คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
ตอบไปเมื่อวาน และกรณีของคุณคำตอบก็ยังเหมือนเดิมครับ
http://pantip.com/topic/31026557/comment17
อย่างไรก็ตาม อธิบายเพิ่มอีกนิดหนึ่งละกัน (ความเห็นส่วนตัวนะ)
กรณีไม่ต้องการชำระค่า service charge
สิ่งที่คุณอาจยกมาอ้างได้ ("อาจ" นะครับ เหตุผลก็อย่างที่อธิบายใน #17 กระทู้เมื่อวาน) ก็คือ.....
"การชำระหนี้ไม่ต้องตามประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย
หากการชำระหนี้ในนี้บริการที่เรียกกันว่า service charge นี้ของฝ่ายให้บริการคือ การบริการที่ดี (ส่วนดีระดับไหน อันนี้เป็นอีกประเด็น เดี๋ยวจะกล่าวถึง)
แล้วผู้ใช้บริการไม่ได้รับการบริการที่ดี เราสามารถเรียกให้ผู้ให้บริการชำระหนี้ให้ถูกต้อง คือ ให้บริการเราให้ดี ได้....
หากเขาไม่ทำตามนั้น เท่ากับเขาชำระหนี้ไม่ต้องตามประสงค์แห่งมูลหนี้ คุณ (ผู้ใช้บริการ) ไม่มีความจำเป็นต้องชำระหนี้(เงินค่าบริการในส่วนการบริการ service charge)) ในส่วนของคุณ ซึ่งเป็นสัญญาต่างตอบแทน (หมูไม่มา ไก่ก็ไม่ต้องไป)
นอกจากนี้ ในเมื่อเขาไม่ชำระหนี้(บริการ)ให้ถูกต้อง เมื่อคุณให้เวลาแกเขาให้ทำให้ถูกต้องเขาก็ยังไม่ทำ คุณก็สามารถแจ้งขอยกเลิกสัญญาบริการนี้ได้ครับ
ส่วนว่าเลิกกันแล้ว ใครต้องจ่ายอะไรหรือไม่อย่างไร อันนี้ต้องว่ากันไปตามข้อเท็จจริงแต่ละกรณีนะครับ
ต้องย้อนกลับไปดูกันอีกรอบว่า service charge คืออะไร ครอบคลุมแค่ไหน เช่น แต่การบริการของบริกรผู้เสิร์ฟอาหาร หรือรวมไปถึงพนักงานในครัว พนักงานล้างจาน พนักงานทำความสะอาดโต๊ะ และอื่นๆอีกมาก
หากมันรวมถึงส่วนอื่นๆและส่วนนั้นๆคุณได้รับบริการแล้ว คุณก็ต้องจ่ายในส่วนนั้นๆอยู่ดี
โดยทั้งนี้...
ความเห็นส่วนตัวนะ ผมมองว่า สัญญา service charge มันแยกออกจากสัญญาหลักคือ สัญญาซื้อขายอาหาร นั้นๆได้ (severance)
ฉะนั้นแม้หากว่าอาจจะปฏิเสธไม่จ่ายค่า service charge ได้กรณีไม่ได้รับการชำระหนี้เ็ป็นบริการที่ดี ก็ไม่อาจปฏิเสธไม่ชำระค่าอาหารได้หากร้านไ่ม่ได้บกพร่องในแง่ของอาหาร และการบริการที่ไม่ดีนั้นไม่ได้มีผลต่ออาหารที่เราซื้อ
อนึ่ง...คำว่า "บริการที่ดี" ที่ผมใช้นั้น มันไม่มีในกฎหมายนะครับ ผมแค่ใช้คำให้นึกภาพออกง่ายๆเท่านั้น
นอกจากปัญหาว่า service charge มันคือ สัญญาประเภทใด แล้วนั้น....
ก็จะมีปัญหาอีกว่า อะไรคือ การชำระหนี้ที่ต้องตามประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ หรือพูดง่ายๆว่า การบริการต้องดีแค่ไหนจึงเหมาะกับการเรียกเก็บค่า service charge ตามสัญญา
ตรงจุดนี้คงไม่มีที่ไหนระบุเป็นลายลักษณ์อักษรหรือคุยกันชัดเจนตอนเราเข้าไปนั่งในร้านอาหารว่าร้านต้องให้บริการอะไรอย่างไรบ้างถึงจะเก็บหรือไม่เก็บค่า service charge
แล้วถามว่า.............เราจะรู้ได้อย่างไร......ตรงนี้มีหลักทั่วไปในการคิดครับ (เพราไม่มีกฎหมายเฉพาะระบุไว้ดังกล่าว)
- เริ่มด้วยการ ม.171 ป.พ.พ. "ในการตีความการแสดงเจตนานั้น ให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษร"
ยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ....หากเราเคยกินร้านอาหารร้านหนึ่งอยู่เป็นประจำ และได้รับการบริการในระดับเดิมๆมาตลอด เมื่อคุณไปกินอีก คุณย่อมมีเจตนาได้รับบริการในระดับเดิมๆ เป็นต้น
แต่หากเป็นร้านที่ไปกินใหม่.....ย่อมอาจไม่สามารถตีความการแสดงเจตนาแบบนี้ได้
- ขั้นต่อไปหากไม่อาจทราบเจตนาอันแท้จริงได้....ก็ไปดูที่กฎหมาย ซึ่งกรณี service charge ไม่มีกฎหมายเฉพาะดังกล่าวไปแล้ว
(โดยทั่วไปในเรื่องนิติกรรมสัญญา เจตนาสำคัญกว่ากฎหมาย เว้นแต่เป็นกฎหมายเคร่งครัด)
- มื่อสองชั้นที่ผ่านมาไม่อาจให้คำตอบได้ เราจึงเรียกกรณีนี้ว่า ช่องว่างแห่งสัญญา
ขั้นต่อไปคือการปิดช่องว่างนั้นเสียด้วยการตีความสัญญา
ม.368 ป.พ.พ. "สัญญานั้นท่านให้ตีความไปตามความประสงค์ในทางสุจริต โดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วย"
ประเด็นในการวิเคราะห์ว่าอะไรคือ ปกติประเพณี จริงๆเป็นเรื่องเข้าใจค่อนข้างยากนะครับ แต่ผมยกตัวอย่างง่ายๆละกัน.....
หากคุณไปกินข้าวในร้านอาหารข้างถนน ย่อมเป็นธรรมดาที่จะไม่ได้รับการบริการที่ดีเทียบเท่ากับร้านอาหารในโรงแรม
และแม้แต่ระดับโรงแรมด้วยกัน การบริการในโรงแรมแต่ละระดับแต่ละดาว ก็ย่อมไม่ได้มีมาตรฐานในระดับเดียวกัน
การบริการของร้านอาหารในแต่ละประเทศ ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในระดับเดียวกันแม้จะเ็ป็นร้านอาหารในประเภทเดียวกัน (อาจยกเว้นพวกร้านในระดับนานาชาติที่สาขาเปิดทั่วโลก อันนั้นอาจพอได้ว่าควรได้รับการบริการเหมือนๆกัน อาจมีแตกต่างไปบ้างตามลักษณะเฉพาะของแต่ละชนชาติหรือศาสนา เ็ป็นต้น)
ปกติประเพณีของแต่ละกลุ่มย่อมแตกต่างกัน.........................
ขออธิบายความเห็นส่วนตัวแค่คร่าวๆแค่นี้ก่อนนะครับ
พอดีวันนี้ทำงาน งานเข้าอยู่เรื่อยๆเลย พิมพ์มาเกือบชม.หละมั๊งเนี่ยกว่าจะได้แค่นี้เพราะโดนงานขัดตลอด
แล้วเดี๋ยว 11 โมงก็ต้องรีบไปพบจนท.ธนาคาร พอดีทำนัดเอาไว้ ^^"
http://pantip.com/topic/31026557/comment17
อย่างไรก็ตาม อธิบายเพิ่มอีกนิดหนึ่งละกัน (ความเห็นส่วนตัวนะ)
กรณีไม่ต้องการชำระค่า service charge
สิ่งที่คุณอาจยกมาอ้างได้ ("อาจ" นะครับ เหตุผลก็อย่างที่อธิบายใน #17 กระทู้เมื่อวาน) ก็คือ.....
"การชำระหนี้ไม่ต้องตามประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย
หากการชำระหนี้ในนี้บริการที่เรียกกันว่า service charge นี้ของฝ่ายให้บริการคือ การบริการที่ดี (ส่วนดีระดับไหน อันนี้เป็นอีกประเด็น เดี๋ยวจะกล่าวถึง)
แล้วผู้ใช้บริการไม่ได้รับการบริการที่ดี เราสามารถเรียกให้ผู้ให้บริการชำระหนี้ให้ถูกต้อง คือ ให้บริการเราให้ดี ได้....
หากเขาไม่ทำตามนั้น เท่ากับเขาชำระหนี้ไม่ต้องตามประสงค์แห่งมูลหนี้ คุณ (ผู้ใช้บริการ) ไม่มีความจำเป็นต้องชำระหนี้(เงินค่าบริการในส่วนการบริการ service charge)) ในส่วนของคุณ ซึ่งเป็นสัญญาต่างตอบแทน (หมูไม่มา ไก่ก็ไม่ต้องไป)
นอกจากนี้ ในเมื่อเขาไม่ชำระหนี้(บริการ)ให้ถูกต้อง เมื่อคุณให้เวลาแกเขาให้ทำให้ถูกต้องเขาก็ยังไม่ทำ คุณก็สามารถแจ้งขอยกเลิกสัญญาบริการนี้ได้ครับ
ส่วนว่าเลิกกันแล้ว ใครต้องจ่ายอะไรหรือไม่อย่างไร อันนี้ต้องว่ากันไปตามข้อเท็จจริงแต่ละกรณีนะครับ
ต้องย้อนกลับไปดูกันอีกรอบว่า service charge คืออะไร ครอบคลุมแค่ไหน เช่น แต่การบริการของบริกรผู้เสิร์ฟอาหาร หรือรวมไปถึงพนักงานในครัว พนักงานล้างจาน พนักงานทำความสะอาดโต๊ะ และอื่นๆอีกมาก
หากมันรวมถึงส่วนอื่นๆและส่วนนั้นๆคุณได้รับบริการแล้ว คุณก็ต้องจ่ายในส่วนนั้นๆอยู่ดี
โดยทั้งนี้...
ความเห็นส่วนตัวนะ ผมมองว่า สัญญา service charge มันแยกออกจากสัญญาหลักคือ สัญญาซื้อขายอาหาร นั้นๆได้ (severance)
ฉะนั้นแม้หากว่าอาจจะปฏิเสธไม่จ่ายค่า service charge ได้กรณีไม่ได้รับการชำระหนี้เ็ป็นบริการที่ดี ก็ไม่อาจปฏิเสธไม่ชำระค่าอาหารได้หากร้านไ่ม่ได้บกพร่องในแง่ของอาหาร และการบริการที่ไม่ดีนั้นไม่ได้มีผลต่ออาหารที่เราซื้อ
อนึ่ง...คำว่า "บริการที่ดี" ที่ผมใช้นั้น มันไม่มีในกฎหมายนะครับ ผมแค่ใช้คำให้นึกภาพออกง่ายๆเท่านั้น
นอกจากปัญหาว่า service charge มันคือ สัญญาประเภทใด แล้วนั้น....
ก็จะมีปัญหาอีกว่า อะไรคือ การชำระหนี้ที่ต้องตามประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ หรือพูดง่ายๆว่า การบริการต้องดีแค่ไหนจึงเหมาะกับการเรียกเก็บค่า service charge ตามสัญญา
ตรงจุดนี้คงไม่มีที่ไหนระบุเป็นลายลักษณ์อักษรหรือคุยกันชัดเจนตอนเราเข้าไปนั่งในร้านอาหารว่าร้านต้องให้บริการอะไรอย่างไรบ้างถึงจะเก็บหรือไม่เก็บค่า service charge
แล้วถามว่า.............เราจะรู้ได้อย่างไร......ตรงนี้มีหลักทั่วไปในการคิดครับ (เพราไม่มีกฎหมายเฉพาะระบุไว้ดังกล่าว)
- เริ่มด้วยการ ม.171 ป.พ.พ. "ในการตีความการแสดงเจตนานั้น ให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษร"
ยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ....หากเราเคยกินร้านอาหารร้านหนึ่งอยู่เป็นประจำ และได้รับการบริการในระดับเดิมๆมาตลอด เมื่อคุณไปกินอีก คุณย่อมมีเจตนาได้รับบริการในระดับเดิมๆ เป็นต้น
แต่หากเป็นร้านที่ไปกินใหม่.....ย่อมอาจไม่สามารถตีความการแสดงเจตนาแบบนี้ได้
- ขั้นต่อไปหากไม่อาจทราบเจตนาอันแท้จริงได้....ก็ไปดูที่กฎหมาย ซึ่งกรณี service charge ไม่มีกฎหมายเฉพาะดังกล่าวไปแล้ว
(โดยทั่วไปในเรื่องนิติกรรมสัญญา เจตนาสำคัญกว่ากฎหมาย เว้นแต่เป็นกฎหมายเคร่งครัด)
- มื่อสองชั้นที่ผ่านมาไม่อาจให้คำตอบได้ เราจึงเรียกกรณีนี้ว่า ช่องว่างแห่งสัญญา
ขั้นต่อไปคือการปิดช่องว่างนั้นเสียด้วยการตีความสัญญา
ม.368 ป.พ.พ. "สัญญานั้นท่านให้ตีความไปตามความประสงค์ในทางสุจริต โดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วย"
ประเด็นในการวิเคราะห์ว่าอะไรคือ ปกติประเพณี จริงๆเป็นเรื่องเข้าใจค่อนข้างยากนะครับ แต่ผมยกตัวอย่างง่ายๆละกัน.....
หากคุณไปกินข้าวในร้านอาหารข้างถนน ย่อมเป็นธรรมดาที่จะไม่ได้รับการบริการที่ดีเทียบเท่ากับร้านอาหารในโรงแรม
และแม้แต่ระดับโรงแรมด้วยกัน การบริการในโรงแรมแต่ละระดับแต่ละดาว ก็ย่อมไม่ได้มีมาตรฐานในระดับเดียวกัน
การบริการของร้านอาหารในแต่ละประเทศ ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในระดับเดียวกันแม้จะเ็ป็นร้านอาหารในประเภทเดียวกัน (อาจยกเว้นพวกร้านในระดับนานาชาติที่สาขาเปิดทั่วโลก อันนั้นอาจพอได้ว่าควรได้รับการบริการเหมือนๆกัน อาจมีแตกต่างไปบ้างตามลักษณะเฉพาะของแต่ละชนชาติหรือศาสนา เ็ป็นต้น)
ปกติประเพณีของแต่ละกลุ่มย่อมแตกต่างกัน.........................
ขออธิบายความเห็นส่วนตัวแค่คร่าวๆแค่นี้ก่อนนะครับ
พอดีวันนี้ทำงาน งานเข้าอยู่เรื่อยๆเลย พิมพ์มาเกือบชม.หละมั๊งเนี่ยกว่าจะได้แค่นี้เพราะโดนงานขัดตลอด
แล้วเดี๋ยว 11 โมงก็ต้องรีบไปพบจนท.ธนาคาร พอดีทำนัดเอาไว้ ^^"
แสดงความคิดเห็น
สอบถามเรื่อง Service Charge ครับ
เพราะพักหลังมานี่ไม่พอใจกับการเก็บ Service Charge ของร้านอาหารหลายๆร้าน รู้สึกไม่เห็นบริการอะไรเลย เก็บ SC ซะงั้น = = ( การบริการบางอย่างอย่าง การเสิร์ฟอาหาร รับออเดอร์ ผมถือว่าเป็นบริการที่ควรจะทำอยู่แล้วนะครับ ผมไม่นับ )
และยิ่งช่วงหลังๆมามีกระทู้โวยร้านอาหารบางร้านบ่อยมาก
เลยอยากทราบว่ามีกรณีไหนที่เราไม่จ่ายได้รึเปล่าครับ ผมเห็นกระทู้คล้ายๆของผมเมื่อวานนี้นี่ละ มีคนให้คำตอบประมาณว่า
ถ้าเค้าแจ้งไว้แล้วว่ามียังไงก็ต้องจ่าย กับ ไม่ได้แจ้งเราสามารถไม่จ่ายได้ มันอะไรยังไง รบกวนขอความชัดเจนทีครับ
แล้วถ้าแจ้งไว้ ส่วนใหญ่ทางร้านจะแจ้งไว้ที่ไหน ในลักษณะใดครับ
ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่เข้ามาแสดงความเห็นครับ
ขออนุญาต
tag ก้นครัวเพราะเกี่ยวกับร้านอาหารโดยตรง
tag ศาลาประชาคม เพราะคิดว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับทางกฏหมายครับ
ปล บางทีว่าเซ็งพนักงานที่เป็นแรงงานจากต่างชาติ เพราะบางคนคุยกับเราไม่ได้ ฟังเราสั่งไม่รู้เรื่อง พอเจอ พงกไทยนิสัยแย่ๆรู้สึกพวกนั้นดีขึ้นมาเลย สมัยนี้ร้านอาหารไม่ค่อยอบรมพนงกันแล้วหรอครับ ? ( คหสต นะครับ )