But only love can say try again or walk away
But I believe for you and me the sun will shine one day
So I'll just play my part and pray you'll have a chance of heart
But I can't make you see it through
that's something only love can do
บทนำ
(อดีตที่แสนสวยงามและมืดมน)
“อย่าหนีนะลูกหว้า มาให้พี่จับซะดีๆ” เสียงของเด็กผู้ชายวัยเจ็ดขวบคนหนึ่งดังขึ้น ขณะที่เจ้าตัวกำลังวิ่งเล่นไล่จับอยู่กับเด็กสาวตัวเล็กหน้าใสวัยหกขวบอยู่
“แน่จริงพี่เคก็จับลูกหว้าให้ได้สิ แบร่” เด็กสาวผมเปียตัวเล็กพูดพร้อมกับหันมาแลบลิ้นใส่เด็กผู้ชาย
“ได้อยู่แล้ว” เจ้าตัวพูดอย่างมั่นใจเพราะอีกไม่กี่ก้าวก็จะจับตัวเด็กสาวได้อยู่แล้ว! แต่ทว่า...
ตุ้บ!
“โอ๊ย~” เด็กสาวร้องด้วยความเจ็บปวด เนื่องจากตอนวิ่งเธอไม่ทันได้ดูว่าตรงพื้นสนามหญ้ามีหินก้อนใหญ่อยู่ก้อนหนึ่งทำให้เจ้าตัวเผลอสะดุดล้มลงไปกองอยู่ที่พื้นสนาม ฝ่ายเด็กผู้ชายเมื่อเห็นเข้าจึงรีบวิ่งไปดูเด็กสาว ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ลูกหว้า!เป็นอะไรรึเปล่า”
“ฮึก...ลูกหว้าเจ็บหัวเข่ามากเลยพี่เค”
“ไม่เป็นไรนะลูกหว้า เดี๋ยวพี่จะช่วยลูกหว้าเอง” เมื่อพูดจบ เด็กผู้ชายก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะเอามันไปกดแผลของเด็กสาวเบาๆ
“ผ้าเช็ดหน้านี่พอจะห้ามเลือดไว้ได้ เดี๋ยวพี่จะพาลูกหว้าไปให้แม่พี่ทำแผลให้แล้วกัน”
“อื้อ”
ภายในบ้านของเด็กผู้ชาย
“เฮ้อ เรานี่ดูแลน้องยังไงถึงปล่อยให้น้องล้มเนี่ยเค” แม่ของเด็กผู้ชายพูดขึ้น ขณะที่กำลังทำความสะอาดแผลหกล้มให้เด็กสาว
“อย่าว่าพี่เคเลยนะคะคุณน้า ลูกหว้าไม่ทันได้ดูเองล่ะค่ะ” เด็กสาวพูดขึ้น
“ไม่จริงซะหน่อย เคมัวแต่เล่นเพลินจนไม่ได้ดูลูกหว้าต่างหากครับแม่ ลูกหว้าไม่ผิดนะ” เด็กผู้ชายรีบแทรกขึ้นบ้าง
“ทั้งสองคนไม่ต้องมาแก้ตัวให้กันเลยนะ มันก็ผิดทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ ลูกหว้าก็มัวแต่เล่นซนจนหกล้มเป็นแผล ส่วนเจ้าเคก็มัวแต่นำน้องเล่นจนเพลินไม่เตือนน้องบ้างเลย” แม่ของเด็กผู้ชายถอนหายใจยาว
“อ้าว?” เด็กทั้งสองอุทานขึ้นพร้อมกัน
“อ้ะ!เสร็จแล้ว อย่าแอบซนวิ่งเล่นจนล้มมาอีกนะ ไม่งั้นต่อไปน้าจะลงโทษทั้งสองคนให้หมดเลย” เมื่อแม่ของเด็กผู้ชายพูดจบ ทั้งสองก็รีบพยักหน้าก่อนจะออกมานั่งเล่นที่โต๊ะไม้หน้าบ้าน
“ที่จริงพี่เคไม่น่าแก้ตัวแทนลูกหว้าเลย ลูกหว้ารู้สึกผิดยังไงไม่รู้อ่ะ” เด็กสาวพูดก่อนที่น้ำตาจะเริ่มไหลออกมาด้วยความรู้สึกผิด เด็กผู้ชายยิ้มก่อนจะยื่นมือมาปาดน้ำตาให้เด็กสาวลวกๆและพูดขึ้น
“ลูกหว้าไม่ผิดหรอกนะ ถ้าพี่เตือนลูกหว้าอย่างที่แม่บอก ลูกหว้าก็คงไม่ต้องเจ็บอย่างนี้”
“พี่เค”
“โอ๋ๆ บอกแล้วไงว่าอย่าร้อง”
“แง~”
“งั้นพี่จะให้ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เลยดีมั้ย เวลาที่พี่ไม่อยู่จะได้พกติดตัวไว้เป็นตัวแทนพี่ไง” เด็กผู้ชายยื่นผ้าเช็ดหน้าลายสก็อตผืนเดิมให้เด็กสาวเป็นการปลอบใจ
“ฮึก...ก็ได้” เด็กสาวรับผ้าเช็ดหน้าก่อนที่จะปาดน้ำตาออก
หมับ
เด็กผู้ชายเอื้อมมือมาจับแขนของเด็กสาวก่อนจะพูดขึ้น
“ไปกันเถอะลูกหว้า”
“หืม ไปไหนอ่ะ” เด็กสาวถามขึ้นอย่างสงสัย
“พี่จะพาเข้าไปดื่มโกโก้เย็นในบ้านเป็นการปลอบใจเด็กดีของพี่ไง”
“ไปสิๆ” ว่าจบ เด็กทั้งสองก็เดินจับมือกันเข้าบ้านไป เด็กสาวมีความสุขกับการที่ได้อยู่กับเด็กผู้ชายคนนี้หรือที่เธอเรียกว่า ‘พี่เค’ ทั้งสองเป็นเพื่อนกันมานานจนรู้ว่าอีกฝ่ายชอบหรือไม่ชอบอะไร ที่ทั้งสองสนิทกันมากเพราะพ่อแม่ของเด็กทั้งสองเป็นเพื่อนกันมาก่อนที่ทั้งสองจะเกิดแถมบ้านของพวกเขายังอยู่ติดกันอีกติดตรงที่มีรั้วกั้นเท่านั้น ทุกวันหยุดเด็กสาวจะมาเล่นกับเด็กผู้ชายที่บ้านทำให้ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆที่มีซะอีก เด็กสาวเชื่อว่าเธอกับเด็กผู้ชายคนนี้เกิดมาเพื่อกันและกันจริงๆ เธอยอมรับว่าเธอรักเด็กผู้ชายคนนี้จริงๆและคงไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ทั้งสองพรากจากกันได้
วี้หว่อๆๆๆ~
เสียงรถพยาบาลดังสนั่นหน้าตึกฉุกเฉินของโรงพยาบาล เปลผู้ป่วยถูกเข็นออกมาจากรถเผยให้เห็นร่างของเด็กผู้ชายที่นอนหลับตาพริ้มไม่ได้สติอยู่ บุรุษพยาบาลรีบเข็นเปลที่มีร่างของเด็กผู้ชายเข้าไปที่ห้องไอซียู ตามมาด้วยเสียงร้องของเด็กสาวที่ดังขึ้นหน้าห้อง
“ฮึก...พี่เค~” เด็กสาวร้องเรียกเด็กชายพร้อมน้ำตาไหลที่ไหลลงมานานจนแทบจะไม่มีให้ร้องอีกแล้ว ภาพเด็กผู้ชายที่มีอาการปวดหัวกำเริบอย่างรุนแรงก่อนจะหมดสติล้มลงไปนอนกองกับพื้นหญ้ายังติดอยู่ในหัวของเด็กสาวจนยากที่จะลบออกไปได้ ร่างเล็กของเด็กสาวเกือบจะทรุดลงถ้าไม่ได้แม่ของเธอมาประคองเอาไว้ก่อน
“ใจเย็นๆนะลูกหว้า พี่เคของลูกต้องปลอดภัยจ้ะ” แม่ของเด็กสาวปลอบอย่างใจเย็น
“แม่คะ ฮึก...หนูกลัวว่าพี่เคจะเป็นอะไรไป” เด็กสาวพูดก่อนจะเข้าไปกอดแม่ของเธอ
“พี่เคไม่เป็นไรหรอกนะลูก ใจเย็นๆ”
“ฮึก...ฮือ~”
ไม่กี่นาทีต่อมาหมอที่ตรวจอาการของเด็กผู้ชายก็เดินออกมาจากห้องไอซียูด้วยสีหน้าเครียด ทุกคนรีบกรูเข้าไปหาหมอคนนั้น ก่อนที่แม่ของเด็กผู้ชายจะรีบถามขึ้นอย่างรีบร้อน
“ลูกชายของดิฉันเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ”
“เอ่อ...”
“คุณหมอคะ!”
“ลูกชายของคุณ...เป็นเนื้องอกในสมองครับ” เมื่อหมอพูดจบ เด็กสาวก็รู้สึกใจหายขึ้นมาทันที แม่ของเธอเคยบอกว่าเนื้องอกในสมองเป็นโรคที่ร้ายแรงมาก ถ้ารักษาไม่ทัน...อาจตายได้!
“ทางแพทย์ต้องทำการผ่าตัดเอาเนื้องอกในสมองออกครับ แต่ปัญหาคือทางเรามีเครื่องมือไม่พอคงผ่าตัดให้ลูกชายคุณไม่ได้”
“แล้วคุณหมอจะให้ดิฉันทำยังไงล่ะคะ” แม่ของเด็กชายรีบถามขึ้นอย่างกลัวๆ
“ได้ยินมาว่าที่อเมริกามีแพทย์ชำนาญเฉพาะทางด้านนี้อยู่คนหนึ่ง เขาคงผ่าตัดให้ลูกชายคุณได้อยู่ครับและหมอก็คิดว่าถ้าเป็นโรงพยาบาลในอเมริกาน่าจะมีเครื่องมือทุกอย่างพร้อม”
“แล้ว...ถ้าผ่าตัดจะทำให้ลูกชายดิฉันหายเป็นปกติมั้ยคะ”
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับการผ่าตัดครับว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ บางรายพอผ่าตัดแล้วก็หายเป็นปกติ แต่บางรายผ่าตัดแล้วก็อาจเกิดโรคหรืออาการแทรกซ้อนจนอาจทำให้...เสียชีวิตได้ครับ”
“แล้วอาการของลูกชายดิฉันมีสิทธิ์จะรอดมั้ยคะ”
“หมอยังให้คำตอบไม่ได้หรอกครับ เพราะเท่าที่หมอตรวจดูแล้ว...หนักอยู่เหมือนกันครับ” ว่าจบ หมอก็ส่ายหน้าเดินจากไป
“…” หน้าห้องไอซียูเกิดความเงียบขึ้นมาทันที
“เห็นทีว่าเราต้องรีบแล้วล่ะ”
สามวันต่อมา
@ สนามบินสุวรรณภูมิ
เหลืออีกไม่กี่นาทีเครื่องถึงจะออก เด็กสาวได้แต่ร้องไห้เพราะกลัวว่าจะไม่ได้เจอพี่เคของเธออีก จนเด็กผู้ชายต้องเข้าไปกอดปลอบเธอก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
“อย่าร้องไปเลยนะลูกหว้า พี่ไปไม่นานเดี๋ยวก็กลับ” เด็กผู้ชายส่งยิ้มให้เด็กสาว แต่มองนัยๆแล้วดูเป็นรอยยิ้มที่เศร้ามาก
“แล้วถ้าพี่เคไม่ได้กลับมาล่ะ ฮึก”
“พี่ก็ไม่ได้ไปไหนไกลนี่ พี่บอกแล้วไงว่าผ้าเช็ดหน้านี่คือตัวแทนพี่” เด็กผู้ชายมองไปที่ผ้าเช็ดหน้าลายสก็อตที่เด็กสาวถืออยู่
“เก็บไว้ให้ดีนะ มันคือของอีกชิ้นที่พี่รักเลยล่ะ”
“อื้อ”
“โรส~เธอช่วยเคลียร์งานระหว่างที่ฉันไม่อยู่ด้วยนะ ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรมาบอก” พ่อของเด็กผู้ชายซึ่งเป็นประธานบริษัทBolionหันไปพูดกับเลขา ก่อนที่เธอจะพยักหน้ารับ
“ไปเถอะเค เครื่องจะออกแล้ว” แม่ของเด็กผู้ชายหันมาพูดกับเจ้าตัวที่กำลังลาเด็กสาวอยู่
“พี่ไปแล้วนะ ถ้าวันไหนเหงาก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาละกัน”
“ฮึก ลูกหว้าจะคิดถึงพี่เคนะ” เด็กสาวเข้าไปกอดเด็กชายอีกครั้งก่อนที่น้ำตาจะเริ่มไหลอีก
“พี่ก็จะคิดถึงลูกหว้าเหมือนกัน”
“บายนะ รีบกลับมาไวๆล่ะ”
“อืม พี่ไปก่อนนะ จะไม่พูดคำว่า ‘ลาก่อน’ หรอกเพราะเดี๋ยวพี่ก็ต้องกลับมาหาลูกหว้าอยู่แล้ว...จริงมั้ย”
“ใช่แล้ว” เมื่อพูดจบ เด็กทั้งสองก็หัวเราะด้วยกันอย่างฝืนๆก่อนที่จะโบกมือลากันและเด็กผู้ชายก็เดินเข้าเกทไปกับพ่อแม่ เด็กสาวได้มองหลังของเด็กผู้ชายอย่างยิ้มๆโดยที่เธอไม่รู้เลยว่าพอเด็กผู้ชายคนนั้นเข้าเกทไปแล้วน้ำตาที่เขากลั้นมานานก็ไหลออกมาราวกับรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเขาในอีกไม่ช้านี้...
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา
ใจของเด็กสาวตอนนี้ดูหม่นหมองมาก เธอรู้สึกเหงาจนไม่อยากทำอะไรนอกจากคอยชะเง้อมองบ้านข้างๆจากกำแพงทุกวันด้วยความหวังว่าไม่พรุ่งนี้ก็วันนี้ไฟบ้านข้างๆคงจะถูกเปิดขึ้นมาโดยเจ้าของบ้าน ซึ่งมันก็ไม่เคยเป็นไปตามที่เธอหวังเลย แต่เธอยังดีที่มีผ้าเช็ดหน้าซึ่งเป็นตัวแทนพี่เคของเธออยู่ทำให้ไม่เหงาเกินไป จนกระทั่ง...
“ลูกหว้า...แม่มีข่าวเกี่ยวกับพี่เคมาบอกลูก” เสียงของแม่เธอดังขึ้น เมื่อเด็กสาวได้ยินดังนั้นก็รีบเข้าไปหาแม่เธอทันที
“พี่เคจะกลับมาแล้วเหรอคะแม่”
“เอ่อ...ฮึก” จู่ๆแม่ของเธอก็น้ำตาไหลออกมา จนทำให้เธอเริ่มใจไม่ดีและรู้สึกมีลางสังหรณ์ชอบกล
“แม่...เป็นอะไรคะ”
“ลูกหว้า...พี่เคเขา ฮึก” แม่ของเธอเริ่มพูดไม่ออก
“พี่เคทำไมคะแม่!” เด็กสาวเริ่มใจหายแปลกๆ
“พี่เค...เสียแล้วจ้ะ ฮึก”
“วะ...ว่าไงนะคะ” ประโยคที่แม่เธอพูดเมื่อกี้ ทำให้เด็กสาวถึงกับช็อก
“พี่เคเขาเสียแล้วลูก...”
“ไม่จริงใช่มั้ยคะแม่...” เรื่องทั้งหมดต้องไม่ใช่ความจริง ไหนพี่เคสัญญากับเธอไว้แล้วไงว่าจะกลับมาหาเธอ เด็กสาวคิด
“จริงลูก พี่เคเขาติดเชื้อระหว่างผ่าตัดจึงทำให้...เขาเสียชีวิต”
“…” หัวใจของเด็กสาวตอนนี้แทบหยุดเต้น เธอได้แต่กำผ้าเช็ดหน้าลายสก็อตแน่นก่อนที่น้ำตาที่กลั้นไว้นานจะไหลออกมา
“ส่วนครอบครัวของพี่เค เขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่กลับมาเมืองไทยแล้ว เพราะบริษัทพวกเขาเกิดปัญหาเกี่ยวกับคู่แข่งเนี่ยแหละ ทำให้ต้องย้ายบริษัทไปตั้งธุรกิจใหม่ที่ต่างประเทศ”
“พี่เค...จะไม่กลับมาหาลูกหว้าแล้ว ฮึก”
“ลูกหว้า...”
“ฮือ~” เด็กสาวทำได้เพียงร้องไห้ ทำให้แม่ของเธอต้องเข้าไปปลอบ
“ฟังนะลูก พี่เคเขาไปสบายแล้วแต่ถ้าเขารู้ว่าลูกหว้าเอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมหยุดแบบนี้เนี่ย เขาก็จะไม่สบายใจนะลูก”
“…” เมื่อได้ฟังที่แม่เธอพูด เด็กสาวก็เริ่มหยุดร้องไห้
“เราไม่ควรจมปลักอยู่กับอดีตนะลูก ตอนนี้ลูกควรทำปัจจุบันให้ดีที่สุดและลืมเรื่องเก่าๆที่ทำให้ปวดใจซะ มันจะได้อนาคตทำให้อนาคตลูกมีแต่ความสุขไงจ๊ะ จำไว้”
“...หนูเข้าใจแล้วค่ะแม่ หนูจะลืมเรื่องพี่เคและจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมค่ะ”
ใช่!ลูกหว้าไม่ควรร้องไห้ ถ้าพี่เครู้พี่เคต้องไม่ชอบแน่ๆ ลูกหว้าจะเข้มแข็งและไม่ขี้แงอีกต่อไปแล้ว เด็กสาวคิด และ...ต่อจากนี้ไปเธอจะต้องลืมพี่เคให้ได้ และระหว่างเธอกับเขาก็จะเหลือแต่ความทรงจำดีๆที่มีต่อกันเท่านั้น...
....................................................................................................................................................................................
ปล.อ่านแล้วช่วยติชมด้วยนะคะ พอดีเพิ่งเริ่มเป็นนักเขียนมือใหม่เคยส่งไปให้สำนักพิมพ์ต่างๆพิจารณาแล้วแต่ไม่เคยผ่านสักที อยากได้คำปรึกษาจากนักอ่านนักเขียนทุกคนมากT ^ T แล้วถ้าว่างเมื่อไหร่จะเอาตอนต่อไปมาอัพลงอีกนะคะ คอยเปนกำลังใจให้นามปากกาคาร่าคนนี้ด้วย
ลงนิยายเรื่องMemory in loveความทรงจำรักเขย่าหัวใจยัยตัวดี (บทนำ) :คาร่า
(อดีตที่แสนสวยงามและมืดมน)
“อย่าหนีนะลูกหว้า มาให้พี่จับซะดีๆ” เสียงของเด็กผู้ชายวัยเจ็ดขวบคนหนึ่งดังขึ้น ขณะที่เจ้าตัวกำลังวิ่งเล่นไล่จับอยู่กับเด็กสาวตัวเล็กหน้าใสวัยหกขวบอยู่
“แน่จริงพี่เคก็จับลูกหว้าให้ได้สิ แบร่” เด็กสาวผมเปียตัวเล็กพูดพร้อมกับหันมาแลบลิ้นใส่เด็กผู้ชาย
“ได้อยู่แล้ว” เจ้าตัวพูดอย่างมั่นใจเพราะอีกไม่กี่ก้าวก็จะจับตัวเด็กสาวได้อยู่แล้ว! แต่ทว่า...
ตุ้บ!
“โอ๊ย~” เด็กสาวร้องด้วยความเจ็บปวด เนื่องจากตอนวิ่งเธอไม่ทันได้ดูว่าตรงพื้นสนามหญ้ามีหินก้อนใหญ่อยู่ก้อนหนึ่งทำให้เจ้าตัวเผลอสะดุดล้มลงไปกองอยู่ที่พื้นสนาม ฝ่ายเด็กผู้ชายเมื่อเห็นเข้าจึงรีบวิ่งไปดูเด็กสาว ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ลูกหว้า!เป็นอะไรรึเปล่า”
“ฮึก...ลูกหว้าเจ็บหัวเข่ามากเลยพี่เค”
“ไม่เป็นไรนะลูกหว้า เดี๋ยวพี่จะช่วยลูกหว้าเอง” เมื่อพูดจบ เด็กผู้ชายก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะเอามันไปกดแผลของเด็กสาวเบาๆ
“ผ้าเช็ดหน้านี่พอจะห้ามเลือดไว้ได้ เดี๋ยวพี่จะพาลูกหว้าไปให้แม่พี่ทำแผลให้แล้วกัน”
“อื้อ”
ภายในบ้านของเด็กผู้ชาย
“เฮ้อ เรานี่ดูแลน้องยังไงถึงปล่อยให้น้องล้มเนี่ยเค” แม่ของเด็กผู้ชายพูดขึ้น ขณะที่กำลังทำความสะอาดแผลหกล้มให้เด็กสาว
“อย่าว่าพี่เคเลยนะคะคุณน้า ลูกหว้าไม่ทันได้ดูเองล่ะค่ะ” เด็กสาวพูดขึ้น
“ไม่จริงซะหน่อย เคมัวแต่เล่นเพลินจนไม่ได้ดูลูกหว้าต่างหากครับแม่ ลูกหว้าไม่ผิดนะ” เด็กผู้ชายรีบแทรกขึ้นบ้าง
“ทั้งสองคนไม่ต้องมาแก้ตัวให้กันเลยนะ มันก็ผิดทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ ลูกหว้าก็มัวแต่เล่นซนจนหกล้มเป็นแผล ส่วนเจ้าเคก็มัวแต่นำน้องเล่นจนเพลินไม่เตือนน้องบ้างเลย” แม่ของเด็กผู้ชายถอนหายใจยาว
“อ้าว?” เด็กทั้งสองอุทานขึ้นพร้อมกัน
“อ้ะ!เสร็จแล้ว อย่าแอบซนวิ่งเล่นจนล้มมาอีกนะ ไม่งั้นต่อไปน้าจะลงโทษทั้งสองคนให้หมดเลย” เมื่อแม่ของเด็กผู้ชายพูดจบ ทั้งสองก็รีบพยักหน้าก่อนจะออกมานั่งเล่นที่โต๊ะไม้หน้าบ้าน
“ที่จริงพี่เคไม่น่าแก้ตัวแทนลูกหว้าเลย ลูกหว้ารู้สึกผิดยังไงไม่รู้อ่ะ” เด็กสาวพูดก่อนที่น้ำตาจะเริ่มไหลออกมาด้วยความรู้สึกผิด เด็กผู้ชายยิ้มก่อนจะยื่นมือมาปาดน้ำตาให้เด็กสาวลวกๆและพูดขึ้น
“ลูกหว้าไม่ผิดหรอกนะ ถ้าพี่เตือนลูกหว้าอย่างที่แม่บอก ลูกหว้าก็คงไม่ต้องเจ็บอย่างนี้”
“พี่เค”
“โอ๋ๆ บอกแล้วไงว่าอย่าร้อง”
“แง~”
“งั้นพี่จะให้ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เลยดีมั้ย เวลาที่พี่ไม่อยู่จะได้พกติดตัวไว้เป็นตัวแทนพี่ไง” เด็กผู้ชายยื่นผ้าเช็ดหน้าลายสก็อตผืนเดิมให้เด็กสาวเป็นการปลอบใจ
“ฮึก...ก็ได้” เด็กสาวรับผ้าเช็ดหน้าก่อนที่จะปาดน้ำตาออก
หมับ
เด็กผู้ชายเอื้อมมือมาจับแขนของเด็กสาวก่อนจะพูดขึ้น
“ไปกันเถอะลูกหว้า”
“หืม ไปไหนอ่ะ” เด็กสาวถามขึ้นอย่างสงสัย
“พี่จะพาเข้าไปดื่มโกโก้เย็นในบ้านเป็นการปลอบใจเด็กดีของพี่ไง”
“ไปสิๆ” ว่าจบ เด็กทั้งสองก็เดินจับมือกันเข้าบ้านไป เด็กสาวมีความสุขกับการที่ได้อยู่กับเด็กผู้ชายคนนี้หรือที่เธอเรียกว่า ‘พี่เค’ ทั้งสองเป็นเพื่อนกันมานานจนรู้ว่าอีกฝ่ายชอบหรือไม่ชอบอะไร ที่ทั้งสองสนิทกันมากเพราะพ่อแม่ของเด็กทั้งสองเป็นเพื่อนกันมาก่อนที่ทั้งสองจะเกิดแถมบ้านของพวกเขายังอยู่ติดกันอีกติดตรงที่มีรั้วกั้นเท่านั้น ทุกวันหยุดเด็กสาวจะมาเล่นกับเด็กผู้ชายที่บ้านทำให้ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆที่มีซะอีก เด็กสาวเชื่อว่าเธอกับเด็กผู้ชายคนนี้เกิดมาเพื่อกันและกันจริงๆ เธอยอมรับว่าเธอรักเด็กผู้ชายคนนี้จริงๆและคงไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ทั้งสองพรากจากกันได้
วี้หว่อๆๆๆ~
เสียงรถพยาบาลดังสนั่นหน้าตึกฉุกเฉินของโรงพยาบาล เปลผู้ป่วยถูกเข็นออกมาจากรถเผยให้เห็นร่างของเด็กผู้ชายที่นอนหลับตาพริ้มไม่ได้สติอยู่ บุรุษพยาบาลรีบเข็นเปลที่มีร่างของเด็กผู้ชายเข้าไปที่ห้องไอซียู ตามมาด้วยเสียงร้องของเด็กสาวที่ดังขึ้นหน้าห้อง
“ฮึก...พี่เค~” เด็กสาวร้องเรียกเด็กชายพร้อมน้ำตาไหลที่ไหลลงมานานจนแทบจะไม่มีให้ร้องอีกแล้ว ภาพเด็กผู้ชายที่มีอาการปวดหัวกำเริบอย่างรุนแรงก่อนจะหมดสติล้มลงไปนอนกองกับพื้นหญ้ายังติดอยู่ในหัวของเด็กสาวจนยากที่จะลบออกไปได้ ร่างเล็กของเด็กสาวเกือบจะทรุดลงถ้าไม่ได้แม่ของเธอมาประคองเอาไว้ก่อน
“ใจเย็นๆนะลูกหว้า พี่เคของลูกต้องปลอดภัยจ้ะ” แม่ของเด็กสาวปลอบอย่างใจเย็น
“แม่คะ ฮึก...หนูกลัวว่าพี่เคจะเป็นอะไรไป” เด็กสาวพูดก่อนจะเข้าไปกอดแม่ของเธอ
“พี่เคไม่เป็นไรหรอกนะลูก ใจเย็นๆ”
“ฮึก...ฮือ~”
ไม่กี่นาทีต่อมาหมอที่ตรวจอาการของเด็กผู้ชายก็เดินออกมาจากห้องไอซียูด้วยสีหน้าเครียด ทุกคนรีบกรูเข้าไปหาหมอคนนั้น ก่อนที่แม่ของเด็กผู้ชายจะรีบถามขึ้นอย่างรีบร้อน
“ลูกชายของดิฉันเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ”
“เอ่อ...”
“คุณหมอคะ!”
“ลูกชายของคุณ...เป็นเนื้องอกในสมองครับ” เมื่อหมอพูดจบ เด็กสาวก็รู้สึกใจหายขึ้นมาทันที แม่ของเธอเคยบอกว่าเนื้องอกในสมองเป็นโรคที่ร้ายแรงมาก ถ้ารักษาไม่ทัน...อาจตายได้!
“ทางแพทย์ต้องทำการผ่าตัดเอาเนื้องอกในสมองออกครับ แต่ปัญหาคือทางเรามีเครื่องมือไม่พอคงผ่าตัดให้ลูกชายคุณไม่ได้”
“แล้วคุณหมอจะให้ดิฉันทำยังไงล่ะคะ” แม่ของเด็กชายรีบถามขึ้นอย่างกลัวๆ
“ได้ยินมาว่าที่อเมริกามีแพทย์ชำนาญเฉพาะทางด้านนี้อยู่คนหนึ่ง เขาคงผ่าตัดให้ลูกชายคุณได้อยู่ครับและหมอก็คิดว่าถ้าเป็นโรงพยาบาลในอเมริกาน่าจะมีเครื่องมือทุกอย่างพร้อม”
“แล้ว...ถ้าผ่าตัดจะทำให้ลูกชายดิฉันหายเป็นปกติมั้ยคะ”
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับการผ่าตัดครับว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ บางรายพอผ่าตัดแล้วก็หายเป็นปกติ แต่บางรายผ่าตัดแล้วก็อาจเกิดโรคหรืออาการแทรกซ้อนจนอาจทำให้...เสียชีวิตได้ครับ”
“แล้วอาการของลูกชายดิฉันมีสิทธิ์จะรอดมั้ยคะ”
“หมอยังให้คำตอบไม่ได้หรอกครับ เพราะเท่าที่หมอตรวจดูแล้ว...หนักอยู่เหมือนกันครับ” ว่าจบ หมอก็ส่ายหน้าเดินจากไป
“…” หน้าห้องไอซียูเกิดความเงียบขึ้นมาทันที
“เห็นทีว่าเราต้องรีบแล้วล่ะ”
สามวันต่อมา
@ สนามบินสุวรรณภูมิ
เหลืออีกไม่กี่นาทีเครื่องถึงจะออก เด็กสาวได้แต่ร้องไห้เพราะกลัวว่าจะไม่ได้เจอพี่เคของเธออีก จนเด็กผู้ชายต้องเข้าไปกอดปลอบเธอก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
“อย่าร้องไปเลยนะลูกหว้า พี่ไปไม่นานเดี๋ยวก็กลับ” เด็กผู้ชายส่งยิ้มให้เด็กสาว แต่มองนัยๆแล้วดูเป็นรอยยิ้มที่เศร้ามาก
“แล้วถ้าพี่เคไม่ได้กลับมาล่ะ ฮึก”
“พี่ก็ไม่ได้ไปไหนไกลนี่ พี่บอกแล้วไงว่าผ้าเช็ดหน้านี่คือตัวแทนพี่” เด็กผู้ชายมองไปที่ผ้าเช็ดหน้าลายสก็อตที่เด็กสาวถืออยู่
“เก็บไว้ให้ดีนะ มันคือของอีกชิ้นที่พี่รักเลยล่ะ”
“อื้อ”
“โรส~เธอช่วยเคลียร์งานระหว่างที่ฉันไม่อยู่ด้วยนะ ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรมาบอก” พ่อของเด็กผู้ชายซึ่งเป็นประธานบริษัทBolionหันไปพูดกับเลขา ก่อนที่เธอจะพยักหน้ารับ
“ไปเถอะเค เครื่องจะออกแล้ว” แม่ของเด็กผู้ชายหันมาพูดกับเจ้าตัวที่กำลังลาเด็กสาวอยู่
“พี่ไปแล้วนะ ถ้าวันไหนเหงาก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาละกัน”
“ฮึก ลูกหว้าจะคิดถึงพี่เคนะ” เด็กสาวเข้าไปกอดเด็กชายอีกครั้งก่อนที่น้ำตาจะเริ่มไหลอีก
“พี่ก็จะคิดถึงลูกหว้าเหมือนกัน”
“บายนะ รีบกลับมาไวๆล่ะ”
“อืม พี่ไปก่อนนะ จะไม่พูดคำว่า ‘ลาก่อน’ หรอกเพราะเดี๋ยวพี่ก็ต้องกลับมาหาลูกหว้าอยู่แล้ว...จริงมั้ย”
“ใช่แล้ว” เมื่อพูดจบ เด็กทั้งสองก็หัวเราะด้วยกันอย่างฝืนๆก่อนที่จะโบกมือลากันและเด็กผู้ชายก็เดินเข้าเกทไปกับพ่อแม่ เด็กสาวได้มองหลังของเด็กผู้ชายอย่างยิ้มๆโดยที่เธอไม่รู้เลยว่าพอเด็กผู้ชายคนนั้นเข้าเกทไปแล้วน้ำตาที่เขากลั้นมานานก็ไหลออกมาราวกับรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเขาในอีกไม่ช้านี้...
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา
ใจของเด็กสาวตอนนี้ดูหม่นหมองมาก เธอรู้สึกเหงาจนไม่อยากทำอะไรนอกจากคอยชะเง้อมองบ้านข้างๆจากกำแพงทุกวันด้วยความหวังว่าไม่พรุ่งนี้ก็วันนี้ไฟบ้านข้างๆคงจะถูกเปิดขึ้นมาโดยเจ้าของบ้าน ซึ่งมันก็ไม่เคยเป็นไปตามที่เธอหวังเลย แต่เธอยังดีที่มีผ้าเช็ดหน้าซึ่งเป็นตัวแทนพี่เคของเธออยู่ทำให้ไม่เหงาเกินไป จนกระทั่ง...
“ลูกหว้า...แม่มีข่าวเกี่ยวกับพี่เคมาบอกลูก” เสียงของแม่เธอดังขึ้น เมื่อเด็กสาวได้ยินดังนั้นก็รีบเข้าไปหาแม่เธอทันที
“พี่เคจะกลับมาแล้วเหรอคะแม่”
“เอ่อ...ฮึก” จู่ๆแม่ของเธอก็น้ำตาไหลออกมา จนทำให้เธอเริ่มใจไม่ดีและรู้สึกมีลางสังหรณ์ชอบกล
“แม่...เป็นอะไรคะ”
“ลูกหว้า...พี่เคเขา ฮึก” แม่ของเธอเริ่มพูดไม่ออก
“พี่เคทำไมคะแม่!” เด็กสาวเริ่มใจหายแปลกๆ
“พี่เค...เสียแล้วจ้ะ ฮึก”
“วะ...ว่าไงนะคะ” ประโยคที่แม่เธอพูดเมื่อกี้ ทำให้เด็กสาวถึงกับช็อก
“พี่เคเขาเสียแล้วลูก...”
“ไม่จริงใช่มั้ยคะแม่...” เรื่องทั้งหมดต้องไม่ใช่ความจริง ไหนพี่เคสัญญากับเธอไว้แล้วไงว่าจะกลับมาหาเธอ เด็กสาวคิด
“จริงลูก พี่เคเขาติดเชื้อระหว่างผ่าตัดจึงทำให้...เขาเสียชีวิต”
“…” หัวใจของเด็กสาวตอนนี้แทบหยุดเต้น เธอได้แต่กำผ้าเช็ดหน้าลายสก็อตแน่นก่อนที่น้ำตาที่กลั้นไว้นานจะไหลออกมา
“ส่วนครอบครัวของพี่เค เขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่กลับมาเมืองไทยแล้ว เพราะบริษัทพวกเขาเกิดปัญหาเกี่ยวกับคู่แข่งเนี่ยแหละ ทำให้ต้องย้ายบริษัทไปตั้งธุรกิจใหม่ที่ต่างประเทศ”
“พี่เค...จะไม่กลับมาหาลูกหว้าแล้ว ฮึก”
“ลูกหว้า...”
“ฮือ~” เด็กสาวทำได้เพียงร้องไห้ ทำให้แม่ของเธอต้องเข้าไปปลอบ
“ฟังนะลูก พี่เคเขาไปสบายแล้วแต่ถ้าเขารู้ว่าลูกหว้าเอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมหยุดแบบนี้เนี่ย เขาก็จะไม่สบายใจนะลูก”
“…” เมื่อได้ฟังที่แม่เธอพูด เด็กสาวก็เริ่มหยุดร้องไห้
“เราไม่ควรจมปลักอยู่กับอดีตนะลูก ตอนนี้ลูกควรทำปัจจุบันให้ดีที่สุดและลืมเรื่องเก่าๆที่ทำให้ปวดใจซะ มันจะได้อนาคตทำให้อนาคตลูกมีแต่ความสุขไงจ๊ะ จำไว้”
“...หนูเข้าใจแล้วค่ะแม่ หนูจะลืมเรื่องพี่เคและจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมค่ะ”
ใช่!ลูกหว้าไม่ควรร้องไห้ ถ้าพี่เครู้พี่เคต้องไม่ชอบแน่ๆ ลูกหว้าจะเข้มแข็งและไม่ขี้แงอีกต่อไปแล้ว เด็กสาวคิด และ...ต่อจากนี้ไปเธอจะต้องลืมพี่เคให้ได้ และระหว่างเธอกับเขาก็จะเหลือแต่ความทรงจำดีๆที่มีต่อกันเท่านั้น...
....................................................................................................................................................................................
ปล.อ่านแล้วช่วยติชมด้วยนะคะ พอดีเพิ่งเริ่มเป็นนักเขียนมือใหม่เคยส่งไปให้สำนักพิมพ์ต่างๆพิจารณาแล้วแต่ไม่เคยผ่านสักที อยากได้คำปรึกษาจากนักอ่านนักเขียนทุกคนมากT ^ T แล้วถ้าว่างเมื่อไหร่จะเอาตอนต่อไปมาอัพลงอีกนะคะ คอยเปนกำลังใจให้นามปากกาคาร่าคนนี้ด้วย