประหาร โดยไม่ให้กระทบกระทั่งผิดหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก เพื่อจะดูว่า “ชีวะ” (วิญญาณ) ออกจากร่างทางไหน เมื่อโจรตายแล้วก็ให้จับพลิกคว่ำหงายดู ให้นอนตะแคง จับห้อยหัวลง ฯลฯ ก็ไม่เห็นช่องไหนที่ชีวะหรือวิญญาณออกจากร่างไป
นี้แสดงว่า ตายแล้วไม่ไปเกิดใหม่จริง เพราะไม่เห็นมีอะไรออกจากร่างไปเกิดใหม่
พระกุมารกัสสปะอธิบายเปรียบเทียบให้ฟังว่า บุรุษหนึ่งเป่าสังข์เสียงไพเราะ ชาวบ้านนอกได้ยินก็มารุมถามว่าเสียงอะไร เขาบอกว่าเสียงสังข์ ชาวบ้านถามว่า เสียงออกมาทางไหน บุรุษนั้นตอบว่า ออกมาจากสังข์ ชาวบ้านจึงจับสังข์มาพลิกไปมาเพื่อให้สังข์เปล่งเสียง สังข์ก็ไม่เปล่งเสียงอะไร ฉันใด ชีวะ ถ้ามันออกจากร่างจริง ก็ไม่สามารถเห็นได้ด้วยประสาทสัมผัส ฉันนั้น
หมายเหตุไว้ตรงนี้ว่า ความจริงความคิดที่ว่า ร่างกายแตกดับแล้ว วิญญาณออกจากร่างไปเกิดใหม่นั้น เป็นความเชื่อนอกพระพุทธศาสนา พระเจ้าปายาสิเชื่อตามที่สมณพราหมณ์สมัยนั้นสอนกัน จึงพยายามทดลองว่า คนเราเมื่อตายไป ชีวะหรือวิญญาณมันออกไปทางไหน เมื่อหาไม่พบ จึงมีความเข้าใจว่าไม่มีการตายการเกิด
พระกุมารกัสสปะยกอุปมาอุปไมยให้ฟังว่า ถึงแม้ (สมมติว่า) วิญญาณมันออกจากร่างจริง วิญญาณมันไม่มีรูปร่าง มันจะมีร่องรอยแห่งการไปมาได้อย่างไร ดุจเสียงสังข์ที่ออกจากสังข์ ก็รู้แต่ว่ามันออกไป แต่มันออกไปทางไหนย่อมบอกไม่ได้ ฉันนั้น การยกเหตุผลมาชี้แจงนี้ เป็นเหตุผลทางตรรกะที่พอฟังแล้วเข้าใจได้ทันที แต่มิได้หมายความว่า พระพุทธศาสนาสอนการตายเกิดแบบนี้ อันนี้พึงคำนึงในเรื่องนี้ให้ดีนะครับ
ปายาสิราชันย์ยังไม่ยอม ยังอ้างผลงานวิจัยต่อไปว่า เคยสั่งให้ชำแหละร่างของโจรทีละชิ้น ๆ อย่างละเอียด เพื่อดูว่าชีวะมันอยู่ที่ไหน ก็ไม่พบ แสดงว่าโลกอื่นไม่มีจริง ที่ว่าตายแล้วชีวะไปเกิดในโลกใหม่ ย่อมเป็นไปไม่ได้
พระกุมารกัสสปะกล่าวว่า “อาตมาภาพจะยกเรื่องราวให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง”
มีฤาษีตนหนึ่งเป็นผู้นับถือการบูชาไฟในป่า มีลูกศิษย์เป็นเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง วันหนึ่งฤาษีจะไปธุระข้างนอกอาศรม สั่งลูกศิษย์ให้ดูแลไฟอย่างดี อย่าให้ดับ ถ้าไฟดับก็ให้ก่อขึ้นใหม่