สถานที่ทุรกันดาร

พื้นที่ภูมิภาคตามรายการข้างท้ายนี้
ลักษณะพื้นที่บางแห่งมีความเป็นอยู่
อยู่ได้อย่างยากลำบากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
แต่ความจำเป็นต้องดำรงชีวิตพร้อมไปกับการดิ้นรนต่อสู้กับธรรมชาติ
ด้วยการบริหารจัดการภายใต้เงื้อมมือของมนุษย์

เริ่มจากพื้นที่แห้งแล้ง พื้นที่ว่างเปล่า พื้นที่เย็นยะเยือกจนแช่แข็ง
ไปจนถึงเขตป่าดงดิบ/ป่าร้อนชื้นที่เข้าไปถึงได้ยากที่สุด
เขตพื้นที่ภูเขาไฟที่ยังปะทุ/พร้อมระเบิดได้ตลอดเวลา
สถานที่อยู่อาศัยต้องมีการเดิมพันด้วยชิวิตของมนุษย์
แต่ก็ยังมีมนุษย์บางส่วนยังคงอาศัยทำมาหากินอยู่
โดยอยู่ได้อย่างอดทนและทนอดในสถานที่แห่งนั้น

10. Cook ประเทศออสเตรเลีย



ที่มาของภาพ http://goo.gl/guhZlC

ที่มาของภาพ http://goo.gl/zkN5Ws



สถานีรถไฟย่อย Cook แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1917(2460)
เพื่อให้รถไฟที่ต้องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองกลางทาง
รถไฟต้องวิ่งบนรางที่เป็นเส้นตรงที่ยาวที่สุดในโลก
ความยาวของรางรถไฟ 297 ไมล์ (478 กิโลเมตร)
ท่ามกลางทะเลทรายล้อมรอบ
โดยมีเส้นทางรถไฟอยู่ในใจกลางของภูมิประเทศ
เมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดคือ Port Augusta
แต่ต้องเดินทางถึง 513 ไมล์ (826 กิโลเมตร)

สถานีบริการเพียงแห่งเดียวใน Cook
ที่ต้องทำหน้าที่ตามภาระกิจของงานรถไฟ
จะเปิดทำการก็ต่อเมื่อรถไฟเดินทางมาถึง
เพื่อเติมน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองเท่านั้น
หลังจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจรถไฟ
ความจำเป็นที่จะต้องใช้บริการ
ที่สถานีย่อยแห่งนี้ลดลงไปเรื่อย ๆ
จึงปรับปรุงเป็นสถานีแห่งนี้
ไว้ใช้เป็นสถานที่ในการฝึกอบรม
ที่พักค้างคืนของคนขับรถไฟ
หรือสถานที่ฝึกอบรมการปฐมพยาบาล
กรณีเกิดอุบัติเหตุของกิจการรถไฟ

Cook เป็นสถานที่ที่ร้อนและแห้งแล้ง
แม้ว่าจะมีพยายามปลูกพืชผักต้นไม้
แต่ประสบความล้มเหลวหลายครั้งมาก
เสบียงอาหารจำนวนมากต้องขนมาโดยรถไฟ
น้ำต้องสูบขึ้นมาจากบ่อน้ำใต้ดิน
เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้งาน

แต่ตอนนี้มีประชากรเพียงสี่นาย
ทำให้การใช้น้ำในบริเวณสถานีย่อย
จะใช้น้ำที่ส่งมาด้วยขบวนรถไฟ
นั้นหมายความว่า
ชิวิตในพื้นที่แห่งนี้ขาดความยั่งยืน
ไร้ความสมบูรณ์จากอาหาร น้ำ
และทรัพยากรธรรมชาติ

9. La Rinconada ประเทศเปรู






La Rinconada เป็นเมืองที่รู้จักกันว่า
อยู่บนพื้นที่สูงที่สุดในโลก
ตั้งอยู่ในบริเวณทวีปอเมริกาใต้
ล้อมรอบด้วยเทือกเขา Andes ที่สวยงาม
กระต๊อบ/บ้านในเมืองแห่งนี้
ถูกสร้างขึ้นบนธารน้ำแข็ง
(บนธรณีสัณฐานที่สร้างเมืองขึ้น)
ในระดับ 16.700 ฟุต (5.100 เมตร)
ความสูงที่เหนือระดับน้ำทะเล

ผู้ที่ประสงค์จะเดินทางไปยัง La Rinconada
จะต้องอดทนอย่างมากในการเดินทาง
บนเส้นทางถนนที่คับแคบและอันตราย
อากาศที่หนาวเย็นจัดกับอากาศที่เบาบาง
ทำให้มีโอกาสที่จะเป็นโรคทางเดินหายใจที่หลีกเลี่ยงได้ยาก

คนส่วนใหญ่มักจะอยู่อาศัยได้ไม่นานใน La Rinconada
เพราะมันอยู่ห่างไกลอย่างเหลือเชื่อ
แต่เพราะการที่มี แร่ทองคำ
ทำให้ดึงดูดคนยากจนจากทั่วทุกมุมของทวีปอเมริกาใต้
มาแสวงหาโชคลาภและความร่ำรวยจากที่นี่
ทำให้เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้มีชีวิตชีวา
และครบองค์ประกอบของความเป็นเมือง

8. Motuo ประเทศจีน





Motuo อยู่ท่ามกลางป่าไม้ 11.700 ตารางไมล์ (30.550 ตารางกิโลเมตร)
ตั้งอยู่ทางด้านใต้ของเทือกเขาหิมาลัย
เป็นหมู่บ้านชนบทเพียงแห่งเดียวของจีน
ที่ยังไม่มีเส้นทางถนนเข้าถึงหมู่บ้านแห่งนี้
การจะเดินทางเข้าไปในหมู่บ้านแห่งนี้
นักท่องเที่ยวต้องเดินเท้าจากหมู่บ้านใกล้เคียง
เดินผ่านสะพานชั่วคราวที่พอใช้งานได้
การเดินทางเข้าไปในเมืองลับแลแห่งนี้
อาจจะต้องใช้เวลาเดินทางถึงสี่วัน

สามสิบปีที่ผ่านมา
รัฐบาลท้องถิ่นพยายามที่จะสร้างเส้นทางถนน
เพื่อให้เข้าไปที่หมู่บ้าน Motuo
เส้นทางถนนสายนี้ใช้งานได้เพียงสองวัน
ก็ถูกแผ่นดินถล่มทับถมเส้นทางถนน
ตามด้วยภัยพิบัติจากธรรมชาติ
ได้กลืนกินสิ่งก่อสร้างไปทั้งหมด

แม้ว่าในพื้นที่แห่งนี้จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วย
พืชผักผลไม้สดและสัตว์ป่าตามธรรมชาติ
แต่การถนอมอาหารและการเก็บเกี่ยวพืชไร่
มักจะไม่ค่อยได้ผลมากนัก
รวมถึงการรักษาพยาบาลทางการแพทย์
แทบจะทำไม่ได้เลย

เพราะหนทางที่จะเข้าไปสู่พื้นที่
เต็มไปด้วยความยากลำบากอย่างมาก
มีคนรับจ้างที่ขับขี่รถจักรยานยนต์
จะขนส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์
เสบียงอาหารประเภทต่าง ๆ
เข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว

แต่จะต้องเดินทางผ่านป่าทึบ ฝ่าฝนที่ตกกระหน่ำ
ปลิง ทาก แมลงสัตว์กัดต่อย
ทำให้ชีวิตชาวพื้นเมืองประมาณ 10.000 คน
กลุ่มชาติพันธุ์  Menba Luoba
ยังคงรักษาความเป็นชาติพันธุ์ไว้ได้

7. Antarctica






แอนตาร์กติกา พื้นที่แห่งนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า
จะเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เลวร้ายสำหรับมนุษย์
ในการที่จะเรียกว่า เป็นบ้านได้ ยกเว้นนกเพนกวิน  
พื้นที่ร้อยละ 90 ของทวีปแห่งนี้
ประกอบด้วยน้ำแข็งและตกอยู่ในความมืด
เป็นความมืดที่สมบูรณ์แบบเป็นเวลาหกเดือนต่อปี

ไม่มีแหล่งอาหารธรรมชาติสำหรับมนุษย์
ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติหรือวัสดุที่พบได้ตามธรรมชาติ
เช่น ต้นไม้ หรือหินสำหรับก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัย
ส่วนพื้นที่ด้านล่างมีอุณหภูมิลดลงถึงระดับจุดเยือกแข็ง
สามารถฆ่าคนตายทั้งเป็นได้
จึงไม่น่าแปลกใจที่พื้นที่ทวีป Antarctica
ไม่มีคนพื้นเมืองอาศัยอยู่เลย

อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ปี 1800
นักวิทยาศาสตร์กับนักวิจัยหลายคน
ต่างใช้เวลาหลายเดือนที่อาศัยอยู่
ในทวีปที่แช่แข็งแห่งนี้
เพื่อประโยชน์ทางด้านการวิจัย

พวกเขาอาศัยอยู่ในแคมป์ที่สร้างขึ้น
ด้วยวัสดุที่นำเข้าและอาศัยเสบียงอาหารจากเรือบรรทุกสินค้า
ทุกวันนี้มีสถานีวิจัยมากกว่าหกสิบห้าสถานีวิจัย
พื้นที่ภายในแอนตาร์กติกกำลังถูกคุมคาม
จากสิ่งแปลกปลอมภายนอกตลอดทั้งปี
ด้วยประชากรต่าง ๆ จากหลายประเทศ
ตั้งแต่จำนวน 4.000 คนในฤดูร้อน
จำนวน 1,000 คนในฤดูหนาว
รวมทั้งนักท่องเที่ยวจำนวน 40,000 คนในช่วงฤดูร้อน

6. Pompeii ประเทศอิตาลี





ที่มาของภาพ http://goo.gl/gkaKkn



ปอมเปอีเป็นหนึ่งในแหล่งโบราณคดี
ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกแม้ว่าจะไม่เป็นที่สุดก็ตาม
หลังจากการระเบิดของภูเขาไฟ Vesuvius ในคริสตศักราช 69
เมือง Pompeii พร้อมกับเมืองใกล้เคียง Herculaneum
ถูกธารลาวาไหลปกคลุมพร้อมกับชีวิตคนในเมืองทั้งหมด
ให้จมมิดอยู่ใต้กองธารลาวาที่ไหลมาจากการระเบิดของภูเขาไฟ
ธารลาวาได้คงสภาพ/เก็บรักษาศพคน ศพสัตว์
อาคาร และสิ่งของ ไว้ในสภาพเดิมมากที่สุด
ทำให้นักโบราณคดีเกิดความเข้าใจ
การใช้ชีวิตประจำวันของชาวโรมันในสมัยก่อน

นอกจากนี้พื้นที่แห่งนี้ยังแสดงให้เห็นว่า
เมืองนี้ตกเป็นเหยื่อของแผ่นดินไหว
กับภูเขาไฟระเบิดก่อนหน้านี้หลายครั้งแล้ว

เพราะความอุดมสมบูรณ์ของพื้นดินรอบ ๆ Pompeii
ทำให้ผู้คนยังคงอาศัยอยู่ในรอบ ๆ พื้นที่
ยังมีคนราว ๆ 25,671 คนที่ยังคงอาศัยอยู่จนทุกวันนี้
Pompeii เป็นเมืองที่ีเห็นได้ชัดว่า
ไม่เหมาะสมกับการที่ผู้คนจะเข้าไปอยู่อาศัย
เพราะมีการระเบิดของภูเขาไฟตั้งแต่ครั้งโบราณเป็นต้นมา
มีจำนวนสองครั้งที่มีการระเบิดภูเขาไฟรุนแรงมาก
ครั้งแรกในปี 1906(2449) มีคนตายจำนวนกว่าหนึ่งร้อย
และอีกครั้งในปี 1944(2487) มีหมู่บ้านเล็ก ๆ สามแห่ง
ถูกกวาดล้างด้วยธารลาวาหายไปจากแผนที่ภูมิศาสตร์
ในอนาคตยังคาดการณ์ได้ว่า
หายนะกำลังมาเยี่ยมเยือนได้อีกไม่เร็วก็ช้า

5.  Múli






ที่มาของภาพ http://goo.gl/BNCb4Q



Múli เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่บนหมู่เกาะ Faroe
(อยู่กึ่งกลางระหว่างไอซ์แลนด์กับนอร์เวย์)
มีประชากรทั้งหมดจำนวนสี่คน
หมู่เกาะ Foroe เลื่องชื่อมากในเรื่องสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน
ฝนที่เทกระหน่ำ หมอก หิมะ พายุหิมะ ที่มีอยู่ตลอดทั้งปี

ภูมิทัศน์โดยรอบของเมือง Múli อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว
มีพืชพันธุ์ไม้น้อยมากหรือวัสดุธรรมชาติ
สำหรับคนที่จะใช้สอยหรือทำเป็นที่อยู่อาศัยได้
ทำให้วัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างส่วนมากจะถูกส่งมาด้วย
เฮลิคอปเตอร์หรือเรือบรรทุกสินค้าจากเมืองใหญ่
จนกระทั่งในปี 1989 มีการสร้างเส้นทางถนน
ที่เชื่อมต่อไปยังเมือง Norðdepil

ในช่วงฤดูร้อน Múli จะเป็นเวลากลางวันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
ส่วนในฤดูหนาวจะมีความมืดปกคลุมมากที่สุดเกือบทั้งวัน
ด้วยระยะทางมากกว่า  430 ไมล์ (691 กิโลเมตร)
ห่างจากแผ่นดินใหญ่ของประเทศไอซ์แลนด์
ทำให้ผู้คนอาศัยอยู่ในพื้นที่อย่างยากลำบากมาก
ทั้งเมืองเพิ่งจะมีไฟฟ้าใช้ในปี 1970(2513)
แต่ทุกวันนี้คนในพื้นที่ส่วนมาก
อพยพย้ายถิ่นฐานออกจากพื้นที่แล้ว
ทำให้เหลือคนอีกเพียงสี่คนที่ยังคงอาศัยอยู่ที่นั่น
ท่ามกลางเมืองที่รกร้างสภาพคล้ายกับเมืองผีหลอก

4. Verkhoyansk ประเทศรัสเซีย



ที่มาของภาพ http://goo.gl/o4oXxG

ที่มาของภาพ http://goo.gl/o5q57i



Verkhoyansk นับได้ว่าเป็นเมืองที่อากาศหนาวเย็นที่สุดในโลก
มีประชากรอยู่ในท้องถิ่นแห่งนี้อาศัยอยู่ประมาณ 1,500 คน
ให้พิจารณาจากอุณหภูมิ  -40-50 ° F (-4-10 ° C)
ตลอดทั้งวันในฤดูหนาวเป็นอุณหภูมิทั่วไป
สำหรับคนที่อยู่ในพื้นที่นี้
จึงไม่เป็นการยากเลยที่จะจินตนาการว่า
ทำไมพวกเขาถึงโอดครวญกับเรื่องนี้

ข้อเท็จจริงอีกอย่างก็คือว่า
ครั้งหนึ่งไม่นานมานี้บริเวณพื้นนี้แห่งนี้
ถูกนำมาใช้โดยพระเจ้าซาร์ แล้วต่อมาโดยผู้นำรัฐโซเวียต
ให้ใช้เป็นสถานที่ในการเนรเทศคนที่รัฐไม่ต้องการ

ดังนั้นอย่าคาดหวังเลยว่าจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี
น้ำที่ใช้ในการบริโภคหลัก ๆ มาจากแม่น้ำ  Yana
แม่น้ำจะกลายเป็นน้ำแข็งเป็นเวลาหลายเดือนในแต่ละปี
แสงแดดมีค่าเฉลี่ยประมาณห้าชั่วโมงต่อวัน
ในระหว่างช่วงเดือน กันยายน-มีนาคม ของแต่ละปี

มีอุตสาหกรรมพื้นบ้านภายในท้องถิ่นเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ
นอกเหนือจากการทำฟาร์มเลี้ยงกวางเรนเดีย
เมืองทั้งเมืองต้องอาศัยสนามบินและท่าเรือ
(ที่ใช้การได้ในบางช่วงวัน/เวลาที่เหมาะสมเท่านั้น)
สำหรับการรับเสบียงอาหาร ยารักษาโรค กับวัสดุอุปกรณ์
เพื่อการใช้ชีวิตให้อยู่รอดในเมืองนี้
มิฉะนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
กับการทำมาหากินภายใต้สถานที่และสภาวะอากาศแบบนี้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่