เป็นเรื่องที่ผ่านมา 2 ปีแล้ว แต่ก็นึกทีไรก็รู้สึกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันสอนอะไรเราได้นะ
เรื่องเกิดขึ้นปี 54 เรามีเหตุต้องทะเลาะกับแม่อย่างรุนแรงประมาณเดือนตุลา ถึงขั้นต้องออกมาจากบ้าน ด้วยเงิน 10,000 บาท ที่ติดตัวมา ยังไม่มีที่พัก ไม่รู้จะไปไหน งานก็ยังไม่ได้ทำ ชีวิตไร้จุดหมายมาก เริ่มชีวิตด้วยการไปตั้งสติในร้านอินเตอร์เน็ต หางาน ปรึกษาเพื่อนว่าจะพักแถวไหนดี ตอนนั้นก็มืดมากแล้วก็เลยต้องนอนในร้านไปก่อน วันรุ่งขึ้นเพื่อนก็พาไปแถวหน้าราม ไปดูก็ไม่ถูกใจ ก็เลยกลับไปถิ่นเดิมที่เคยเรียน แถวรังสิต เงินเหลือประมาน 9,000 บาท เดินหาห้องจนได้ ราคา 5,000 บาท เข้าอยู่ได้เลย ซื้อหมอนกับผ้าที่ไว้ปูนอน ของใช้ที่พอประทังชีวิต เหลือเบ็ดเสร็จ 2,000 บาท โดยที่ยังไม่มีงานทำ รุ่งขึ้นเดินหน้าหางาน ก็ไม่รู้จะเริ่มงานไหนอะไรยังดี นั่งรถไปเรื่อยๆ ตัดสินใจนั่งสาย 39 จากรังสิต มาเส้นลาดพร้าว ผ่านแถวหน้าเซ็นทรัลลาดพร้าวก็เห็นมีป้ายรับสมัครงาน ก็เลยตัดสินใจเข้าไปสมัครดู กรอกใบสมัครไว้ ใจคิดว่าคงไม่ได้แน่ๆ เพราะคนในร้านมีแต่คนหน้าตาดีๆ หุ่นดีกว่าเรา เขียนเสร็จเค้าก็พูดตามมารยาทว่า "เดี๋ยวรอเรียกละกันนะคะ" เราก็โอเค เดินออกจากร้าน ชีวิตตอนนั้นเคว้งมากเลย ไม่รู้จะทำยังไง เงินก็จะหมด ไม่รู้จะไปไหน เลยนั่งรถไปจตุจักร พอลงรถ มีโทรศัพท์เข้า พอรับสายก็เป็นสายจากร้านที่เราไปสมัครงานไว้ ตอนนั้นดีใจมากถึงจะแค่เรียกไปสัมภาษณ์ เราเลยขอเป็นวันรุ่งขึ้นจะไปสัมภาษณ์ แล้วก็นั่งรถกลับห้อง ตอนนั้นนึกอะไรไม่ออก คิดในใจบนรถเมล์ว่า "ขอให้ได้งานที่นี่ ถ้าได้นะจะเลิกกินเนื้อวัว" ซึ่งเราเป็นคนชอบกินมากๆ วันรุ่งขึ้นไปสัมภาษณ์กับพี่ฝ่ายบุคคล คุยกันจนได้งาน ดีใจมากรอดตายแล้ว ฐานเงินเดือน 7,500 บาท กับวุฒิ ม.6 นาทีนั้นให้เท่าไหร่ก็เอาดีกว่าไม่มีงาน ให้ทำไรก็ทำหมด เนื่องจากเราต้องรอสาขาที่จะเปิดแถวรังสิตเราจึงต้องมาฝึกงานที่ลาดพร้าวก่อน 1 เดือน เริ่มงาน 10.00 โมง เลิก 15.00 โมง ซึ่งพี่เค้าก็เมตตาเรามาก พี่ฝ่ายบุคคลบอกเราว่าถึงจะฝึกงานแต่พี่ก็ให้เงินนะ เราก็โอเค เริ่มงานวันรุ่งขึ้น ด้วยความที่เข้างานคร่อมเวลา ทำให้เราก็ไม่ต้องกินข้าวเที่ยง พอเย็นเลิกงานกว่าจะถึงห้องก็เย็นมาก เหนื่อยหลับไปเลย จากต้นเดือน พย. ถึงปลายเดือน เราใช้เงินวันละ 20 บาท คือค่ารถไปกลับ ใช้มากสุดไม่เกิน 50 บาท แถมปลายๆเดือนมียืมเพื่อนในร้านด้วย 100 บาทประทังชีวิตเพราะไม่พอจริงๆ กว่าจะผ่านเดือนนั้นมาได้อดทนกับมันมาก จากชีวิตที่แบบเคยมีเงินอยากไปเที่ยวไหนก็ไปอยากกินอะไรก็กิน ไม่ถึงกับเป็นลูกคุณหนูแต่คือเงินไม่เคยขาดมือ ไม่สามารถซื้ออะไรตุนเพื่อไว้กินได้เลย ซื้อได้อย่างเดียวคือ น้ำเปล่าขวดลิตร แถมไม่รู้ว่าเค้าจะให้เราทำต่อแน่ไหม จะฝึกงานผ่านไหม ถ้าทำต่อไม่ได้ จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าห้อง ตอนนั้นชีวิตเครียดไปหมด แต่พอถึงวันที่เงินเดือนออก พี่ฝ่ายบุคคลชื่อ "พี่ต้น" เดินเอาซองใส่เงินเดือนมาให้ วินาทีนั้นอยากลงไปกราบแกเลย ถ้าแกไม่รับเข้าทำงานตอนนั้น เงินก้อนที่ต่อชีวิตเราคงไม่มี แกมีบุญคุณกับเรามากในช่วงชีวิตตอนนั้น แกบอกให้เรารอไปเริ่มงานที่ร้านสาขาคลองสามได้เลย ไปช่วยกันทำความสะอาดหน่อย ยังไงก็ให้ทำที่ร้านนั้นอยู่แล้ว
เราทำงานที่นี่ไปได้สักพัก เราก็ออก เนื่องจากร้านสาขาไม่ประสบความสำเร็จ เค้าจึงขอย้ายเรากลับไปทำที่สาขาลาดพร้าวแบบเดิม เข้างาน 6 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็น ถ้ามีโอที เลิก 2 ทุ่ม ด้วยความที่มันกระทันหัน มีเงินอยู่ 7 พันบาท หักค่าห้อง/ของใช้ไปเหลือ 3พันนิดๆ ต้องตื่นตี4 กลับถึงห้อง 4ทุ่ม เหนื่อยมากเพราะยืนทั้งวัน ค่ารถวันนึงก็ 50 บาท ค่ากินอีก เงินไม่พอใช้ไม่มีเงินไปทำงาน จึงขอหยุดงานไปครึ่งเดือน รอเงินออกสิ้นเดือนทีเดียว พี่ต้นฝ่ายบุคคลแกก็เข้าใจ แกก็อนุญาติให้หยุดไป พอเงินเดือนออกเราก็ไปทำงานได้สองวัน เราก็ตัดสินใจออกเพราะเราคิดว่ายังไงก็เงินก็ไม่พอแน่ๆ เลยปรึกษากับพี่ที่ทำงานที่สาขาด้วยกัน เลยไปหางานใหม่ดีกว่า แถวเมเจอร์รังสิต ทำได้ยังไม่ถึงเดือน น้ำท่วมใหญ่ เซ็งมาก เงินเดือนก็ยังไม่ได้ น้ำท่วมอีก ทำไรไม่ถูก น้ำท่วมไปหมด เลยตัดสินใจโทรหาแม่ อยู่ไม่ได้น้ำท่วม ลุยน้ำออกมาจากห้องเดินมาถึงคลองสี่ มาโบกรถกระบะมาลงอนุสาวรีย์
ชีวิตเราไม่นึกไม่ฝันจะมาเจออะไรแบบนี้ แต่พอเจอมาเราก็ผ่านมันมาได้ มันก็รู้สึกดีนะ ลำบากนะตอนช่วงเวลานั้นแต่เราผ่านมาได้อะ ทำทุกอย่างให้รอดอะ เราต้องอยู่ได้ หลังจากวันนี้ต่อให้เจออะไรลำบากแค่ไหน เราก็จะนึกถึงวันเวลาที่ผ่านมา เจอมาขนาดนี้ยังยืนอยู่ได้ ปัญหาอะไรก็เข้ามาเหอะ สู้โว้ยยยย
ช่วงชีวิตตอนไม่มีงานทำ รองาน กับเงินที่จำกัด ผ่านจุดนี้มากันได้ยังไงมาเล่าสู่กันฟังหน่อยนะ
เรื่องเกิดขึ้นปี 54 เรามีเหตุต้องทะเลาะกับแม่อย่างรุนแรงประมาณเดือนตุลา ถึงขั้นต้องออกมาจากบ้าน ด้วยเงิน 10,000 บาท ที่ติดตัวมา ยังไม่มีที่พัก ไม่รู้จะไปไหน งานก็ยังไม่ได้ทำ ชีวิตไร้จุดหมายมาก เริ่มชีวิตด้วยการไปตั้งสติในร้านอินเตอร์เน็ต หางาน ปรึกษาเพื่อนว่าจะพักแถวไหนดี ตอนนั้นก็มืดมากแล้วก็เลยต้องนอนในร้านไปก่อน วันรุ่งขึ้นเพื่อนก็พาไปแถวหน้าราม ไปดูก็ไม่ถูกใจ ก็เลยกลับไปถิ่นเดิมที่เคยเรียน แถวรังสิต เงินเหลือประมาน 9,000 บาท เดินหาห้องจนได้ ราคา 5,000 บาท เข้าอยู่ได้เลย ซื้อหมอนกับผ้าที่ไว้ปูนอน ของใช้ที่พอประทังชีวิต เหลือเบ็ดเสร็จ 2,000 บาท โดยที่ยังไม่มีงานทำ รุ่งขึ้นเดินหน้าหางาน ก็ไม่รู้จะเริ่มงานไหนอะไรยังดี นั่งรถไปเรื่อยๆ ตัดสินใจนั่งสาย 39 จากรังสิต มาเส้นลาดพร้าว ผ่านแถวหน้าเซ็นทรัลลาดพร้าวก็เห็นมีป้ายรับสมัครงาน ก็เลยตัดสินใจเข้าไปสมัครดู กรอกใบสมัครไว้ ใจคิดว่าคงไม่ได้แน่ๆ เพราะคนในร้านมีแต่คนหน้าตาดีๆ หุ่นดีกว่าเรา เขียนเสร็จเค้าก็พูดตามมารยาทว่า "เดี๋ยวรอเรียกละกันนะคะ" เราก็โอเค เดินออกจากร้าน ชีวิตตอนนั้นเคว้งมากเลย ไม่รู้จะทำยังไง เงินก็จะหมด ไม่รู้จะไปไหน เลยนั่งรถไปจตุจักร พอลงรถ มีโทรศัพท์เข้า พอรับสายก็เป็นสายจากร้านที่เราไปสมัครงานไว้ ตอนนั้นดีใจมากถึงจะแค่เรียกไปสัมภาษณ์ เราเลยขอเป็นวันรุ่งขึ้นจะไปสัมภาษณ์ แล้วก็นั่งรถกลับห้อง ตอนนั้นนึกอะไรไม่ออก คิดในใจบนรถเมล์ว่า "ขอให้ได้งานที่นี่ ถ้าได้นะจะเลิกกินเนื้อวัว" ซึ่งเราเป็นคนชอบกินมากๆ วันรุ่งขึ้นไปสัมภาษณ์กับพี่ฝ่ายบุคคล คุยกันจนได้งาน ดีใจมากรอดตายแล้ว ฐานเงินเดือน 7,500 บาท กับวุฒิ ม.6 นาทีนั้นให้เท่าไหร่ก็เอาดีกว่าไม่มีงาน ให้ทำไรก็ทำหมด เนื่องจากเราต้องรอสาขาที่จะเปิดแถวรังสิตเราจึงต้องมาฝึกงานที่ลาดพร้าวก่อน 1 เดือน เริ่มงาน 10.00 โมง เลิก 15.00 โมง ซึ่งพี่เค้าก็เมตตาเรามาก พี่ฝ่ายบุคคลบอกเราว่าถึงจะฝึกงานแต่พี่ก็ให้เงินนะ เราก็โอเค เริ่มงานวันรุ่งขึ้น ด้วยความที่เข้างานคร่อมเวลา ทำให้เราก็ไม่ต้องกินข้าวเที่ยง พอเย็นเลิกงานกว่าจะถึงห้องก็เย็นมาก เหนื่อยหลับไปเลย จากต้นเดือน พย. ถึงปลายเดือน เราใช้เงินวันละ 20 บาท คือค่ารถไปกลับ ใช้มากสุดไม่เกิน 50 บาท แถมปลายๆเดือนมียืมเพื่อนในร้านด้วย 100 บาทประทังชีวิตเพราะไม่พอจริงๆ กว่าจะผ่านเดือนนั้นมาได้อดทนกับมันมาก จากชีวิตที่แบบเคยมีเงินอยากไปเที่ยวไหนก็ไปอยากกินอะไรก็กิน ไม่ถึงกับเป็นลูกคุณหนูแต่คือเงินไม่เคยขาดมือ ไม่สามารถซื้ออะไรตุนเพื่อไว้กินได้เลย ซื้อได้อย่างเดียวคือ น้ำเปล่าขวดลิตร แถมไม่รู้ว่าเค้าจะให้เราทำต่อแน่ไหม จะฝึกงานผ่านไหม ถ้าทำต่อไม่ได้ จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าห้อง ตอนนั้นชีวิตเครียดไปหมด แต่พอถึงวันที่เงินเดือนออก พี่ฝ่ายบุคคลชื่อ "พี่ต้น" เดินเอาซองใส่เงินเดือนมาให้ วินาทีนั้นอยากลงไปกราบแกเลย ถ้าแกไม่รับเข้าทำงานตอนนั้น เงินก้อนที่ต่อชีวิตเราคงไม่มี แกมีบุญคุณกับเรามากในช่วงชีวิตตอนนั้น แกบอกให้เรารอไปเริ่มงานที่ร้านสาขาคลองสามได้เลย ไปช่วยกันทำความสะอาดหน่อย ยังไงก็ให้ทำที่ร้านนั้นอยู่แล้ว
เราทำงานที่นี่ไปได้สักพัก เราก็ออก เนื่องจากร้านสาขาไม่ประสบความสำเร็จ เค้าจึงขอย้ายเรากลับไปทำที่สาขาลาดพร้าวแบบเดิม เข้างาน 6 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็น ถ้ามีโอที เลิก 2 ทุ่ม ด้วยความที่มันกระทันหัน มีเงินอยู่ 7 พันบาท หักค่าห้อง/ของใช้ไปเหลือ 3พันนิดๆ ต้องตื่นตี4 กลับถึงห้อง 4ทุ่ม เหนื่อยมากเพราะยืนทั้งวัน ค่ารถวันนึงก็ 50 บาท ค่ากินอีก เงินไม่พอใช้ไม่มีเงินไปทำงาน จึงขอหยุดงานไปครึ่งเดือน รอเงินออกสิ้นเดือนทีเดียว พี่ต้นฝ่ายบุคคลแกก็เข้าใจ แกก็อนุญาติให้หยุดไป พอเงินเดือนออกเราก็ไปทำงานได้สองวัน เราก็ตัดสินใจออกเพราะเราคิดว่ายังไงก็เงินก็ไม่พอแน่ๆ เลยปรึกษากับพี่ที่ทำงานที่สาขาด้วยกัน เลยไปหางานใหม่ดีกว่า แถวเมเจอร์รังสิต ทำได้ยังไม่ถึงเดือน น้ำท่วมใหญ่ เซ็งมาก เงินเดือนก็ยังไม่ได้ น้ำท่วมอีก ทำไรไม่ถูก น้ำท่วมไปหมด เลยตัดสินใจโทรหาแม่ อยู่ไม่ได้น้ำท่วม ลุยน้ำออกมาจากห้องเดินมาถึงคลองสี่ มาโบกรถกระบะมาลงอนุสาวรีย์
ชีวิตเราไม่นึกไม่ฝันจะมาเจออะไรแบบนี้ แต่พอเจอมาเราก็ผ่านมันมาได้ มันก็รู้สึกดีนะ ลำบากนะตอนช่วงเวลานั้นแต่เราผ่านมาได้อะ ทำทุกอย่างให้รอดอะ เราต้องอยู่ได้ หลังจากวันนี้ต่อให้เจออะไรลำบากแค่ไหน เราก็จะนึกถึงวันเวลาที่ผ่านมา เจอมาขนาดนี้ยังยืนอยู่ได้ ปัญหาอะไรก็เข้ามาเหอะ สู้โว้ยยยย