การระลึกชาติ เพื่อเบื่อหน่ายต่อการเวียนว่ายตายเกิด เพื่อมุ่งตรงต่อมรรคผลนิพพาน

หลักฐานเกี่ยวกับการระลึกชาติกระจายอยู่ในสูตรต่างๆ ถึง 63 สูตร และกระจายอยู่ในคัมภีร์พระสุตตันตปิฎกถึงจำนวน 16 เล่ม จากจำนวนทั้งหมด 25 เล่ม

จุดมุ่งหมายของคำสอนเกี่ยวกับการระลึกชาตินั้น

ประการแรก พระพุทธเจ้าสอนเพื่อเน้นย้ำหลักคำสอนเกี่ยวกับศีลธรรม หรือจริยธรรม มุ่งให้ประกอบกรรมดีเป็นหลักเพราะผู้ที่ประกอบกรรมดี ย่อมบังเกิดในภพที่ดี เสวยวิบากที่ดี

ประการที่สอง เพื่อเป็นเป้าหมายของการปฏิบัติขัดเกลา ผู้ที่ปฏิบัติทางจิต ย่อมสามารถหวังผลของการปฏิบัติแม้เพียงการระลึกชาติก็สามารถทำได้ ใน อากังเขยยสูตร พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสถึงการระลึกชาติเพียงในแง่ที่เป็นเป้าหมายของการปฏิบัติในระดับต้นว่า หากภิกษุพึงหวังจะระลึกชาติได้ ก็พึงปฏิบัติศีลให้บริบูรณ์ ไม่เหินห่างจากฌาน หมั่นประกอบวิปัสสนาก็จะบรรลุได้ ดังข้อความที่ปรากฏในพระสูตรว่า

     [๘๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า เราพึงระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ
พึงระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง
ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง
แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏวิวัฏกัป
เป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหาร
อย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว
ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น
มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพ
นั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เราพึงระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ
พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้เถิด ดังนี้ ภิกษุนั้น พึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่น-
*ประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูน
สุญญาคาร.


ประการที่สาม เพื่อยืนยันว่า เป็นผลสำเร็จของการบวชเป็นบรรพชิตที่ผู้บวชสามารถบรรลุได้จริง มิใช่การบวชจะไม่บังเกิดผลหรือเสียเวลาใดๆ และยังสามารถบรรลุผลอย่างอื่นที่สูงกว่าการระลึกชาติได้อีกด้วย ดังความที่ตรัสในสามัญญผลสูตร ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงอธิบายว่า การระลุกชาติได้ เป็นผลแห่งความเป็นสมณะที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบันอย่างหนึ่งในบรรดาผลของความเป็นสมณ 14 ประการ ที่พระพุทธองค์ตรัสแก่พระเจ้าอชาตศรัตรูว่า

“ภิกษุได้ฌาน 4 (จตุถฌาน) แล้ว เมื่อน้อมจิตไปเพื่อให้เกิดปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ญาณคือการระลึกชาติได้) ภิกษุนั้นก็สามารถระลึกชาติก่อนๆ ได้ นี่เป็นผลแห่งการบวชที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน ที่ดีกว่าและสำคัญกว่าผลข้อก่อน เป็นต้น

เนื้อหาคำสอนเรื่องการระลึกชาตินั้น มีความสัมพันธ์กับคำสอนเรื่อง “สังสารวัฏ” หรือ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เป็นคำสอนพื้นฐานสำคัญ และคำสอนเรื่องการระลึกชาติได้เป็นตัวพิสูจน์ให้เห็นว่า การตายแล้วเกิดมีจริง หรือชีวิตของสัตว์ที่ยังมีกิเลสตัณหานั้นมีการเวียนว่ายตายเกิดจริง การที่พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องสงสารวัฏนี้ แสดงให้เห็นว่า สัตว์โลกทั้งปวงที่เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ ย่อมตกอยู่ในกฎแห่งสามัญญลักษณะ 3 ประการ คือ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความเป็นอนัตตา หาตัวยืนโรงนิรันดรไม่ได้

การที่สัตว์ทั้งหลายทุกรูปทุกนามต้องท่องเที่ยววนเวียน เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ในภพภูมิต่างๆ รวมทั้งชีวิตปัจจุบันของมนุษย์ในโลกอย่างไม่มีวันสิ้นสุดนี้ เรียกว่า วัฏสงสาร การเป็นไปอยู่หรือกระบวนแห่งความเป็นไปของวัฏสงสารมีธรรมชาติปรากฏขึ้นด้วยการอิงอาศัยกันและดับไปด้วยเหตุปัจจัยเหมือนกัน กล่าวคือ ความเป็นไปอยู่ของวัฏสงสารนี้ตั้งอยู่บนหลักแห่งอิทัปปัจจยตา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงกระบวนการเกิดการดำเนินไปและการดับของชีวิตที่มีความสัมพันธ์กันเป็นลูกโซ่อย่างอิงอาศัยกัน ดังนั้น ความเป็นไปของวัฏสงสารจึงประกอบด้วยองค์ 3 คือ กิเลส กรรม และ วิบาก กิเลสเป็นเหตุให้ทำกรรม เมื่อทำกรรมแล้วก็ก่อให้เกิดวิบากตามมา วิบากก็เป็นเหตุให้เกิดกิเลสต่อไปอีกใหม่ เป็นสภาวะหมุนเวียนด้วยความเป็นทั้งเหตุและผลแห่งกันอยู่อย่างนี้ไม่มีสิ้นสุด

นอกจากนี้ พระพุทธเจ้ายังตรัสถึงความทุกข์ของสรรพสัตว์ทั้งหลายในลักษณะอื่นๆ อีกมาก เช่น เกิดมาเป็นคนผู้มีมือและเท้าไม่สมประกอบ ในทุคติสูตร เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เช่น โค, แพะ, แกะ, ไก่, สุกร ฯลฯ แล้วถูกฆ่า ดังที่ปรากฏในติงสมัคคสูตร เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ เป็นความทุกข์ ถึงแม้บางครั้งจะเกิดมาร่ำรวย มีความสุขบ้าง แต่ก็พบกับความทุกข์อื่นๆ อยู่ดี อย่างน้อยก็เป็นความทุกข์เนื่องจากการได้สิ่งที่ไม่รัก และพลัดพรากจากสิ่งที่รัก เป็นต้น

หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเรื่องการระลึกชาติ การเวียนว่ายตายเกิด และสังสารวัฏ มีความสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ก็เป็นไปเพื่อจุดมุ่งหมายที่สำคัญสูงสุด คือความหลุดพ้นอากอาสวกิเลส หรือเพื่อนิพพาน

ในจำนวนสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด จะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสสรุปไว้อย่างเดียวกันคือ เพื่อให้รู้และตระหนักถึงสงสาร (การเวียนว่ายตายเกิด) หรือสังขารทั้งหลายว่า เป็นของไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม ไม่น่าชื่นใจ ดังนั้น จึงควรเบื่อหน่าย คลายกำหนัดและเพื่อหลุดพ้นจากสังขารทั้งปวง ดังตัวอย่างพระพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้า ตรัสในติณกัฏฐสูตรอนมตัคคสังยุต สังยุตนิกาย นิทานวรรค ความว่า

[๔๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า บุรุษตัดทอนหญ้า ไม้กิ่งไม้ ใบไม้
ในชมพูทวีปนี้ แล้วจึงรวมกันไว้ ครั้นแล้ว พึงกระทำให้เป็นมัดๆ ละ ๔ นิ้ว วางไว้ สมมติว่า
นี้เป็นมารดาของเรา นี้เป็นมารดาของมารดาของเรา โดยลำดับ มารดาของมารดาแห่งบุรุษนั้น
ไม่พึงสิ้นสุด ส่วนว่า หญ้าไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ พึงถึงการหมดสิ้นไป ข้อนั้น
เพราะเหตุไรเพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชา
เป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ
พวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฐพีที่เป็นป่าช้า ตลอดกาลนาน
เหมือนฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง
พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ


ขณะเดียวกัน พระพุทธเจ้ายังตรัสย้ำไว้อีกใน เวปุลลปัพพตสูตร ว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงอย่างนี้ ไม่ยั่งยืนอย่างนี้
ไม่น่าชื่นใจอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อ
หน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น....
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีอันเกิดขึ้นแลเสื่อมไปเป็นธรรมดา ครั้นเกิด
ขึ้นแล้วย่อมดับไป ความที่สังขารเหล่านั้นสงบระงับไปเป็นสุข ดังนี้ ฯ


สิ่งที่น่าสังเกตก็คือว่า การตรัสเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนี้ พระองค์มิได้ตรัสเพื่อให้คนเชื่อและหลงงมงาย แต่เป็นการตรัสเพื่อให้ทราบความจริงของชีวิต และวางแนวทางปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจากสังสารวัฏ หมายความว่าจุดมุ่งหมายที่พระองค์ทรงตรัสสอนก็เพื่อให้สรรพสัตว์กำจัดอวิชชาและตัดตัณหาให้สิ้น โดยพิจารณาสังขารทั้งหลายให้เห็นเป็นของไม่เที่ยว เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เมื่อกำจัดอวิชชาและตัณหาได้แล้ว ก็เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ไม่ยึดมั่นถือมั่นในอหังการและมมังการอีกต่อไป เมื่อสรรพสัตว์หลุดพ้นจากสังขารทั้งปวงได้โดยสิ้นเชิง การเวียนว่ายตายเกิดในสงสารก็จักไม่มีอีกต่อไป

เรียบเรียงจากเนื้อหาในวิทยานิพนธ์ เรื่องการศึกษาเชิงวิเคราะห์เรื่องการระลึกชาติในพระสุตตันตปิฎก (๒๕๔๖)
http://www.mcu.ac.th/site/thesiscontent_desc.php?ct=1&t_id=123
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่