อยากถามว่าคุณจะตัดสินใจอย่างไร อาจจะยาวไปนิด แต่เพื่อความเข้าใจ จะพยายามสรุปให้สั้นและได้เนื้อหาที่สุด
เรื่องนี้มีการเชื่อมโยง ทั้ง ครอบครัวภายใน ทั้งฝ่าย ช และ ญ และครอบครัวของผม และเรื่องงาน
ใช้เวลาอ่านประมาณ 15-25 นาที
ผม เป็นคนไทย ทางบ้านมีโรงงานเป็นของตัวเอง ไปเรียน ป.โท ต่อต่างประเทศ ที่ 3 (ขอใช้ ที่ 3 เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาใดๆ ภายหลัง) ใช้เวลาเรียนในสิ่งที่ชอบนานหลายปี เมื่อได้เจอ นาง ข ซึ่งเป็นคนจีน พบกันที่ประเทศที่ 3 นาง ข ที่บ้าน ไม่มีฐานะอะไรมากมาย แต่พยายามบอกว่าตัวเองมี ซึ่งผม ก็ๆไม่ได้คิดอะไร และทั้งๆที่ผม รู้ว่า นาง ข เคยแต่งงานกับคนจีนมาแล้ว แต่ยังไม่มีลูกและได้หย่าเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าสถานะภาพแตกต่างกัน ผม ก็คิดว่าไม่เป็นไร ตอนน้ัน นาง ข อาจยังเด็กเกินไป คิดว่าคนเราคบกันไม่ได้ดูที่ว่าใครมีมากมีน้อย หรือเป็นแบบใด แค่มีความเข้าใจกันก็พอ ทั้งคู่คบกันโดยใช้ภาษาของประเทศนั้นสื่อสารกัน
จริงๆแล้ว นาง ข เรียนจบก่อน ผม 1 ปี ก็ทำงานที่ประเทศนั้นเช่นกัน โดยที่มีสัญญา 1 ปี แล้วควรจะต้องได้วีซ่าทำงานหลังจบ แต่ปรากฏเกิดวิกฤษเศรษกิจ จนท ของประเทศนั้นเลยพยายามที่จะไม่ให้วีซ่าทำงานแก่คนต่างชาติ ซึ่ง นาง ข เหลือเวลาที่จะอยู่ประเทศนั้นได้อีกเพียง 1 เดือน ด้วยความที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ ทั้งคู่ก็คิดวิธีแก้ไขโดยให้นาง ข เรียน ป.โท ใหม่ ในสาขาอื่น ที่เมืองอื่น เพียงเพื่อต้องการให้อยู่ด้วย โดยที่ผม ให้ยืมเงินค่าใช้จ่ายไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ รวมเป็นเงินประมาณล้านบาทเศษ ซึ่งนาง ข บอกว่าที่บ้านนาง ข มีเงินแต่ไม่อยากรบกวนที่บ้าน ผมจึงเป็นทางออกสุดท้าย ซึ่งขณะนั้น รู้จักกันได้ 1 ปีครึ่ง ก่อนการยืมเงินครั้งแรก
ซึ่งในขณะนั้น ผม กำลังเขียน วิทยานิพนธ์ ป.โท ให้แก่บริษัทชั้นนำของประเทศนั้น ซึ่งผลงานนั้น ทำให้ บริษัทประหยัดเงินไปราว 600ล้านยูโรต่อปี ซึ่งผม ได้รับ เพียงเดือนละ 800 ยูโร ตามสัญญา และผลงานนั้นได้ถูกตีพิมพ์ออกเป็น 2 ภาษา ซึ่งทำให้ทางมหาวิทยาลัยและทางบริษัทที่ทำนั้นอยากได้ตัวผมไป
สุดท้ายผม ตัดสินใจ เลือกทำด็อกเตอร์ที่มหาวิทยาลัย เพราะจะได้ทำในสิ่งที่แม่ของ ผม ต้องการ และ ได้อยู่ที่เมืองเดียวกันกับ นาง ข
และจากนี้คือเรื่องจริง ถ้าหากเราไปทำงานอยู่ ตปท มันมีข้อเสียเปรียบเสมอ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เมื่อ ผม ย้ายมาเพื่อเริ่มทำงาน ทางคณะ บอกว่าตอนนี้ ตำแหน่งไม่มีที่ว่าง ให้เป็นตำแหน่งอื่นไปก่อน เพื่อรอตำแหน่งแต่ก็ทำงานไปตามปรกติ ( ซึ่งที่นี่ถ้าใครอยากทำ Dr ต้องใช้เวลาประมาณ 5-7 ปี เป็นอย่างน้อย ) โดยทางคณะให้คำปากเปล่าว่า โดยปรกติไม่เกิน ครึ่งปี ตำแหน่ง Dr ก็ว่างแล้ว ผม จึงตกลงไป ทั้งๆที่ความเป็นจริงรู้สึกไม่ดี เหมือนโดนหลอกมา แม้แต่ตอนที่ตีพิมพ์ผลงานป.โท ทางคณะจะไม่ลงชื่อของ ผม ลงไปด้วย โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นเพียง นักศึกษา ไม่มีสิทธิ พวกเขาเท่านั้นที่มีสิทธิ ทั้งๆที่ความเป็นจริง ผม ทำงานนี้คนเดียว ที่บริษัท ซึ่งทางบริษัททราบดีว่าเป็นผลงานของผม ทางบริษัทจึงยื่นคำขาดว่า ถ้าไม่มีชื่อผม ในงานที่จะตีพิมพ์ ทางบริษัทก็ไม่อนุมัติให้ตีพิมพ์ T.A. จึงยอม โดยที่ T.A. นั้น เอาชื่อT.A. เองและเพื่อนของT.A. อีกคน มาลงและ ที่ขาดไม่ได้คือชื่อของ Prof. ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่ามีการทำงานนี้อยู่ และดันชื่อ ผม ไว้สุดท้าย และเขียนเกริ่นนำว่าเป็นผลงานของ T.A. เอง ผม คิดว่าไม่เป็นไร ยังไงก็ขโมยสมองไปไม่ได้ และยังต้องทำงานร่วมกันอีก
พอเริ่มทำงานได้ก็รับโปรเจคของบริษัทชั้นนำอื่น ซึ่งค้างมาเป็นปี เสร็จภายใน 2 เดือน ทางคณะจึงเอางานใหม่มาให้เพิ่มอีก ส่วน T.A. ขี้ขโมย นั้นพยายามเอางานของตัวเองมาให้ผมทำ แต่ผมไม่ทำเพราะมีงานที่ต้องรับผิดชอบอยู่ T.A. นั้นจึงพยายามทำให้คนอื่นๆไม่ชอบผม (ผม เป็น เอเชียคนเดียวในคณะนั้น คนยุโรป เกือบร้อย)
เมื่อเวลาผ่านไป 6 เดือน ผม ก็ถามว่ามีตำแหน่งว่างหรือยัง ทางคณะก็บอกว่าไม่มี และในช่วงเวลานั้น CEO จากทางบริษัท เก่าได้ติดต่อมาที่ผม โดยตรงว่าต้องการให้ผม ทำงานให้ เป็นตำแหน่งDr และต้องเสร็จภายใน 2 ปี ซึ่งผม บอกว่าทำได้เพราะเป็นเหมือนงานต่อยอดของตอน ป.โท CEO จึงบอกว่าให้กลับไปคุยกับ Prof ถ้าตกลงก็เริ่มได้เลย ผม คุยกับนาง ข ตกลงว่าจะทำงานนี้ หลังจากนั้นเข้าคุยกับ Prof. พร้อมกับเล่มสรุปเพื่อขอให้ดูแลงานนี้ให้หน่อย Prof. โยนเล่มสรุปกลับมาว่า "ผมไม่ดูแลงานนี้ให้คุณ ถ้าผมไม่ได้เงิน" ณ วินาทีนั้น ผม เอง รู้สึกว่า (ไม่เป็นไรหลอกมาใช้งาน ให้เงินก็น้อย งานก็หนัก เด่วหา Prof. คนอื่นก็ได้) จึงจะดึงเล่มนั้นกลับมา แต่ Prof. ดึงกลับแล้วบอกว่า เด่วขอโทรไปต่อรองที่บริษัทเอง
หลังจากนั้นเพื่อนเก่าของ ผม ที่บริษัทโทรมา บอกให้โทรหา CEO ด่วนเรื่องไม่ดี สรุปว่า CEO บอกว่าขอยกเลิกงานนี้ เพราะ Prof. โทรมาต่อรองมากเกินไป เรียกหลายสิบล้านยูโร ผม พยายามกล่อม CEO แต่ไม่สำเร็จ จึงพลาดงานนี้ไป ช่วงนั้น ผม มึนมาก คิดอะไรไม่ออกเลย
ผม จึงลางาน 1 เดือน โดยที่นาง ข เสนอว่าไปเที่ยวที่บ้านของเธอที่ประเทศจีน และจีนอยู่ไม่ไกลกับไทยมากให้แม่นั่งเครื่องไปเที่ยวด้วย เพราะพี่ของผม ต้องการไปหาสินค้าจีนด้วย เลยสรุปว่าไปพบกัยที่บ้านของนาง ข ซึ่งเป็นมณทลที่จัดได้ว่าเล็กมาก และไกลมาก ห่างความเจริญของจีน ทั้งเมือง มีคนไม่ถึง 2 ล้านคน แต่เมื่อมาถึงนาง ข จัดการคุยเรื่องแต่งานทันที โดยที่ ผม ไม่ทันได้คิดเรื่องนี้ และยังมึนๆอยู่มาก กับการพลาดโอกาศทองในการทำ Dr ไป ทั้งๆที่ผม เหมือนกับยังไม่พร้อมเรื่องแต่งงานเพราะคิดว่าควรดูกันมากกว่านี้ ก็ไม่ได้ตอบอะไรไปมากมาย ปล่อยให้นาง ข ว่าไป ทั้งๆที่ นาง ข ติดเงิน ผม อยู่ ล้านบาทเศษ โดยตลอดเวลาที่คบกัน นาง ข มักจะกล่าวหลายครั้งว่า พอแต่งงานกันเด่วก็กลายเป็น 0 ไปเอง โดยที่ข้อสรุปว่าถ้าแต่งจะเป็นดังนี้
ผม จะมีบ้าน ตามธรรมเนียมจีน ซึ่งยังไม่ได้ระบุว่าจะเป็นที่ใด (ซึ่งโดยทั่วไปที่จีน บ้านจะเป็นชื่อผม) และมี เงินเริ่มต้นตั้งตัว 1 ล้านบาท
นาง ข จะออกค่า ตกแต่งบ้าน ประมาณ 5 แสน และ จะมี เงินเริ่มต้นตั้งตัว 1 ล้านบาท ซึ่งพ่อแม่เธอจะออกให้
เมื่ออยู่ที่จีนได้เห็นอะไรหลายอย่าง และได้นำสินค้าบางอย่างติดมือกลับไปประเทศที่ 3 ด้วย ลองขายดูตอนเลิกงาน ปรากฏว่าขายดี ผม จึงคิดที่จะเปิดบริษัทเอง แต่ว่าติดที่วีซ่าต้องทำงานให้กับคณะนั้นเท่านั้น ห้ามทำเอง จึงให้เพ่ือนของนาง ข ที่เป็นคนยุโรป (นาย ค และ ง) ร่วมกับนาง ข เปิดบริษัทขึ้นมา นาง ข และนาย ค และ ง โดยที่ ผม ใช้เวลาว่างหลังเลิกงานทุ่มเทกับงานของบริษัทนี้ด้วย โดยที่ไม่มีผลตอบแทน เมื่อผม หมดสัญญากับทางคณะ จึงมาช่วยอย่างเต็มที่แต่หาที่ทำ Dr ที่อื่นไปในเวลาเดียวกัน แต่ตามกฏหมายแล้ว ผม ต้องหางานที่สอดคล้องกับสิ่งที่เรียนมาภายใน 6 เดือน จึงจะต่อวีซ่าได้ และเป็นช่วงที่ วิกฤษเศรฐกิจยังไม่ดี ซึ่งผม จึงต้องกลับไทยตามกฏหมาย ซึ่งก่อนกลับได้วางแผนของบริษัทไว้ว่า จะเชื่อมต่อการค้าทั้ง 3 ประเทศ เข้าด้วยกัน แล้ววางแผนระยะสั้นคือกลับมาบวชที่ไทย ให้แม่ก่อน แล้วค่อยแต่งงาน โดยให้ทั้ง 3 คนนั้นดูงานที่นั่นไป
หลังสึก ผม ก็ช่วยทีบ้านที่ไทยทำงาน ซึ่งก็ยังคงติดต่อกลับนาง ข ตลอด แล้วจู่นาง ข ก็โทรมาบอกว่า อีก 7 วันจะมาไทยทำเรื่องแต่งงาน ซึ่งไม่ได้อยู่ด้วยกันมา 6 เดือนแล้ว ซึ่ง ผม จัดเตรียมทุกอย่างได้ทันเวลาพอดีรวมแม้แต่การตัดชุดเจ้าสาวในเวลาสั้นๆ เมื่อแต่งที่ไทยแล้ว ก็ไปแต่งที่จีนอีกตามธรรมเนียม แล้วผม บินกลับไทย ส่วนนาง ข บินกลับประเทศที่ 3 ครั้ง และครั้งนี้อยู่ห่างกัน 8-9 เดือน ซึ่งตลอดเวลานาง ข ควรต้องเตรียมเรื่องเอกสารเพราะเป็นหุ้นส่วนของบริษัท แต่จะไม่อยู่ประเทศนั้นโดยไม่ให้เสียสิทธิเรื่อง Green Card ซึ่งยังหาทางออกไม่ได้ เมื่อเข้าเดือนที่ 9 นั้น ผม จึงบินไปพบนาง ข เป็นเวลา 3 เดือน และแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ ซึ่งตอนนั้นเอง ผม ก็ไม่ได้รู้สึก ดีกับ นาง ข เหมือนแต่ก่อนเพราะว่าเวลาที่รอคอยมันนานเกินและสูญเสียโอกาศไปหลายๆอย่างในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นต้น หลังจากนั้น ผม บินกลับมาไทย แล้วนาง ข ยังต้องใช้เวลาอีก 6 เดือน จึงจัดการเอกสารได้เสร็จ ซึ่งรวมการรอคอย 2 ปีเต็ม
เมื่อกลับมาจีน นาง ข บอกว่าขอให้ไปอยู่ที่บ้านของเธอที่จีนก่อน เพื่อทำการปรับตัวและเริ่มทำเวปไซค์และอื่นๆ และ ผม ใช้เวลานั้น เรียนภาษา เมื่อมาถึงที่เมืองนั้น ผม พบว่ามันไม่ใช่ในสิ่งที่เคยคุยกันมา นาง ข และครอบครัวของนาง ข พยายามที่จะให้ผม เริ่มต้นชีวิตที่เมืองนั้นให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการขายก๋วยเตี๋ยว ร้านอาหารไทยหรืออื่นๆ ซึ่งผม ยังคงยืนยันคำเดิมว่าไม่ได้ ไม่ใช่ว่าผมคิดว่าตัวเองสูงกว่าคนอื่น แต่เรามีเป้าหมายที่ต้องไปให้ถึง จะมาเปลี่ยนเพราะเรื่องการอยากอยู่ใกล้ครอบครัวของนาง ข อย่างเดียวไม่ได้ และนอกจากนั้น พ่อตาแม่ยาย พยายามที่จะให้ผม ขายทรัพย์สินที่ไทย แล้วมาซื้อใหม่ที่จีนที่นี่เท่านั้น โดยแน่นอนว่าความคิดที่แอบแฝงคือต้องใส่ชื่อ นาง ข ด้วย ทั้งที่เมื่อทะเลาะกันนาง ข จะบอกเสมอว่าออกไป กลับไปที่นี่บ้านของนาง ข เสมอ. เมื่อผม มาอยู่ที่จีนได้ 1 ปี พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะย้ายไปเมืองที่มีโอกาศทางการค้าดีกว่านี้ แต่เจอการต่อรองทุกรูปแบบ และจบด้วยการทะเลาะกันเสมอ ผม ได้คุยกับ พี่ชายและพ่อของนาง ข เรื่องการ ย้ายเมือง ทั้ง 2 คนเห็นด้วยเรื่องโอกาศ แต่เป็นห่วงลูกสาวของตัวเอง
ยิ่งแม่ของนาง ข นี่ถึงขั้นหนักมาก มาขอพักที่บ้านแล้วหาเรื่องทะเลาะกัน แล้วแกล้งรอ้งไห้เป็นเด็ก แต่ไม่มีน้ำตาซักหยด โดยที่แววตาต้องการดูเพียงปฏิกิริยาของ นาง ข เท่านั้น ซึ่งนาง ข ก็เต้นตาม ร้องจะเป็นจะตาย เพื่อให้ ผม ขอโทษให้ได้ ทั้งๆที่ไม่มีเนื้อหาอะไรเลย และสุดท้ายมาจบที่ประเด็นการต่อรองของแม่ยายเรื่องให้ซื้อบ้านที่ฝั่งตรงข้าม แต่ผม ไม่ยอม เพราะมันไม่มีทางเจริญแน่ๆ นี่ยังไม่เริ่มทำอะไรมากมายก็บงการณ์เยอะเยะ แล้วทางบริษัทที่ประเทศที่ 3 นั้นก็เกือบเจ๊ง เพราะว่าตั้งแต่นาง ข มาจีน ไม่ได้ทำงานให้กับทางบริษัทที่เปิดไว้อย่างจริงจัง ซึ่งภาษาจีนผมเองก็ยังไม่ได้แข็งแรงถึงขั้นที่จะดูแลบริษัทแทนได้ โดยที่นาง ข กลับคอยรับคอยส่ง ดูแลคนของครอบครัวของนาง ข ทุกอย่าง โดยที่ทิ้งงานของตัวเอง เมื่อผม ห้ามปราม ก็ทะเลาะกันทุกครั้ง นาง ข จะรู้สึกดีเมื่อได้รับใช้ หรือเป็นส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่างของครอบครัวเธอ โดยที่ ผม ต้องทำหน้าที่สมทบเสมอ แม้ไม่เต็มใจหรือไม่เห็นด้วยแต่ก็ต้องทำ
นับจากวันที่ผม กลับไทยเพื่อไปบวช จนถึงวันนี้เป็นเวลา 3 ปี และได้อยู่จริงจังหลังแต่งงานเป็นเวลาเพียง 1ปี ทำให้รู้สึกเหมือนถูกหลอกเรื่องการแต่งงาน และให้มาอยู่ที่นี่ (ที่นี่ยังไม่ได้มีการลงทุนใดๆ นอกจากค่าใช้จ่าย) เมื่อมาแล้วจะไม่ยอมย้ายไปไหนแล้ว ต้องเริ่มต้นที่นี่เท่านั้น ถ้ามีปัญหา ก็จะมีคนของครอบครัวเธออยู่ข้างๆเธอเสมอ ส่วนผม ไม่มี โดยที่ปัญหาส่วนใหญ่นั้นมาจากการทิ้งงานของนาง ข และที่สำคัญคือไม่มีความรับผิดชอบ จะมีก็แต่ข้ออ้างที่ทำให้รอดตัวเท่านั้นในช่วงตลอดเวลาที่มาอยู่ที่จีน บุคคลิกของนาง ข มาเปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อตอนที่ย้ายเข้ามาอยู่ทีบ้านของเธอ โดยส่วนมากจะเป็นแม่ยายที่คอยแต่โอดครวญว่ารักลูก ทั้งๆที่แม่ยายเป็นแม่บ้านมาทั้งชีวิต ไม่เคยทำงานมีแต่ความต้องการว่าจะได้อย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งตลอดชีวิตของพ่อตาที่ได้ยินมาและสัมผัสได้คือ ต้องทำงานจนเกษียน และเป็นรองแม่ยายเสมอ ได้อะไรมาแม่ยายเอาไปใส่ชื่อตัวเองหมด
ผมมีความคิดที่จะเลิกกับนาง ข อย่างจริงจัง และยังง่ายหน่อยที่ยังไม่มีลูกด้วยกัน โดยที่จะนำเงินที่ถูกยืมไปนั้นคืน (เงินจากสมรสของใครของมัน เพราะแยกบัญชีกัน ส่วนทองและเพชรนั้น ถือว่าให้ไปเลย) เรื่องบริษัทให้เธอไปทำเองตามความสามารถ แล้วผมจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ (จริงๆผมมีแผนการณ์ที่จะตั้งโรงงานที่จีน แต่ต้องเปลี่ยนเล็กน้อย) เพราะรู้สึกว่าผิดหวังจากความที่ไว้ใจมากเกินไปและเสียเวลาไปโดยไร้ค่าเป็นอย่างมาก ปวดหัวจากเรื่องไม่เป็นเรื่อง ผมต้องคอยแก้ปัญหาที่ผมไม่ได้ก่อทุกครั้งยังไม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้ไม่มีความไว้ใจเหลือเลยแม้แต่นิดเดียว เคยคุยการแก้ปัญหาหลายทีแต่ก็มาที่รูปแบบเดิมๆ ทุกครั้ง
อยากปรึกษาว่า ถ้าเป็นคุณ คุณจะแก้ปัญหานี้อย่างไร
ต้องการคำแนะนำ เรื่องชีวิตหลังแต่งงาน ที่เกี่ยวโยงกับการค้าระหว่างประเทศ
เรื่องนี้มีการเชื่อมโยง ทั้ง ครอบครัวภายใน ทั้งฝ่าย ช และ ญ และครอบครัวของผม และเรื่องงาน
ใช้เวลาอ่านประมาณ 15-25 นาที
ผม เป็นคนไทย ทางบ้านมีโรงงานเป็นของตัวเอง ไปเรียน ป.โท ต่อต่างประเทศ ที่ 3 (ขอใช้ ที่ 3 เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาใดๆ ภายหลัง) ใช้เวลาเรียนในสิ่งที่ชอบนานหลายปี เมื่อได้เจอ นาง ข ซึ่งเป็นคนจีน พบกันที่ประเทศที่ 3 นาง ข ที่บ้าน ไม่มีฐานะอะไรมากมาย แต่พยายามบอกว่าตัวเองมี ซึ่งผม ก็ๆไม่ได้คิดอะไร และทั้งๆที่ผม รู้ว่า นาง ข เคยแต่งงานกับคนจีนมาแล้ว แต่ยังไม่มีลูกและได้หย่าเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าสถานะภาพแตกต่างกัน ผม ก็คิดว่าไม่เป็นไร ตอนน้ัน นาง ข อาจยังเด็กเกินไป คิดว่าคนเราคบกันไม่ได้ดูที่ว่าใครมีมากมีน้อย หรือเป็นแบบใด แค่มีความเข้าใจกันก็พอ ทั้งคู่คบกันโดยใช้ภาษาของประเทศนั้นสื่อสารกัน
จริงๆแล้ว นาง ข เรียนจบก่อน ผม 1 ปี ก็ทำงานที่ประเทศนั้นเช่นกัน โดยที่มีสัญญา 1 ปี แล้วควรจะต้องได้วีซ่าทำงานหลังจบ แต่ปรากฏเกิดวิกฤษเศรษกิจ จนท ของประเทศนั้นเลยพยายามที่จะไม่ให้วีซ่าทำงานแก่คนต่างชาติ ซึ่ง นาง ข เหลือเวลาที่จะอยู่ประเทศนั้นได้อีกเพียง 1 เดือน ด้วยความที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ ทั้งคู่ก็คิดวิธีแก้ไขโดยให้นาง ข เรียน ป.โท ใหม่ ในสาขาอื่น ที่เมืองอื่น เพียงเพื่อต้องการให้อยู่ด้วย โดยที่ผม ให้ยืมเงินค่าใช้จ่ายไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ รวมเป็นเงินประมาณล้านบาทเศษ ซึ่งนาง ข บอกว่าที่บ้านนาง ข มีเงินแต่ไม่อยากรบกวนที่บ้าน ผมจึงเป็นทางออกสุดท้าย ซึ่งขณะนั้น รู้จักกันได้ 1 ปีครึ่ง ก่อนการยืมเงินครั้งแรก
ซึ่งในขณะนั้น ผม กำลังเขียน วิทยานิพนธ์ ป.โท ให้แก่บริษัทชั้นนำของประเทศนั้น ซึ่งผลงานนั้น ทำให้ บริษัทประหยัดเงินไปราว 600ล้านยูโรต่อปี ซึ่งผม ได้รับ เพียงเดือนละ 800 ยูโร ตามสัญญา และผลงานนั้นได้ถูกตีพิมพ์ออกเป็น 2 ภาษา ซึ่งทำให้ทางมหาวิทยาลัยและทางบริษัทที่ทำนั้นอยากได้ตัวผมไป
สุดท้ายผม ตัดสินใจ เลือกทำด็อกเตอร์ที่มหาวิทยาลัย เพราะจะได้ทำในสิ่งที่แม่ของ ผม ต้องการ และ ได้อยู่ที่เมืองเดียวกันกับ นาง ข
และจากนี้คือเรื่องจริง ถ้าหากเราไปทำงานอยู่ ตปท มันมีข้อเสียเปรียบเสมอ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากนั้นเพื่อนเก่าของ ผม ที่บริษัทโทรมา บอกให้โทรหา CEO ด่วนเรื่องไม่ดี สรุปว่า CEO บอกว่าขอยกเลิกงานนี้ เพราะ Prof. โทรมาต่อรองมากเกินไป เรียกหลายสิบล้านยูโร ผม พยายามกล่อม CEO แต่ไม่สำเร็จ จึงพลาดงานนี้ไป ช่วงนั้น ผม มึนมาก คิดอะไรไม่ออกเลย
ผม จึงลางาน 1 เดือน โดยที่นาง ข เสนอว่าไปเที่ยวที่บ้านของเธอที่ประเทศจีน และจีนอยู่ไม่ไกลกับไทยมากให้แม่นั่งเครื่องไปเที่ยวด้วย เพราะพี่ของผม ต้องการไปหาสินค้าจีนด้วย เลยสรุปว่าไปพบกัยที่บ้านของนาง ข ซึ่งเป็นมณทลที่จัดได้ว่าเล็กมาก และไกลมาก ห่างความเจริญของจีน ทั้งเมือง มีคนไม่ถึง 2 ล้านคน แต่เมื่อมาถึงนาง ข จัดการคุยเรื่องแต่งานทันที โดยที่ ผม ไม่ทันได้คิดเรื่องนี้ และยังมึนๆอยู่มาก กับการพลาดโอกาศทองในการทำ Dr ไป ทั้งๆที่ผม เหมือนกับยังไม่พร้อมเรื่องแต่งงานเพราะคิดว่าควรดูกันมากกว่านี้ ก็ไม่ได้ตอบอะไรไปมากมาย ปล่อยให้นาง ข ว่าไป ทั้งๆที่ นาง ข ติดเงิน ผม อยู่ ล้านบาทเศษ โดยตลอดเวลาที่คบกัน นาง ข มักจะกล่าวหลายครั้งว่า พอแต่งงานกันเด่วก็กลายเป็น 0 ไปเอง โดยที่ข้อสรุปว่าถ้าแต่งจะเป็นดังนี้
ผม จะมีบ้าน ตามธรรมเนียมจีน ซึ่งยังไม่ได้ระบุว่าจะเป็นที่ใด (ซึ่งโดยทั่วไปที่จีน บ้านจะเป็นชื่อผม) และมี เงินเริ่มต้นตั้งตัว 1 ล้านบาท
นาง ข จะออกค่า ตกแต่งบ้าน ประมาณ 5 แสน และ จะมี เงินเริ่มต้นตั้งตัว 1 ล้านบาท ซึ่งพ่อแม่เธอจะออกให้
เมื่ออยู่ที่จีนได้เห็นอะไรหลายอย่าง และได้นำสินค้าบางอย่างติดมือกลับไปประเทศที่ 3 ด้วย ลองขายดูตอนเลิกงาน ปรากฏว่าขายดี ผม จึงคิดที่จะเปิดบริษัทเอง แต่ว่าติดที่วีซ่าต้องทำงานให้กับคณะนั้นเท่านั้น ห้ามทำเอง จึงให้เพ่ือนของนาง ข ที่เป็นคนยุโรป (นาย ค และ ง) ร่วมกับนาง ข เปิดบริษัทขึ้นมา นาง ข และนาย ค และ ง โดยที่ ผม ใช้เวลาว่างหลังเลิกงานทุ่มเทกับงานของบริษัทนี้ด้วย โดยที่ไม่มีผลตอบแทน เมื่อผม หมดสัญญากับทางคณะ จึงมาช่วยอย่างเต็มที่แต่หาที่ทำ Dr ที่อื่นไปในเวลาเดียวกัน แต่ตามกฏหมายแล้ว ผม ต้องหางานที่สอดคล้องกับสิ่งที่เรียนมาภายใน 6 เดือน จึงจะต่อวีซ่าได้ และเป็นช่วงที่ วิกฤษเศรฐกิจยังไม่ดี ซึ่งผม จึงต้องกลับไทยตามกฏหมาย ซึ่งก่อนกลับได้วางแผนของบริษัทไว้ว่า จะเชื่อมต่อการค้าทั้ง 3 ประเทศ เข้าด้วยกัน แล้ววางแผนระยะสั้นคือกลับมาบวชที่ไทย ให้แม่ก่อน แล้วค่อยแต่งงาน โดยให้ทั้ง 3 คนนั้นดูงานที่นั่นไป
หลังสึก ผม ก็ช่วยทีบ้านที่ไทยทำงาน ซึ่งก็ยังคงติดต่อกลับนาง ข ตลอด แล้วจู่นาง ข ก็โทรมาบอกว่า อีก 7 วันจะมาไทยทำเรื่องแต่งงาน ซึ่งไม่ได้อยู่ด้วยกันมา 6 เดือนแล้ว ซึ่ง ผม จัดเตรียมทุกอย่างได้ทันเวลาพอดีรวมแม้แต่การตัดชุดเจ้าสาวในเวลาสั้นๆ เมื่อแต่งที่ไทยแล้ว ก็ไปแต่งที่จีนอีกตามธรรมเนียม แล้วผม บินกลับไทย ส่วนนาง ข บินกลับประเทศที่ 3 ครั้ง และครั้งนี้อยู่ห่างกัน 8-9 เดือน ซึ่งตลอดเวลานาง ข ควรต้องเตรียมเรื่องเอกสารเพราะเป็นหุ้นส่วนของบริษัท แต่จะไม่อยู่ประเทศนั้นโดยไม่ให้เสียสิทธิเรื่อง Green Card ซึ่งยังหาทางออกไม่ได้ เมื่อเข้าเดือนที่ 9 นั้น ผม จึงบินไปพบนาง ข เป็นเวลา 3 เดือน และแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ ซึ่งตอนนั้นเอง ผม ก็ไม่ได้รู้สึก ดีกับ นาง ข เหมือนแต่ก่อนเพราะว่าเวลาที่รอคอยมันนานเกินและสูญเสียโอกาศไปหลายๆอย่างในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นต้น หลังจากนั้น ผม บินกลับมาไทย แล้วนาง ข ยังต้องใช้เวลาอีก 6 เดือน จึงจัดการเอกสารได้เสร็จ ซึ่งรวมการรอคอย 2 ปีเต็ม
เมื่อกลับมาจีน นาง ข บอกว่าขอให้ไปอยู่ที่บ้านของเธอที่จีนก่อน เพื่อทำการปรับตัวและเริ่มทำเวปไซค์และอื่นๆ และ ผม ใช้เวลานั้น เรียนภาษา เมื่อมาถึงที่เมืองนั้น ผม พบว่ามันไม่ใช่ในสิ่งที่เคยคุยกันมา นาง ข และครอบครัวของนาง ข พยายามที่จะให้ผม เริ่มต้นชีวิตที่เมืองนั้นให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการขายก๋วยเตี๋ยว ร้านอาหารไทยหรืออื่นๆ ซึ่งผม ยังคงยืนยันคำเดิมว่าไม่ได้ ไม่ใช่ว่าผมคิดว่าตัวเองสูงกว่าคนอื่น แต่เรามีเป้าหมายที่ต้องไปให้ถึง จะมาเปลี่ยนเพราะเรื่องการอยากอยู่ใกล้ครอบครัวของนาง ข อย่างเดียวไม่ได้ และนอกจากนั้น พ่อตาแม่ยาย พยายามที่จะให้ผม ขายทรัพย์สินที่ไทย แล้วมาซื้อใหม่ที่จีนที่นี่เท่านั้น โดยแน่นอนว่าความคิดที่แอบแฝงคือต้องใส่ชื่อ นาง ข ด้วย ทั้งที่เมื่อทะเลาะกันนาง ข จะบอกเสมอว่าออกไป กลับไปที่นี่บ้านของนาง ข เสมอ. เมื่อผม มาอยู่ที่จีนได้ 1 ปี พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะย้ายไปเมืองที่มีโอกาศทางการค้าดีกว่านี้ แต่เจอการต่อรองทุกรูปแบบ และจบด้วยการทะเลาะกันเสมอ ผม ได้คุยกับ พี่ชายและพ่อของนาง ข เรื่องการ ย้ายเมือง ทั้ง 2 คนเห็นด้วยเรื่องโอกาศ แต่เป็นห่วงลูกสาวของตัวเอง
ยิ่งแม่ของนาง ข นี่ถึงขั้นหนักมาก มาขอพักที่บ้านแล้วหาเรื่องทะเลาะกัน แล้วแกล้งรอ้งไห้เป็นเด็ก แต่ไม่มีน้ำตาซักหยด โดยที่แววตาต้องการดูเพียงปฏิกิริยาของ นาง ข เท่านั้น ซึ่งนาง ข ก็เต้นตาม ร้องจะเป็นจะตาย เพื่อให้ ผม ขอโทษให้ได้ ทั้งๆที่ไม่มีเนื้อหาอะไรเลย และสุดท้ายมาจบที่ประเด็นการต่อรองของแม่ยายเรื่องให้ซื้อบ้านที่ฝั่งตรงข้าม แต่ผม ไม่ยอม เพราะมันไม่มีทางเจริญแน่ๆ นี่ยังไม่เริ่มทำอะไรมากมายก็บงการณ์เยอะเยะ แล้วทางบริษัทที่ประเทศที่ 3 นั้นก็เกือบเจ๊ง เพราะว่าตั้งแต่นาง ข มาจีน ไม่ได้ทำงานให้กับทางบริษัทที่เปิดไว้อย่างจริงจัง ซึ่งภาษาจีนผมเองก็ยังไม่ได้แข็งแรงถึงขั้นที่จะดูแลบริษัทแทนได้ โดยที่นาง ข กลับคอยรับคอยส่ง ดูแลคนของครอบครัวของนาง ข ทุกอย่าง โดยที่ทิ้งงานของตัวเอง เมื่อผม ห้ามปราม ก็ทะเลาะกันทุกครั้ง นาง ข จะรู้สึกดีเมื่อได้รับใช้ หรือเป็นส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่างของครอบครัวเธอ โดยที่ ผม ต้องทำหน้าที่สมทบเสมอ แม้ไม่เต็มใจหรือไม่เห็นด้วยแต่ก็ต้องทำ
นับจากวันที่ผม กลับไทยเพื่อไปบวช จนถึงวันนี้เป็นเวลา 3 ปี และได้อยู่จริงจังหลังแต่งงานเป็นเวลาเพียง 1ปี ทำให้รู้สึกเหมือนถูกหลอกเรื่องการแต่งงาน และให้มาอยู่ที่นี่ (ที่นี่ยังไม่ได้มีการลงทุนใดๆ นอกจากค่าใช้จ่าย) เมื่อมาแล้วจะไม่ยอมย้ายไปไหนแล้ว ต้องเริ่มต้นที่นี่เท่านั้น ถ้ามีปัญหา ก็จะมีคนของครอบครัวเธออยู่ข้างๆเธอเสมอ ส่วนผม ไม่มี โดยที่ปัญหาส่วนใหญ่นั้นมาจากการทิ้งงานของนาง ข และที่สำคัญคือไม่มีความรับผิดชอบ จะมีก็แต่ข้ออ้างที่ทำให้รอดตัวเท่านั้นในช่วงตลอดเวลาที่มาอยู่ที่จีน บุคคลิกของนาง ข มาเปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อตอนที่ย้ายเข้ามาอยู่ทีบ้านของเธอ โดยส่วนมากจะเป็นแม่ยายที่คอยแต่โอดครวญว่ารักลูก ทั้งๆที่แม่ยายเป็นแม่บ้านมาทั้งชีวิต ไม่เคยทำงานมีแต่ความต้องการว่าจะได้อย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งตลอดชีวิตของพ่อตาที่ได้ยินมาและสัมผัสได้คือ ต้องทำงานจนเกษียน และเป็นรองแม่ยายเสมอ ได้อะไรมาแม่ยายเอาไปใส่ชื่อตัวเองหมด
ผมมีความคิดที่จะเลิกกับนาง ข อย่างจริงจัง และยังง่ายหน่อยที่ยังไม่มีลูกด้วยกัน โดยที่จะนำเงินที่ถูกยืมไปนั้นคืน (เงินจากสมรสของใครของมัน เพราะแยกบัญชีกัน ส่วนทองและเพชรนั้น ถือว่าให้ไปเลย) เรื่องบริษัทให้เธอไปทำเองตามความสามารถ แล้วผมจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ (จริงๆผมมีแผนการณ์ที่จะตั้งโรงงานที่จีน แต่ต้องเปลี่ยนเล็กน้อย) เพราะรู้สึกว่าผิดหวังจากความที่ไว้ใจมากเกินไปและเสียเวลาไปโดยไร้ค่าเป็นอย่างมาก ปวดหัวจากเรื่องไม่เป็นเรื่อง ผมต้องคอยแก้ปัญหาที่ผมไม่ได้ก่อทุกครั้งยังไม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้ไม่มีความไว้ใจเหลือเลยแม้แต่นิดเดียว เคยคุยการแก้ปัญหาหลายทีแต่ก็มาที่รูปแบบเดิมๆ ทุกครั้ง
อยากปรึกษาว่า ถ้าเป็นคุณ คุณจะแก้ปัญหานี้อย่างไร