เปิดกล่องย้อนอดีค
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://pantip.com/topic/30381628บทนำ
http://pantip.com/topic/30445012บทที่๑ เมืองใต้ดินกับกลิ่นการเวก
http://pantip.com/topic/30456186บทที่๒ หลอกหลอน
http://pantip.com/topic/30600473บทที่๓ ภูตผีปีศาจ
http://pantip.com/topic/30913308บทที่๔ ลางสังหาร
http://pantip.com/topic/30930331บทที่ ๕ สาปสาง
http://pantip.com/topic/31011150บทที่ ๖ ศพสะอื้น
คู่มือการอ่าน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ 
โปรดใช้วิจารณาญาณในการอ่าน เพราะข้อความในเนื้อหาอาจมีเนื้อหาไม่เหมาะสม หรือกล่าวเกินจริง
เด็กอายุต่ำกว่า16ปีควรมีผู้ใหญ่อ่านให้ฟังและให้คำแนะนำ หรือกลับไปอ่านอีสปจะดีกว่า ขอบคุณค่ะ อิอิ
บทที่ ๗
ฆาตกรกรรมอำพราง

ศาลาสวดศพถูกปิดหน้าต่างและประตูทุกบานเพื่อกันสายฝนกระเซ็นเข้ามาด้านใน เสียงน้ำที่กระทบหลังคาดังอึกทึกอื้ออึงไปรอบบริเวณเหมือนกับว่ามีคนมาตีกลองระรัวไม่เป็นจังหวะ อีกทั้งเสียงฟ้าร้องที่ผ่าเฉียดยอดจั่วหลังคาไปมา ทำให้ศาลาวัดแห่งนี้ดูเหมือนกำลังร้องคำรามเสียงดังครืนด้วยความโกรธเคืองอะไรบางอย่าง
‘ ครืนนนน! ครืนนนน ! ’
สายฟ้าแลบแสงวาบเข้ามาสว่างควบคู่กับเสียงฟ้าร้อง ทำให้มองเห็นบรรยากาศภายในศาลาดูโหวงเหวงวังเวง เก้าอี้หลายตัวถูกเรียงเป็นแถวยาวเรียบร้อยแต่ไร้ซึ่งคนนั่ง เสาแต่ละต้นถูกบดบังจากเงามืดจนไม่สามารถเห็นอะไรก็ตามที่จะซ่อนเร้นอยู่ด้านหลัง คืนนี้จะมีเพียงแสงไฟสลัวจากตะเกียงหน้าศพและเทียนไขช่วยให้ความสว่างแก่สามผู้ค้างแรม เพราะเนื่องมาจากไฟฟ้าของวัดเกิดเหตุลัดวงจร จึงถูกตัดดับอัตโนมัติเพื่อความปลอดภัย พนักงานการไฟฟ้าจะมาจัดการซ่อมอีกทีก็คือตอนฝนซาหรือฟ้าสางเท่านั้น
“ ฝนตกหนักเป็นบ้าเป็นหลังแบบเนี้ย เห็นทีการไฟฟ้าจะมาพรุ่งนี้ซะแล้วมั้ง ” เสียงยายจรูญบ่น พลางใช้แสงเทียนมองเพ่งสำรวจไปรอบๆศาลา “ ไฟฉายก็แบตอ่อน สงสัยต้องเก็บไว้ส่องตอนเข้าห้องน้ำดีกว่าเนอะหนูแก้ว ” หญิงชราปิดไฟฉาย แล้วรีบเก็บไว้ในกระเป๋าเพื่อให้หยิบหาง่ายในตอนที่ต้องการใช้
“ ใช้ไฟจากมือถือหนูก็ได้ค่ะยาย ” หญิงสาวตอบกลับ ตายังคงจ้องไปที่มือตัวเองที่กำลังเทน้ำมันลงตะเกียงอย่างช้าๆเพราะกลัวว่าจะทำมันหกเลอะพรม
“ หวีดดดดดดดดดด….หวีดดดดดดดดด….”
ลมหวิวพัดดังหวีดลอดรูไม้แตกที่หน้าต่าง ส่งเสียงเข้ามาให้ได้ยินคล้ายกับเสียงคนร้องครางโหยหวญ หญิงสาวหยุดเทน้ำมันตะเกียงเพราะความตกใจ รีบมองตรงไปที่หน้าต่างเก่าบานเดิมมุมขวาสุดเหนืออาสนะสงฆ์ ที่กำลังขยับไปมาตามแรงกระแทกของพายุด้านนอก
“ ฟังแล้วขนลุก ยั่งกะเสียงผีเปรตแน่ะ! โฮ้ย!ยายทนไม่ไหวแล้ว เอาอะไรไปอุดสักหน่อยดีไหมหนูแก้ว ” หญิงชรารีบจัดการเอาผ้าขี้ริ้วเก่าๆไปปิดรูแตก พร้อมใช้เชือกคล้องดึงหน่วงหน้าต่างไว้กับกลอนอีกทีเพื่อความแน่น และเดินกลับมานั่งที่เดิมอย่างรวดเร็ว “ เมื่อหัวค่ำยังไม่เห็นฝนตั้งเค้าเลย พอตกดึกเข้าหน่อยก็เอาเชียว ที่ดูฤกษ์ไว้วันนี้ฟ้าเปิดนี่หน่า ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้นะ ”
“ ฝนตกก็ดีเหมือนกันนะคะ จะได้ไม่เงียบ ” หญิงสาวตอบกลับ มือยังค่อยๆบรรจงเทน้ำมันตะเกียงอย่างช้าๆ พยามตั้งสติให้นิ่งที่สุด ไม่ให้หวั่นไหวไปกับสภาพอากาศที่แปรปรวนด้านนอก
ถึงแม้ผู้ค้างแรมทั้งสองจะเป็นคนที่จิตแข็ง แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า ในใจนั้นเริ่มจะรู้สึกหวิวหวาดระแวงกับการเฝ้าศพในค่ำคืนนี้ มีแต่เพียงลุงโชคผู้เป็นสัปเหร่อที่ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวกับบรรยากาศแบบนี้เลยสักนิด นั่งหัวทิ่มหัวตำเมาเหล้าอยู่บริเวณม่านฉากกั้นหลังโลงศพ เมื่อเหล้าหมดขวดก็จะไปหลบนอนที่ประจำหลังม่านที่มีความกว้างแค่สองพื้นกระเบื้องต่อกัน มุมหลังม่านนั่นก็คือช่องส่งศพเข้าเตาเผา หรือที่วัดทั่วไปเรียกว่าเมรุเผาศพ
“ เห็นว่าปีหน้าท่านเจ้าอาวาสคนใหม่จะสร้างเมรุนอกศาลาแล้วนะ ” หญิงผู้ร่วมค้างแรมพูดกระซิบพร้อมยื่นหน้าเข้ามาใกล้เพราะไม่ต้องการให้เรื่องนินทาไปถึงหูสัปเหร่อ
แก้วไม่ได้สนใจในสิ่งที่หญิงชรากำลังพูดสักเท่าไหร่ เธอกำลังตั้งใจเทน้ำมันให้หมดขวด แต่ก็ตอบและพยักหน้ากลับไปบ้างเพื่อไม่ให้เสียมรรยาท เพราะยังไงคืนนี้คงต้องพึ่งพายายจรูญอีกหลายเรื่อง
“ วัดเนี้ยขี้งก! เอาพื้นที่แค่ไม่กี่ศอกหลังที่ตั้งศพมาเจาะผนังแล้วก่อปูนต่อเติมเป็นเตาเผา ไม่เรียกว่างกแล้วจะเรียกว่าอะไร ”
“ วัดในกรุงเทพก็อย่างงี้ล่ะค่ะ พื้นที่น้อย แล้วยิ่งเป็นวัดเก่าฝั่งธนด้วย การวางผังก็คงผิดไปบ้าง จะมาแก้ไขตอนนี้ก็คงยาก เพราะพื้นที่ที่เหลือก็ให้ชาวบ้านอาศัยอยู่หมดแล้ว ”
“ ถ้าได้ที่ดินของตระกูลใหญ่แถวๆนี้บริจาคมา วัดก็คงมีเมรุเผาศพไปนานแล้วล่ะ ” เสียงของชายสัปเหร่อแทรกการสทนาเข้ามา ยืนเอนไปเอียงมาพิงเสา กระดกเหล้าเข้าปากตลอดเวลาที่พูด
“ ข่างเหน็บช่างแนมเหมือนผู้หญิงจริงนะ เมาทีไรแล้วปากมอมทุกทีนะแกตาโชค ”
“ อยู่กันแค่สามคน ถ้าไม่ได้ยินก็คงหูฝาดแล้วล่ะยายจรูญ เอ๊ะ! หรือว่ามีมากกว่านั้นล่ะ ฮีฮีฮี ”
“ นี่ตาโชค! แกอย่ามาพูดหลอกให้หนูแก้วกลัวนะ ไปไป กลับเข้าไปนอนข้างเตาเผาศพโน้นไป๊ ” หญิงชราเอาผ้าห่มมาห่อตัวไว้แน่น เอาหลังมาประชิดติดกับแก้ว มองซ้ายมองขวาล่อกแล่ก
หญิงสาวที่เพิ่งเติมน้ำมันตะเกียงเสร็จก็หันมาคุยด้วย “ คุณยายกลัว...”
หญิงชรารีบชูนิ้วชี้ส่งสัญญาณห้ามพูด “ อย่าพูด! จุ๊ๆ กลางค่ำกลางคืนในวัดในวา ใครเค้าพูดเรื่องผีๆสางๆกันล่ะ เค้าห้ามพูดคำว่าผี เดี๋ยวผีจะได้ยิน อุ้ยตาย! ยายหลุดไปได้ไงเนี้ย ” ยายจรูญรีบเอามือตบปากตัวเองเบาๆสามที ทำท่ากำมือแล้วปาทิ้งไปในอากาศ “ ถอนคำพูด ถอนคำพูด ไม่ได้ยินกันนะ ”
“ หาววว ไปนอนดีกว่า กินเหล้าก่อนนอนนี่มันอุ่นจริงๆ หวังว่าตื่นมาแล้วคงไม่มีใครซนไปเปิดโรงทึมเล่นอีกนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน ฮึฮึฮึ ” ชายชราหัวเราะเสียงทุ้มในลำคออย่างมีเลศนัย แล้วรีบหลบเข้าไปหลังม่าน ล้มตัวลงนอนในสภาพที่เมาเต็มที่ ทิ้งไว้แค่คำเตือนปริศนาให้สองผู้ค้างแรมรู้สึกหลอนนอนไม่หลับ
“ ให้ตายสิ พูดยั่งกะว่าในโรงทึมมีศพอยู่อย่างงั้นแหละ พับผ่าเอ้ย! ” หญิงชราเอาหนังสือสวดมนต์ตบเข่าตัวเองด้วยความโมโหที่สัปเหร่อแกล้งพูดหลอกให้กลัว
“ แต่แก้วว่ามีนะคะ ”
“ มีอะไร...อย่าบอกนะว่ามี..”
“ ค่ะ อย่างที่คุณยายคิดนั่นแหละค่ะ แก้วเห็นมากับตาเมื่อหัวค่ำ ศพคนห่อผ้าไว้ค่ะ ”
หญิงชราหน้าถอดสี เริ่มพูดรัวเร็วจนฟังไม่รู้เรื่อง ใช้หนังสือสวดมนต์พัดโบกไปมาที่หน้า “ อ้าว! แล้วทำไมไม่บอกยายก่อนล่ะ ศพย่าหนูยังพอไหว เพราะยังไงคืนนี้วิญญาณเค้ายังไม่รู้ตัว ยังไงก็ไม่มาให้เห็นหรอก โอ้ยตาย! แล้วศพที่อยู่ในโรงทึมนั่นกี่วันแล้วเนี้ย ศาลานี้กับโรงทึมเชื่อมติดกันด้วย ตายตายตาย! ”
“ ใจเย็นๆก่อนค่ะคุณยาย เห็นลุงโชคบอกว่า ศพที่โรงทึมเพิ่งเข้ามาพร้อมๆกับย่าแก้วนั่นแหละค่ะ คุณยายกลัวเหรอคะ ไหนคุณยายบอกว่าอยากเจอ ”
หญิงชราสูดลมหายใจและค่อยๆพูดช้าลง “ เฮ้อ...คือ เอ่อ..อยากเจอก็อยากเจอ แต่เจอผีทีละตัวดีกว่าไหม แต่เอาเถอะ ยายไม่กลัวแหละ เพราะคืนแรก คนตายยังไม่รู้ตัวหรอก ”
“ ยังไม่รู้ตัวงั้นเหรอคะ แต่ทำไมแก้วได้ยินเสียงศพร้องไห้สะอื้นที่โรงทึมล่ะคะ ”
“ ร้องไห้ด้วยเหรอ คุณพระ! ถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่ตายคืนแรกแล้วมั้ง ”
“ แล้วใครบอกคุณยายคะว่าคนตายคืนแรกจะไม่มา ”
“ ก็เค้าว่ากันว่า ใครก็ไม่รู้ แต่มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วนะ ส่วนใหญ่วิญญาณจะกลับมาเก็บรอยเท้าตัวเองคืนวันที่สาม หรือไม่ก็คืนวันที่เจ็ด ”
“ แต่เสียงเงาที่แก้วเจอที่โรงทึม แก้วว่าคงไม่ใช่คนแน่นอนค่ะ ”
“ หรือไม่ก็...อาจจะไม่ใช่วิญญาณของคนในโลงก็ได้นิ ” ถึงแม้หญิงชราจะกลัว แต่ก็ยังเอาไฟส่องเข้าไปที่ประตูเหล็กพับที่โรงทีม เพื่อเช็กให้แน่ใจว่าถูกปิดสนิท
“ แล้วใครล่ะคะ ”
“ ยายก็ไม่รู้หรอก เค้าอาจจะมาขอส่วนบุญ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของหนูแก้วอย่างที่ยายคิดไว้ก็ได้ ”
“ แต่หนูเริ่มมีความรู้สึกมั่นใจว่าจะเป็นอย่างที่ยายคิดแล้วนะคะ ”
“ ทำไมล่ะ ”
“ ก็วิญญาณแปลกๆที่เข้ามาวนเวียนรอบตัวหนูน่ะสิคะ มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนในตระกูลด้วย ”
“ น่าสนใจน่าสนใจ เคสนี้น่าสนใจ เอาล่ะ นี่ก็เลยเที่ยงคืนแหละ เวลากำลังเหมาะเลย หนูแก้วพร้อมหรือยังล่ะที่จะสะกดจิตแสกนกรรมกับยาย ”
“ แก้วพร้อมแล้วค่ะ เราเริ่มกันเลยไหมคะ ”

เหย้าบาหยัน>>บทที่ ๗ >> ฆาตกรกรรมอำพราง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คู่มือการอ่าน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทที่ ๗
ฆาตกรกรรมอำพราง
ศาลาสวดศพถูกปิดหน้าต่างและประตูทุกบานเพื่อกันสายฝนกระเซ็นเข้ามาด้านใน เสียงน้ำที่กระทบหลังคาดังอึกทึกอื้ออึงไปรอบบริเวณเหมือนกับว่ามีคนมาตีกลองระรัวไม่เป็นจังหวะ อีกทั้งเสียงฟ้าร้องที่ผ่าเฉียดยอดจั่วหลังคาไปมา ทำให้ศาลาวัดแห่งนี้ดูเหมือนกำลังร้องคำรามเสียงดังครืนด้วยความโกรธเคืองอะไรบางอย่าง
‘ ครืนนนน! ครืนนนน ! ’
สายฟ้าแลบแสงวาบเข้ามาสว่างควบคู่กับเสียงฟ้าร้อง ทำให้มองเห็นบรรยากาศภายในศาลาดูโหวงเหวงวังเวง เก้าอี้หลายตัวถูกเรียงเป็นแถวยาวเรียบร้อยแต่ไร้ซึ่งคนนั่ง เสาแต่ละต้นถูกบดบังจากเงามืดจนไม่สามารถเห็นอะไรก็ตามที่จะซ่อนเร้นอยู่ด้านหลัง คืนนี้จะมีเพียงแสงไฟสลัวจากตะเกียงหน้าศพและเทียนไขช่วยให้ความสว่างแก่สามผู้ค้างแรม เพราะเนื่องมาจากไฟฟ้าของวัดเกิดเหตุลัดวงจร จึงถูกตัดดับอัตโนมัติเพื่อความปลอดภัย พนักงานการไฟฟ้าจะมาจัดการซ่อมอีกทีก็คือตอนฝนซาหรือฟ้าสางเท่านั้น
“ ฝนตกหนักเป็นบ้าเป็นหลังแบบเนี้ย เห็นทีการไฟฟ้าจะมาพรุ่งนี้ซะแล้วมั้ง ” เสียงยายจรูญบ่น พลางใช้แสงเทียนมองเพ่งสำรวจไปรอบๆศาลา “ ไฟฉายก็แบตอ่อน สงสัยต้องเก็บไว้ส่องตอนเข้าห้องน้ำดีกว่าเนอะหนูแก้ว ” หญิงชราปิดไฟฉาย แล้วรีบเก็บไว้ในกระเป๋าเพื่อให้หยิบหาง่ายในตอนที่ต้องการใช้
“ ใช้ไฟจากมือถือหนูก็ได้ค่ะยาย ” หญิงสาวตอบกลับ ตายังคงจ้องไปที่มือตัวเองที่กำลังเทน้ำมันลงตะเกียงอย่างช้าๆเพราะกลัวว่าจะทำมันหกเลอะพรม
“ หวีดดดดดดดดดด….หวีดดดดดดดดด….”
ลมหวิวพัดดังหวีดลอดรูไม้แตกที่หน้าต่าง ส่งเสียงเข้ามาให้ได้ยินคล้ายกับเสียงคนร้องครางโหยหวญ หญิงสาวหยุดเทน้ำมันตะเกียงเพราะความตกใจ รีบมองตรงไปที่หน้าต่างเก่าบานเดิมมุมขวาสุดเหนืออาสนะสงฆ์ ที่กำลังขยับไปมาตามแรงกระแทกของพายุด้านนอก
“ ฟังแล้วขนลุก ยั่งกะเสียงผีเปรตแน่ะ! โฮ้ย!ยายทนไม่ไหวแล้ว เอาอะไรไปอุดสักหน่อยดีไหมหนูแก้ว ” หญิงชรารีบจัดการเอาผ้าขี้ริ้วเก่าๆไปปิดรูแตก พร้อมใช้เชือกคล้องดึงหน่วงหน้าต่างไว้กับกลอนอีกทีเพื่อความแน่น และเดินกลับมานั่งที่เดิมอย่างรวดเร็ว “ เมื่อหัวค่ำยังไม่เห็นฝนตั้งเค้าเลย พอตกดึกเข้าหน่อยก็เอาเชียว ที่ดูฤกษ์ไว้วันนี้ฟ้าเปิดนี่หน่า ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้นะ ”
“ ฝนตกก็ดีเหมือนกันนะคะ จะได้ไม่เงียบ ” หญิงสาวตอบกลับ มือยังค่อยๆบรรจงเทน้ำมันตะเกียงอย่างช้าๆ พยามตั้งสติให้นิ่งที่สุด ไม่ให้หวั่นไหวไปกับสภาพอากาศที่แปรปรวนด้านนอก
ถึงแม้ผู้ค้างแรมทั้งสองจะเป็นคนที่จิตแข็ง แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า ในใจนั้นเริ่มจะรู้สึกหวิวหวาดระแวงกับการเฝ้าศพในค่ำคืนนี้ มีแต่เพียงลุงโชคผู้เป็นสัปเหร่อที่ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวกับบรรยากาศแบบนี้เลยสักนิด นั่งหัวทิ่มหัวตำเมาเหล้าอยู่บริเวณม่านฉากกั้นหลังโลงศพ เมื่อเหล้าหมดขวดก็จะไปหลบนอนที่ประจำหลังม่านที่มีความกว้างแค่สองพื้นกระเบื้องต่อกัน มุมหลังม่านนั่นก็คือช่องส่งศพเข้าเตาเผา หรือที่วัดทั่วไปเรียกว่าเมรุเผาศพ
“ เห็นว่าปีหน้าท่านเจ้าอาวาสคนใหม่จะสร้างเมรุนอกศาลาแล้วนะ ” หญิงผู้ร่วมค้างแรมพูดกระซิบพร้อมยื่นหน้าเข้ามาใกล้เพราะไม่ต้องการให้เรื่องนินทาไปถึงหูสัปเหร่อ
แก้วไม่ได้สนใจในสิ่งที่หญิงชรากำลังพูดสักเท่าไหร่ เธอกำลังตั้งใจเทน้ำมันให้หมดขวด แต่ก็ตอบและพยักหน้ากลับไปบ้างเพื่อไม่ให้เสียมรรยาท เพราะยังไงคืนนี้คงต้องพึ่งพายายจรูญอีกหลายเรื่อง
“ วัดเนี้ยขี้งก! เอาพื้นที่แค่ไม่กี่ศอกหลังที่ตั้งศพมาเจาะผนังแล้วก่อปูนต่อเติมเป็นเตาเผา ไม่เรียกว่างกแล้วจะเรียกว่าอะไร ”
“ วัดในกรุงเทพก็อย่างงี้ล่ะค่ะ พื้นที่น้อย แล้วยิ่งเป็นวัดเก่าฝั่งธนด้วย การวางผังก็คงผิดไปบ้าง จะมาแก้ไขตอนนี้ก็คงยาก เพราะพื้นที่ที่เหลือก็ให้ชาวบ้านอาศัยอยู่หมดแล้ว ”
“ ถ้าได้ที่ดินของตระกูลใหญ่แถวๆนี้บริจาคมา วัดก็คงมีเมรุเผาศพไปนานแล้วล่ะ ” เสียงของชายสัปเหร่อแทรกการสทนาเข้ามา ยืนเอนไปเอียงมาพิงเสา กระดกเหล้าเข้าปากตลอดเวลาที่พูด
“ ข่างเหน็บช่างแนมเหมือนผู้หญิงจริงนะ เมาทีไรแล้วปากมอมทุกทีนะแกตาโชค ”
“ อยู่กันแค่สามคน ถ้าไม่ได้ยินก็คงหูฝาดแล้วล่ะยายจรูญ เอ๊ะ! หรือว่ามีมากกว่านั้นล่ะ ฮีฮีฮี ”
“ นี่ตาโชค! แกอย่ามาพูดหลอกให้หนูแก้วกลัวนะ ไปไป กลับเข้าไปนอนข้างเตาเผาศพโน้นไป๊ ” หญิงชราเอาผ้าห่มมาห่อตัวไว้แน่น เอาหลังมาประชิดติดกับแก้ว มองซ้ายมองขวาล่อกแล่ก
หญิงสาวที่เพิ่งเติมน้ำมันตะเกียงเสร็จก็หันมาคุยด้วย “ คุณยายกลัว...”
หญิงชรารีบชูนิ้วชี้ส่งสัญญาณห้ามพูด “ อย่าพูด! จุ๊ๆ กลางค่ำกลางคืนในวัดในวา ใครเค้าพูดเรื่องผีๆสางๆกันล่ะ เค้าห้ามพูดคำว่าผี เดี๋ยวผีจะได้ยิน อุ้ยตาย! ยายหลุดไปได้ไงเนี้ย ” ยายจรูญรีบเอามือตบปากตัวเองเบาๆสามที ทำท่ากำมือแล้วปาทิ้งไปในอากาศ “ ถอนคำพูด ถอนคำพูด ไม่ได้ยินกันนะ ”
“ หาววว ไปนอนดีกว่า กินเหล้าก่อนนอนนี่มันอุ่นจริงๆ หวังว่าตื่นมาแล้วคงไม่มีใครซนไปเปิดโรงทึมเล่นอีกนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน ฮึฮึฮึ ” ชายชราหัวเราะเสียงทุ้มในลำคออย่างมีเลศนัย แล้วรีบหลบเข้าไปหลังม่าน ล้มตัวลงนอนในสภาพที่เมาเต็มที่ ทิ้งไว้แค่คำเตือนปริศนาให้สองผู้ค้างแรมรู้สึกหลอนนอนไม่หลับ
“ ให้ตายสิ พูดยั่งกะว่าในโรงทึมมีศพอยู่อย่างงั้นแหละ พับผ่าเอ้ย! ” หญิงชราเอาหนังสือสวดมนต์ตบเข่าตัวเองด้วยความโมโหที่สัปเหร่อแกล้งพูดหลอกให้กลัว
“ แต่แก้วว่ามีนะคะ ”
“ มีอะไร...อย่าบอกนะว่ามี..”
“ ค่ะ อย่างที่คุณยายคิดนั่นแหละค่ะ แก้วเห็นมากับตาเมื่อหัวค่ำ ศพคนห่อผ้าไว้ค่ะ ”
หญิงชราหน้าถอดสี เริ่มพูดรัวเร็วจนฟังไม่รู้เรื่อง ใช้หนังสือสวดมนต์พัดโบกไปมาที่หน้า “ อ้าว! แล้วทำไมไม่บอกยายก่อนล่ะ ศพย่าหนูยังพอไหว เพราะยังไงคืนนี้วิญญาณเค้ายังไม่รู้ตัว ยังไงก็ไม่มาให้เห็นหรอก โอ้ยตาย! แล้วศพที่อยู่ในโรงทึมนั่นกี่วันแล้วเนี้ย ศาลานี้กับโรงทึมเชื่อมติดกันด้วย ตายตายตาย! ”
“ ใจเย็นๆก่อนค่ะคุณยาย เห็นลุงโชคบอกว่า ศพที่โรงทึมเพิ่งเข้ามาพร้อมๆกับย่าแก้วนั่นแหละค่ะ คุณยายกลัวเหรอคะ ไหนคุณยายบอกว่าอยากเจอ ”
หญิงชราสูดลมหายใจและค่อยๆพูดช้าลง “ เฮ้อ...คือ เอ่อ..อยากเจอก็อยากเจอ แต่เจอผีทีละตัวดีกว่าไหม แต่เอาเถอะ ยายไม่กลัวแหละ เพราะคืนแรก คนตายยังไม่รู้ตัวหรอก ”
“ ยังไม่รู้ตัวงั้นเหรอคะ แต่ทำไมแก้วได้ยินเสียงศพร้องไห้สะอื้นที่โรงทึมล่ะคะ ”
“ ร้องไห้ด้วยเหรอ คุณพระ! ถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่ตายคืนแรกแล้วมั้ง ”
“ แล้วใครบอกคุณยายคะว่าคนตายคืนแรกจะไม่มา ”
“ ก็เค้าว่ากันว่า ใครก็ไม่รู้ แต่มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วนะ ส่วนใหญ่วิญญาณจะกลับมาเก็บรอยเท้าตัวเองคืนวันที่สาม หรือไม่ก็คืนวันที่เจ็ด ”
“ แต่เสียงเงาที่แก้วเจอที่โรงทึม แก้วว่าคงไม่ใช่คนแน่นอนค่ะ ”
“ หรือไม่ก็...อาจจะไม่ใช่วิญญาณของคนในโลงก็ได้นิ ” ถึงแม้หญิงชราจะกลัว แต่ก็ยังเอาไฟส่องเข้าไปที่ประตูเหล็กพับที่โรงทีม เพื่อเช็กให้แน่ใจว่าถูกปิดสนิท
“ แล้วใครล่ะคะ ”
“ ยายก็ไม่รู้หรอก เค้าอาจจะมาขอส่วนบุญ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของหนูแก้วอย่างที่ยายคิดไว้ก็ได้ ”
“ แต่หนูเริ่มมีความรู้สึกมั่นใจว่าจะเป็นอย่างที่ยายคิดแล้วนะคะ ”
“ ทำไมล่ะ ”
“ ก็วิญญาณแปลกๆที่เข้ามาวนเวียนรอบตัวหนูน่ะสิคะ มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนในตระกูลด้วย ”
“ น่าสนใจน่าสนใจ เคสนี้น่าสนใจ เอาล่ะ นี่ก็เลยเที่ยงคืนแหละ เวลากำลังเหมาะเลย หนูแก้วพร้อมหรือยังล่ะที่จะสะกดจิตแสกนกรรมกับยาย ”
“ แก้วพร้อมแล้วค่ะ เราเริ่มกันเลยไหมคะ ”