ไปเจอกระทู้นี้มา เลยอยากแบ่งปันค่ะ................
สวัสดีค่ะ ชื่อ "กวาง" จบปริญญาตรีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และตอนนี้เพิ่งจะ
เรียนจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยยอนเซ สาขา International Trade, Finance
and Management ค่ะ
ครั้งแรกที่รู้สึกว่าภาษาเกาหลีน่าสนใจคือ ช่วงปิดเทอมหน้าร้อนตอนปี 1 เคยได้ไปเรียนซัมเมอร์ คอร์สสั้นๆ ที่ต่างประเทศค่ะ เพราะว่าที่นั่นมีคนเกาหลีไปเรียนเยอะมากค่ะ หลังจากนั้นก็เป็นเพื่อน
กัน ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด และเพราะในกลุ่มมีคนในไทยแค่ไม่กี่คน เพื่อนๆ ที่เป็นคนเกาหลีที่ เหลือเขาก็จะสอนภาษาเกาหลีให้เรา อาจจะอยากให้เราเข้าใจเขามากขึ้นหรือนึกสนุกก็ไม่รู้นะคะ
แต่เพื่อนๆ ที่นั่นใจดีมาก เขาเขียนคำศัพท์ ประโยคง่ายๆ อะไรแบบนี้ให้เราเป็นเล่มเลยนะ บางทีเป็น พวกคำด่าด้วยก็มีค่ะ (หัวเราะ)
ตอนนั้นก็เลยเริ่มรู้สึกสนุกที่จะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ พอหลังจากนั้น กลับมาไทย ก็เลยมีความคิดที่ อยากจะเรียนภาษาที่สาม ซึ่งมันก็แน่นอนว่าภาษาเกาหลีนั้นถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เราค่อนข้าง โอเค ทีนี้เราเลยมาปรึกษากับเพื่อน ก็คุยๆ กันว่าเออ ภาษาเกาหลีก็น่าเรียนนะ เพราะช่วง นั้นกระเเสพวก K-wave ก็ยังไม่บูมด้วย ยังไม่ค่อยมีคนที่พูดเป็นเท่าไร ซึ่งเราก็คิดว่า ถ้า เราพูดได้เนี่ย ก็คงจะได้เปรียบ เลยเริ่มเรียนตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาค่ะ
ตอนแรกก็ไม่คิดจะจริงจังกับมันขนาดนี้นะคะ แบบแค่อยากเรียนเล่นๆ เฉยๆ แต่พอได้เรียนแล้ว รู้สึก ว่าสนุก อยากเรียนต่ออีก อยากจะพูดได้ ฟังได้ พอปิดเทอมจะขึ้นปีสาม เลยไปลงคอร์สภาษา เกาหลีที่ประเทศเกาหลีสามเดือน หลังจากนั้น ก็ลงเรียนวิชาเลือกของคณะอักษรที่ มหาวิทยาลัยเป็นภาษาเกาหลีทุกตัวเลย คณะตัวเองก็ไม่ใช่ด้วย (หัวเราะ) แล้วก็ตั้งใจว่าถ้าเรียน
จบ จะไปเรียนภาษาเกาหลีต่อให้จบจนถึงระดับสูงสุด (ระดับ 6) ให้ได้ค่ะ
ถ้าถามว่าภาษาเกาหลียากมั้ย? จริงๆ แล้วไม่ว่าเราจะเรียนภาษาอะไรก็ตาม ยิ่งเรียนๆ ไป ความ ยาก มันก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ ซึ่งเป็นเรื่องปกติตามธรรมชาติของภาษาทุกภาษาอยู่แล้ว ช่วง แรกๆ ที่เริ่มเรียนก็รู้สึกว่าไม่ยากเท่าไหร่นะคะ อาจจะมีสับสนตรงไวยากรณ์บ้างนิดหน่อย
เพราะว่าโครงสร้างของภาษาเกาหลีแตกต่างจากภาษาไทยค่อนข้างมาก แต่พอยิ่งเรียนในระดับ สูงขึ้น เรียนรู้ลึกมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกเลยว่า ภาษาเกาหลีนี่มันยากกว่าที่คิดเอาไว้ เยอะเลย ต้องจำคำศัพท์ เยอะ ส่วนไวยากรณ์ก็มีตัวที่คล้ายๆ กันเยอะมาก บางทีก็ไม่รู้ว่ามัน ต่างกันอย่างไร ต้องคอยสังเกต และถามอาจารย์เอาน่ะค่ะ
สำหรับงานล่ามงานแรกในชีวิตที่ได้ทำก็คืองาน "JUMP UP Exclusive Moment with FTISLAND" ปี 2009 พอดีว่าตอนนั้นมีเพื่อนมาถามว่าอยากทำงานล่ามไหม เขาเลยนัดให้เราไป ลองสัมภาษณ์งานนี้ดู ตอนที่เรารู้ว่าผ่าน เราเองก็ยังสองจิตสองใจว่าจะทำดีไหมหรือว่าจะถอนตัวดี เป็นอะไรที่เครียดมากเลยนะคะ เพราะตอนนั้นรู้สึกกลัวจริงๆ แถมตื่นเต้นด้วย กลัวไปทำงานบริษัท เขาเสียหายหลายล้าน (หัวเราะ) เพราะว่าเราไม่เคยทำงานตรงนี้มาก่อนเลย แต่ว่าพอได้มาทำ จริงๆ ทุกอย่างก็โอเคค่ะ ผลออกมาดีกว่าที่คิดเอาไว้มาก งานทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี ทีม งานและศิลปินทุกคนน่ารักและเป็นกันเองมากค่ะ
การทำงานล่ามในแต่ละครั้งนั้น ก่อนอื่นก็ต้องขอบอกว่า เราก็ต้องทำการบ้านไปก่อนเลย ค่ะ การบ้านที่ว่า ได้แก่ ศิลปินที่เราจะต้องไปทำงานด้วยคือใคร ถ้าเป็นวง (บอยเเบนด์ หรือเกิร์ลกรุ๊ป) เขามีสมาชิกกันกี่คน เคยมีผลงานที่ผ่านมาคืออะไรบ้าง เราต้องดูและ ศึกษาไปก่อนแบบคร่าวๆ เพราะเราจะได้พอรู้ว่าใคร คนไหนชื่ออะไรบ้าง นอกจากจะได้ไม่ เรียกชื่อผิดคน (ซึ่งจะทำให้หน้า เเตก) แล้ว ยังจะได้ไม่เป็นการเสียมารยาทกับศิลปินด้วย ค่ะ
และช่วงตอนก่อนจะทำการสัมภาษณ์เพื่ออัดหรือออกรายการต่างๆ เราก็จะต้องมีการบรีฟคำถาม ทั้งหมดทุกข้อกับผู้จัดการของศิลปินก่อน คือต้องให้เค้าดูว่าคำถามที่จะถามทั้งหมดเนี่ย มันโอเค
หรือเปล่า ซึ่งตรงนี้... ถ้าเขาไม่โอเค เขาก็จะตัดคำถามเหล่านั้นทิ้งไปเลย หลังจากนั้นผู้จัดการก็จะ เป็นคนไปบอกกับศิลปินของเขาเองว่าในรายการนี้จะถามอะไรบ้าง หรือไม่ก็บางครั้งเราก็ต้องเป็น คนไปบอกกล่าวกับศิลปินเองค่ะ แต่จริงๆ ก็แค่เป็นการบอกคร่าวๆ เท่านั้นว่าจะถามอะไรบ้างเพื่อให้ ศิลปินเขารับรู้เอาไว้ก่อน ว่าเราจะถามเขาประมาณนี้นะ แค่นั้นเองค่ะ
ว่ากันตามตรงแล้วนะคะ เราประทับใจกับทุกๆ งานที่ได้ทำเลยค่ะ เพราะทุกงานต่างก็ทำให้เราได้เจอ กับประสบการณ์ใหม่ๆ เสมอ ไม่ว่าจะทำงานกับทีมงานเดิมๆ หรือทีมงานใหม่ก็ตาม แต่เราก็จะได้ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทุกครั้ง แต่ถ้าถามว่างานล่ามที่เคยได้ทำมาแล้วเรารู้สึกภูมิใจอย่างที่สุดคืองานไหน ก็คงจะเป็นช่วงที่ทำงาน "Sisters Cities" หรืองานเมืองพี่เมืองน้อง ที่ถูกจัดขึ้นโดยกทม. ตอนปี 2010 ค่ะ ตอนนั้นได้ทำงานต้อนรับและดูแลท่านรองผู้ว่าจากโซล ในฐานะเลซอง (Liaison = ล่าม +เลขาฯ) ซึ่งกลับมาคิดดูตอนนี้แล้ว คงจะมีน้อยคนมากที่ได้รับโอกาสในการ
ทำงานตรงนี้ ก็เลยรู้สึกเป็นเกียรติกับครอบครัวและตัวเองมากๆ เลยค่ะ ถือเป็นหนึ่งใน
ความภูมิใจที่สุดเลยก็ว่าได้ค่ะ
อยากให้น้องๆ ที่อยากจะเป็นล่ามภาษาเกาหลีตั้งใจเรียนภาษาเกาหลีกันให้มากๆ นะคะ การจะเป็น ล่ามได้นั้นไม่ได้ไกลเกินจะฝัน แต่ว่าการได้เป็น มันก็ไม่ได้ได้มาง่ายๆ เช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกๆ
อย่างขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ว่าเรามีความมุ่งมั่น มีความพยายามมากแค่ไหน บางครั้งบนเส้นทางสู่ ความสำเร็จ เราอาจจะเจออุปสรรคขวากหนามมาขวางทางบ้าง แต่เราก็ต้องอย่ายอมแพ้ ท้อได้แต่ อย่าถอย พี่เชื่อว่าคนเราถ้าตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้หรอกค่ะ ยังไงก็ขอเป็น
กำลังใจให้ทุกๆ คนนะคะ
ที่มา:
http://www.dek-d.com/studyabroad/32895/
เส้นทางสู่ "ล่ามเกาหลี" อาชีพที่ได้ใกล้ชิดไอดอลแบบสุดๆ
สวัสดีค่ะ ชื่อ "กวาง" จบปริญญาตรีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และตอนนี้เพิ่งจะ
เรียนจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยยอนเซ สาขา International Trade, Finance
and Management ค่ะ
ครั้งแรกที่รู้สึกว่าภาษาเกาหลีน่าสนใจคือ ช่วงปิดเทอมหน้าร้อนตอนปี 1 เคยได้ไปเรียนซัมเมอร์ คอร์สสั้นๆ ที่ต่างประเทศค่ะ เพราะว่าที่นั่นมีคนเกาหลีไปเรียนเยอะมากค่ะ หลังจากนั้นก็เป็นเพื่อน
กัน ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด และเพราะในกลุ่มมีคนในไทยแค่ไม่กี่คน เพื่อนๆ ที่เป็นคนเกาหลีที่ เหลือเขาก็จะสอนภาษาเกาหลีให้เรา อาจจะอยากให้เราเข้าใจเขามากขึ้นหรือนึกสนุกก็ไม่รู้นะคะ
แต่เพื่อนๆ ที่นั่นใจดีมาก เขาเขียนคำศัพท์ ประโยคง่ายๆ อะไรแบบนี้ให้เราเป็นเล่มเลยนะ บางทีเป็น พวกคำด่าด้วยก็มีค่ะ (หัวเราะ)
ตอนนั้นก็เลยเริ่มรู้สึกสนุกที่จะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ พอหลังจากนั้น กลับมาไทย ก็เลยมีความคิดที่ อยากจะเรียนภาษาที่สาม ซึ่งมันก็แน่นอนว่าภาษาเกาหลีนั้นถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เราค่อนข้าง โอเค ทีนี้เราเลยมาปรึกษากับเพื่อน ก็คุยๆ กันว่าเออ ภาษาเกาหลีก็น่าเรียนนะ เพราะช่วง นั้นกระเเสพวก K-wave ก็ยังไม่บูมด้วย ยังไม่ค่อยมีคนที่พูดเป็นเท่าไร ซึ่งเราก็คิดว่า ถ้า เราพูดได้เนี่ย ก็คงจะได้เปรียบ เลยเริ่มเรียนตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาค่ะ
ตอนแรกก็ไม่คิดจะจริงจังกับมันขนาดนี้นะคะ แบบแค่อยากเรียนเล่นๆ เฉยๆ แต่พอได้เรียนแล้ว รู้สึก ว่าสนุก อยากเรียนต่ออีก อยากจะพูดได้ ฟังได้ พอปิดเทอมจะขึ้นปีสาม เลยไปลงคอร์สภาษา เกาหลีที่ประเทศเกาหลีสามเดือน หลังจากนั้น ก็ลงเรียนวิชาเลือกของคณะอักษรที่ มหาวิทยาลัยเป็นภาษาเกาหลีทุกตัวเลย คณะตัวเองก็ไม่ใช่ด้วย (หัวเราะ) แล้วก็ตั้งใจว่าถ้าเรียน
จบ จะไปเรียนภาษาเกาหลีต่อให้จบจนถึงระดับสูงสุด (ระดับ 6) ให้ได้ค่ะ
ถ้าถามว่าภาษาเกาหลียากมั้ย? จริงๆ แล้วไม่ว่าเราจะเรียนภาษาอะไรก็ตาม ยิ่งเรียนๆ ไป ความ ยาก มันก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ ซึ่งเป็นเรื่องปกติตามธรรมชาติของภาษาทุกภาษาอยู่แล้ว ช่วง แรกๆ ที่เริ่มเรียนก็รู้สึกว่าไม่ยากเท่าไหร่นะคะ อาจจะมีสับสนตรงไวยากรณ์บ้างนิดหน่อย
เพราะว่าโครงสร้างของภาษาเกาหลีแตกต่างจากภาษาไทยค่อนข้างมาก แต่พอยิ่งเรียนในระดับ สูงขึ้น เรียนรู้ลึกมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกเลยว่า ภาษาเกาหลีนี่มันยากกว่าที่คิดเอาไว้ เยอะเลย ต้องจำคำศัพท์ เยอะ ส่วนไวยากรณ์ก็มีตัวที่คล้ายๆ กันเยอะมาก บางทีก็ไม่รู้ว่ามัน ต่างกันอย่างไร ต้องคอยสังเกต และถามอาจารย์เอาน่ะค่ะ
สำหรับงานล่ามงานแรกในชีวิตที่ได้ทำก็คืองาน "JUMP UP Exclusive Moment with FTISLAND" ปี 2009 พอดีว่าตอนนั้นมีเพื่อนมาถามว่าอยากทำงานล่ามไหม เขาเลยนัดให้เราไป ลองสัมภาษณ์งานนี้ดู ตอนที่เรารู้ว่าผ่าน เราเองก็ยังสองจิตสองใจว่าจะทำดีไหมหรือว่าจะถอนตัวดี เป็นอะไรที่เครียดมากเลยนะคะ เพราะตอนนั้นรู้สึกกลัวจริงๆ แถมตื่นเต้นด้วย กลัวไปทำงานบริษัท เขาเสียหายหลายล้าน (หัวเราะ) เพราะว่าเราไม่เคยทำงานตรงนี้มาก่อนเลย แต่ว่าพอได้มาทำ จริงๆ ทุกอย่างก็โอเคค่ะ ผลออกมาดีกว่าที่คิดเอาไว้มาก งานทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี ทีม งานและศิลปินทุกคนน่ารักและเป็นกันเองมากค่ะ
การทำงานล่ามในแต่ละครั้งนั้น ก่อนอื่นก็ต้องขอบอกว่า เราก็ต้องทำการบ้านไปก่อนเลย ค่ะ การบ้านที่ว่า ได้แก่ ศิลปินที่เราจะต้องไปทำงานด้วยคือใคร ถ้าเป็นวง (บอยเเบนด์ หรือเกิร์ลกรุ๊ป) เขามีสมาชิกกันกี่คน เคยมีผลงานที่ผ่านมาคืออะไรบ้าง เราต้องดูและ ศึกษาไปก่อนแบบคร่าวๆ เพราะเราจะได้พอรู้ว่าใคร คนไหนชื่ออะไรบ้าง นอกจากจะได้ไม่ เรียกชื่อผิดคน (ซึ่งจะทำให้หน้า เเตก) แล้ว ยังจะได้ไม่เป็นการเสียมารยาทกับศิลปินด้วย ค่ะ
และช่วงตอนก่อนจะทำการสัมภาษณ์เพื่ออัดหรือออกรายการต่างๆ เราก็จะต้องมีการบรีฟคำถาม ทั้งหมดทุกข้อกับผู้จัดการของศิลปินก่อน คือต้องให้เค้าดูว่าคำถามที่จะถามทั้งหมดเนี่ย มันโอเค
หรือเปล่า ซึ่งตรงนี้... ถ้าเขาไม่โอเค เขาก็จะตัดคำถามเหล่านั้นทิ้งไปเลย หลังจากนั้นผู้จัดการก็จะ เป็นคนไปบอกกับศิลปินของเขาเองว่าในรายการนี้จะถามอะไรบ้าง หรือไม่ก็บางครั้งเราก็ต้องเป็น คนไปบอกกล่าวกับศิลปินเองค่ะ แต่จริงๆ ก็แค่เป็นการบอกคร่าวๆ เท่านั้นว่าจะถามอะไรบ้างเพื่อให้ ศิลปินเขารับรู้เอาไว้ก่อน ว่าเราจะถามเขาประมาณนี้นะ แค่นั้นเองค่ะ
ว่ากันตามตรงแล้วนะคะ เราประทับใจกับทุกๆ งานที่ได้ทำเลยค่ะ เพราะทุกงานต่างก็ทำให้เราได้เจอ กับประสบการณ์ใหม่ๆ เสมอ ไม่ว่าจะทำงานกับทีมงานเดิมๆ หรือทีมงานใหม่ก็ตาม แต่เราก็จะได้ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทุกครั้ง แต่ถ้าถามว่างานล่ามที่เคยได้ทำมาแล้วเรารู้สึกภูมิใจอย่างที่สุดคืองานไหน ก็คงจะเป็นช่วงที่ทำงาน "Sisters Cities" หรืองานเมืองพี่เมืองน้อง ที่ถูกจัดขึ้นโดยกทม. ตอนปี 2010 ค่ะ ตอนนั้นได้ทำงานต้อนรับและดูแลท่านรองผู้ว่าจากโซล ในฐานะเลซอง (Liaison = ล่าม +เลขาฯ) ซึ่งกลับมาคิดดูตอนนี้แล้ว คงจะมีน้อยคนมากที่ได้รับโอกาสในการ
ทำงานตรงนี้ ก็เลยรู้สึกเป็นเกียรติกับครอบครัวและตัวเองมากๆ เลยค่ะ ถือเป็นหนึ่งใน
ความภูมิใจที่สุดเลยก็ว่าได้ค่ะ
อยากให้น้องๆ ที่อยากจะเป็นล่ามภาษาเกาหลีตั้งใจเรียนภาษาเกาหลีกันให้มากๆ นะคะ การจะเป็น ล่ามได้นั้นไม่ได้ไกลเกินจะฝัน แต่ว่าการได้เป็น มันก็ไม่ได้ได้มาง่ายๆ เช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกๆ
อย่างขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ว่าเรามีความมุ่งมั่น มีความพยายามมากแค่ไหน บางครั้งบนเส้นทางสู่ ความสำเร็จ เราอาจจะเจออุปสรรคขวากหนามมาขวางทางบ้าง แต่เราก็ต้องอย่ายอมแพ้ ท้อได้แต่ อย่าถอย พี่เชื่อว่าคนเราถ้าตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้หรอกค่ะ ยังไงก็ขอเป็น
กำลังใจให้ทุกๆ คนนะคะ
ที่มา: http://www.dek-d.com/studyabroad/32895/