เหย้าบาหยัน>>บทที่ ๗ >> ฆาตกรกรรมอำพราง

กระทู้สนทนา
เปิดกล่องย้อนอดีค
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

คู่มือการอ่าน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

บทที่ ๗
ฆาตกรกรรมอำพราง




             ศาลาสวดศพถูกปิดหน้าต่างและประตูทุกบานเพื่อกันสายฝนกระเซ็นเข้ามาด้านใน   เสียงน้ำที่กระทบหลังคาดังอึกทึกอื้ออึงไปรอบบริเวณเหมือนกับว่ามีคนมาตีกลองระรัวไม่เป็นจังหวะ อีกทั้งเสียงฟ้าร้องที่ผ่าเฉียดยอดจั่วหลังคาไปมา ทำให้ศาลาวัดแห่งนี้ดูเหมือนกำลังร้องคำรามเสียงดังครืนด้วยความโกรธเคืองอะไรบางอย่าง

              ‘ ครืนนนน! ครืนนนน ! ’

              สายฟ้าแลบแสงวาบเข้ามาสว่างควบคู่กับเสียงฟ้าร้อง ทำให้มองเห็นบรรยากาศภายในศาลาดูโหวงเหวงวังเวง เก้าอี้หลายตัวถูกเรียงเป็นแถวยาวเรียบร้อยแต่ไร้ซึ่งคนนั่ง เสาแต่ละต้นถูกบดบังจากเงามืดจนไม่สามารถเห็นอะไรก็ตามที่จะซ่อนเร้นอยู่ด้านหลัง   คืนนี้จะมีเพียงแสงไฟสลัวจากตะเกียงหน้าศพและเทียนไขช่วยให้ความสว่างแก่สามผู้ค้างแรม  เพราะเนื่องมาจากไฟฟ้าของวัดเกิดเหตุลัดวงจร จึงถูกตัดดับอัตโนมัติเพื่อความปลอดภัย พนักงานการไฟฟ้าจะมาจัดการซ่อมอีกทีก็คือตอนฝนซาหรือฟ้าสางเท่านั้น

              “ ฝนตกหนักเป็นบ้าเป็นหลังแบบเนี้ย เห็นทีการไฟฟ้าจะมาพรุ่งนี้ซะแล้วมั้ง ” เสียงยายจรูญบ่น พลางใช้แสงเทียนมองเพ่งสำรวจไปรอบๆศาลา   “ ไฟฉายก็แบตอ่อน สงสัยต้องเก็บไว้ส่องตอนเข้าห้องน้ำดีกว่าเนอะหนูแก้ว ”  หญิงชราปิดไฟฉาย แล้วรีบเก็บไว้ในกระเป๋าเพื่อให้หยิบหาง่ายในตอนที่ต้องการใช้

             “ ใช้ไฟจากมือถือหนูก็ได้ค่ะยาย ”  หญิงสาวตอบกลับ ตายังคงจ้องไปที่มือตัวเองที่กำลังเทน้ำมันลงตะเกียงอย่างช้าๆเพราะกลัวว่าจะทำมันหกเลอะพรม

              “ หวีดดดดดดดดดด….หวีดดดดดดดดด….”

             ลมหวิวพัดดังหวีดลอดรูไม้แตกที่หน้าต่าง ส่งเสียงเข้ามาให้ได้ยินคล้ายกับเสียงคนร้องครางโหยหวญ หญิงสาวหยุดเทน้ำมันตะเกียงเพราะความตกใจ  รีบมองตรงไปที่หน้าต่างเก่าบานเดิมมุมขวาสุดเหนืออาสนะสงฆ์ ที่กำลังขยับไปมาตามแรงกระแทกของพายุด้านนอก

              “ ฟังแล้วขนลุก ยั่งกะเสียงผีเปรตแน่ะ! โฮ้ย!ยายทนไม่ไหวแล้ว เอาอะไรไปอุดสักหน่อยดีไหมหนูแก้ว ”   หญิงชรารีบจัดการเอาผ้าขี้ริ้วเก่าๆไปปิดรูแตก พร้อมใช้เชือกคล้องดึงหน่วงหน้าต่างไว้กับกลอนอีกทีเพื่อความแน่น และเดินกลับมานั่งที่เดิมอย่างรวดเร็ว   “ เมื่อหัวค่ำยังไม่เห็นฝนตั้งเค้าเลย พอตกดึกเข้าหน่อยก็เอาเชียว ที่ดูฤกษ์ไว้วันนี้ฟ้าเปิดนี่หน่า ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้นะ ”  

              “ ฝนตกก็ดีเหมือนกันนะคะ จะได้ไม่เงียบ ” หญิงสาวตอบกลับ มือยังค่อยๆบรรจงเทน้ำมันตะเกียงอย่างช้าๆ พยามตั้งสติให้นิ่งที่สุด ไม่ให้หวั่นไหวไปกับสภาพอากาศที่แปรปรวนด้านนอก

              ถึงแม้ผู้ค้างแรมทั้งสองจะเป็นคนที่จิตแข็ง แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า ในใจนั้นเริ่มจะรู้สึกหวิวหวาดระแวงกับการเฝ้าศพในค่ำคืนนี้   มีแต่เพียงลุงโชคผู้เป็นสัปเหร่อที่ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวกับบรรยากาศแบบนี้เลยสักนิด  นั่งหัวทิ่มหัวตำเมาเหล้าอยู่บริเวณม่านฉากกั้นหลังโลงศพ  เมื่อเหล้าหมดขวดก็จะไปหลบนอนที่ประจำหลังม่านที่มีความกว้างแค่สองพื้นกระเบื้องต่อกัน   มุมหลังม่านนั่นก็คือช่องส่งศพเข้าเตาเผา หรือที่วัดทั่วไปเรียกว่าเมรุเผาศพ

             “ เห็นว่าปีหน้าท่านเจ้าอาวาสคนใหม่จะสร้างเมรุนอกศาลาแล้วนะ ”  หญิงผู้ร่วมค้างแรมพูดกระซิบพร้อมยื่นหน้าเข้ามาใกล้เพราะไม่ต้องการให้เรื่องนินทาไปถึงหูสัปเหร่อ  

             แก้วไม่ได้สนใจในสิ่งที่หญิงชรากำลังพูดสักเท่าไหร่ เธอกำลังตั้งใจเทน้ำมันให้หมดขวด  แต่ก็ตอบและพยักหน้ากลับไปบ้างเพื่อไม่ให้เสียมรรยาท เพราะยังไงคืนนี้คงต้องพึ่งพายายจรูญอีกหลายเรื่อง

              “ วัดเนี้ยขี้งก!  เอาพื้นที่แค่ไม่กี่ศอกหลังที่ตั้งศพมาเจาะผนังแล้วก่อปูนต่อเติมเป็นเตาเผา ไม่เรียกว่างกแล้วจะเรียกว่าอะไร  ”

              “ วัดในกรุงเทพก็อย่างงี้ล่ะค่ะ พื้นที่น้อย แล้วยิ่งเป็นวัดเก่าฝั่งธนด้วย การวางผังก็คงผิดไปบ้าง จะมาแก้ไขตอนนี้ก็คงยาก เพราะพื้นที่ที่เหลือก็ให้ชาวบ้านอาศัยอยู่หมดแล้ว  ”

              “ ถ้าได้ที่ดินของตระกูลใหญ่แถวๆนี้บริจาคมา วัดก็คงมีเมรุเผาศพไปนานแล้วล่ะ  ” เสียงของชายสัปเหร่อแทรกการสทนาเข้ามา ยืนเอนไปเอียงมาพิงเสา กระดกเหล้าเข้าปากตลอดเวลาที่พูด

              “ ข่างเหน็บช่างแนมเหมือนผู้หญิงจริงนะ เมาทีไรแล้วปากมอมทุกทีนะแกตาโชค ”

              “ อยู่กันแค่สามคน ถ้าไม่ได้ยินก็คงหูฝาดแล้วล่ะยายจรูญ เอ๊ะ! หรือว่ามีมากกว่านั้นล่ะ ฮีฮีฮี ”

             “ นี่ตาโชค! แกอย่ามาพูดหลอกให้หนูแก้วกลัวนะ ไปไป กลับเข้าไปนอนข้างเตาเผาศพโน้นไป๊ ” หญิงชราเอาผ้าห่มมาห่อตัวไว้แน่น เอาหลังมาประชิดติดกับแก้ว มองซ้ายมองขวาล่อกแล่ก

             หญิงสาวที่เพิ่งเติมน้ำมันตะเกียงเสร็จก็หันมาคุยด้วย “ คุณยายกลัว...”

             หญิงชรารีบชูนิ้วชี้ส่งสัญญาณห้ามพูด “ อย่าพูด! จุ๊ๆ  กลางค่ำกลางคืนในวัดในวา ใครเค้าพูดเรื่องผีๆสางๆกันล่ะ เค้าห้ามพูดคำว่าผี เดี๋ยวผีจะได้ยิน อุ้ยตาย!  ยายหลุดไปได้ไงเนี้ย ”  ยายจรูญรีบเอามือตบปากตัวเองเบาๆสามที ทำท่ากำมือแล้วปาทิ้งไปในอากาศ “ ถอนคำพูด ถอนคำพูด ไม่ได้ยินกันนะ ”

             “ หาววว ไปนอนดีกว่า กินเหล้าก่อนนอนนี่มันอุ่นจริงๆ หวังว่าตื่นมาแล้วคงไม่มีใครซนไปเปิดโรงทึมเล่นอีกนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน ฮึฮึฮึ ”  ชายชราหัวเราะเสียงทุ้มในลำคออย่างมีเลศนัย แล้วรีบหลบเข้าไปหลังม่าน ล้มตัวลงนอนในสภาพที่เมาเต็มที่  ทิ้งไว้แค่คำเตือนปริศนาให้สองผู้ค้างแรมรู้สึกหลอนนอนไม่หลับ

             “ ให้ตายสิ พูดยั่งกะว่าในโรงทึมมีศพอยู่อย่างงั้นแหละ พับผ่าเอ้ย!  ” หญิงชราเอาหนังสือสวดมนต์ตบเข่าตัวเองด้วยความโมโหที่สัปเหร่อแกล้งพูดหลอกให้กลัว

             “ แต่แก้วว่ามีนะคะ ”

             “ มีอะไร...อย่าบอกนะว่ามี..”

             “ ค่ะ อย่างที่คุณยายคิดนั่นแหละค่ะ แก้วเห็นมากับตาเมื่อหัวค่ำ ศพคนห่อผ้าไว้ค่ะ  ”

             หญิงชราหน้าถอดสี เริ่มพูดรัวเร็วจนฟังไม่รู้เรื่อง ใช้หนังสือสวดมนต์พัดโบกไปมาที่หน้า “ อ้าว! แล้วทำไมไม่บอกยายก่อนล่ะ ศพย่าหนูยังพอไหว เพราะยังไงคืนนี้วิญญาณเค้ายังไม่รู้ตัว ยังไงก็ไม่มาให้เห็นหรอก โอ้ยตาย! แล้วศพที่อยู่ในโรงทึมนั่นกี่วันแล้วเนี้ย ศาลานี้กับโรงทึมเชื่อมติดกันด้วย ตายตายตาย! ”

              “ ใจเย็นๆก่อนค่ะคุณยาย  เห็นลุงโชคบอกว่า ศพที่โรงทึมเพิ่งเข้ามาพร้อมๆกับย่าแก้วนั่นแหละค่ะ คุณยายกลัวเหรอคะ ไหนคุณยายบอกว่าอยากเจอ ”

             หญิงชราสูดลมหายใจและค่อยๆพูดช้าลง “ เฮ้อ...คือ เอ่อ..อยากเจอก็อยากเจอ แต่เจอผีทีละตัวดีกว่าไหม  แต่เอาเถอะ ยายไม่กลัวแหละ เพราะคืนแรก คนตายยังไม่รู้ตัวหรอก ”

             “ ยังไม่รู้ตัวงั้นเหรอคะ แต่ทำไมแก้วได้ยินเสียงศพร้องไห้สะอื้นที่โรงทึมล่ะคะ ”

             “ ร้องไห้ด้วยเหรอ คุณพระ! ถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่ตายคืนแรกแล้วมั้ง ”

             “ แล้วใครบอกคุณยายคะว่าคนตายคืนแรกจะไม่มา ”

             “ ก็เค้าว่ากันว่า ใครก็ไม่รู้ แต่มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วนะ ส่วนใหญ่วิญญาณจะกลับมาเก็บรอยเท้าตัวเองคืนวันที่สาม หรือไม่ก็คืนวันที่เจ็ด ”

             “ แต่เสียงเงาที่แก้วเจอที่โรงทึม แก้วว่าคงไม่ใช่คนแน่นอนค่ะ ”

             “ หรือไม่ก็...อาจจะไม่ใช่วิญญาณของคนในโลงก็ได้นิ  ”  ถึงแม้หญิงชราจะกลัว แต่ก็ยังเอาไฟส่องเข้าไปที่ประตูเหล็กพับที่โรงทีม เพื่อเช็กให้แน่ใจว่าถูกปิดสนิท

             “ แล้วใครล่ะคะ ”

             “ ยายก็ไม่รู้หรอก เค้าอาจจะมาขอส่วนบุญ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของหนูแก้วอย่างที่ยายคิดไว้ก็ได้  ”

             “ แต่หนูเริ่มมีความรู้สึกมั่นใจว่าจะเป็นอย่างที่ยายคิดแล้วนะคะ  ”

             “ ทำไมล่ะ ”

             “ ก็วิญญาณแปลกๆที่เข้ามาวนเวียนรอบตัวหนูน่ะสิคะ มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนในตระกูลด้วย ”

             “ น่าสนใจน่าสนใจ เคสนี้น่าสนใจ  เอาล่ะ นี่ก็เลยเที่ยงคืนแหละ เวลากำลังเหมาะเลย หนูแก้วพร้อมหรือยังล่ะที่จะสะกดจิตแสกนกรรมกับยาย ”

             “ แก้วพร้อมแล้วค่ะ เราเริ่มกันเลยไหมคะ ”

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่