ใกล้เข้าเดือนตุลาคมแล้ว เราในฐานะคนทำหนังสือคนหนึ่ง เลยอยากพาคุณไปเดินดูงานหนังสือที่เขาว่ากันว่า "มันใหญ่มาก"
ใหญ่ที่สุดในโลกเลยแหละ
เผื่อว่าปีนี้ใครสนใจะจะไปดูงานกันนะ ^^
นานมาแล้ว เคยมีใครบางคนกรอกหูเอาไว้ว่า...
"คนทำหนังสือต้องไปงานหนังสือระดับโลกอย่าง Frankfurt Book Fair ให้ได้สักครั้งในชีวิต"
แต่ปกติ ถ้าไปเที่ยวที่ไหน หรือดูงานที่ประเทศอะไร เราก็จะชอบเข้าร้านหนังสือของประเทศนั้นๆ อยู่แล้ว (มีใครชอบเดินร้านหนังสือแบบเราบ้างเอ่ย)
แต่เพราะความโชคดี ที่เรามีโอกาสได้ไปเปิดหูเปิดตาเปิดโลกของโลกหนังสือดูบ้าง พร้อมแล้วก็ตามมาเลยจ้า
จากประเทศไทยใช้เวลาบินข้ามน้ำข้ามทะเลผ่านทะเลทรายของผืนดินทวีปแอฟริกาใต้
ไปโผล่ที่สนามบินแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ใช้เวลาทั้งสิ้น 13 ชั่วโมง (ทำไมต้องพยายามขนาดน้านนน)
เรานั่งสายการบินศรีลังกันแอร์ไลน์ไป ต้องไปต่อเครื่องที่โคลัมโบนะ เลยใช้เวลามากกว่าบินตรงไปสามชั่วโมงถ้วน

ูด้านหน้าของสนามบินแฟรงก์เฟิร์ต นับว่าเป็นอีกหนึ่งฮับใหญ่ในการเดินทางต่อไปยังประเทศอื่นๆ ในแถบยุโรป
ข้อมูลของนครแฟรงก์เฟิร์ตบอกว่า เป็นเมืองการค้าและธุรกิจที่สำคัญของประเทศเยอรมนี
ตั้งอยู่ทางตะวันตกเกือบใต้ มีทีมฟุตบอลของเมืองชื่อ
ไอน์ทรัค แฟรงก์เฟิร์ต ใกล้เคียงเป็นเมืองไฮเดลเบิร์ก และสตุทท์การ์ท (มีทีมฟุตบอลชื่อ วีเอฟเบ ชตุทท์การ์ท) และเมืองถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งฝากด้วยแม่น้ำไมน์ (Main)
การเดินทางเข้าเมืองไม่ยาก เพราะระบบรถไฟใต้ดินเป็นใยแมงมุมพุ่งไปทั่วเมือง
หรือใครแลดูดีมีกะตังค์ ก็เชิญจับแทกซี่ยี่ห้อเบนซ์ไปเลย คร่าวๆ ประมาณ 33 ยูโรถึงกลางเมือง (คูณด้วย 40 จะเป็นเงินบาท) เร็วทันใจวัยรุ่นโคตร เพราะเยอรมันเป็นประเทศที่ไม่มีลิมิตในการขับรถนะ เหยียบได้เหยียบเอาเลย!!!

เกิดมาเพิ่งเคยได้นั่งรถเบนซ์ก็วันนี้ละจ้ะ หุหุ
ทีนี้มาดูสถานที่จัดงานกันบ้าง
Frankfurt Messe เป็นอาคารแสดงสินค้าขนาดใหญ่โตมโหฬาร ย้ำ!! ว่าใหญ่โตมาก
เพราะเราจะไม่สามารถเดินงานแฟร์ครั้งนี้ได้หมดภายในหนึ่งวัน หรือหมดแน่ ถ้าแค่เดินแบบลวกๆ อ่ะนะ

สัญลักษณ์ของ Frankfurt Messe คือตึกสูงที่มีรูปทรงคล้ายดินสอ เวลานั่งรถไฟมาสังเกตเห็นตึกนี้เมื่อไร เป็นอันลงได้ (ชื่อสถานี Messe)
การเดินทางมาที่นี่ง่ายมาก ไม่ว่าจะพักที่ไหน
ให้ไปเปลี่ยนสายรถได้ที่ฮับใหญ่ของเมือง Frankfurt Hauptbahnhof (HBF)
แล้วต่อสาย S3, S4, S5 หรือ S6 ลงสถานี Messe เลย

สถานีนี้เป็นต้นแบบของสถานีรถไฟหัวลำโพงบ้านเราด้วยนะ


ที่หัวลำโพงแฟรงก์เฟิร์ต เป็นสถานีที่คนควั่กไขว่มากๆ
รถไฟใต้ดินของแฟรงก์เฟิร์ตจะแบ่งเป็นสาย U bahn และ S Bahn แต่ละ U และ S แยกย่อยไปอีก
เช่น U1 U2 U3 ... หรือ S1 S2 S3 ...โดยเจ้า U และ S ก็จะแยกกันวิ่งคนละชานชลา
(คล้ายๆ ที่โตเกียว สายกินซ่าก็วิ่งไป สายยามาโตเนะ ก็วิ่งไป ไม่ยุ่งกัน)
แต่ในหนึ่งชานชลาของ U และ S จะมีรถสาย S1 S2 S3 ... ที่ว่า วิ่งสลับกันมา
ดังนั้นต้องดูให้ดีๆ ว่าสายที่กำลังมาถึงคือสายที่เท่าไร
สถานีบ้านเขาไม่มีเครื่องตรวจตั๋วใดๆ ทั้งสิ้น แต่มีเครื่องซื้อตั๋วตั้งอยู่แถวชานชลา ซึ่งถ้าใครลักไก่แล้วเจอแจ๊คพ็อตนายตรวจก็จะถูกปรับแถมอับอายไปถ้วนทั่วละนะ
ทีนี้เรามาดูภาพผังงานกันบ้าง อย่าตกใจไปนะ

ขอบคุณผังงานจากสมาคมส่งออกฯ
ภายในประกอบด้วยฟอรั่มประมาณ 8 อาคาร แต่ละอาคารก็จะมีชั้น 1 ชั้น 2 ชั้น 3 ก็ว่ากันไป
แต่เอาเข้าจริงๆ ก็จัดงานไม่ถึง 8 อาคารหรอก
ด้านนอกก็มีร้านอาหาร ที่นั่งพักผ่อน เต็มไปหมด อากาศช่วงนั้นก็เรียกได้ว่าหนาวสำหรับเรานะ
อยู่ที่ 5-0 องศา แต่โชคดีที่แดดให้ไปนั่งอาบ
บะหมี่แบบญี่ปุ่น ถ้าเรากินแล้วเอาถ้วยไปคืนเขา ก็จะได้เงินคืนด้วยนะ (จำไม่ได้ว่ากี่ยูโร)
เข้าไปดูในฮอลล์กันบ้าง
ปกติแล้วงานบุ๊คแฟร์ระดับนานาชาติจะเน้นไปที่การขายลิขสิทธิ์กันเสียมากกว่าที่จะขายปลีกแบบบ้านเรา
โดย 3 วันแรกคือการเจรจาซื้อลิขสิทธิ์กัน ก็จะทำการนัดหมายล่วงหน้าเป็นเดือนว่า ฉันอยากจะคุยกะแกนะ หนึ่งเพื่อเป็นการ keep connection สอง เพื่อเป็นการอัพเดตว่ามีงานใหม่ๆ น่าสนใจอะไรบ้าง และวันที่เหลือก็จะเป็นการจำหน่ายให้กับบุคคลทั่วไป (Public Day)
อ้อ! อีกอย่าง งานบุ๊คแฟร์ระดับนานาชาติพวกนี้ ต้องซื้อบัตรเข้าด้วยนะเออ (เหี้ยมมาก!)
มาเริ่มสำรวจงานกันเลยดีกว่า
เริ่มที่ Hall 5 เป็นโซนของอินเตอร์เนชั่นแนล คือชาติต่างๆ ที่ไม่ใช่เยอรมันนั่นเอง และเป็นที่อยู่ของประเทศไทยเราด้วย ^^
ใกล้ๆ Hall พี่ไทย ก็จะเป็น Hall 6 เป็นอินเตอร์เนชั่นแนลเหมือนกัน เพียงแต่ว่า เน้นไปที่นวัตกรรมการพิมพ์ และหนังสือศิลปะเล็กๆ น้อยๆ
อาคารที่น่าสนใจสุด (และเหมาะกับเราสุดเพราะต้องเสาะแสวงหาหนังสือมาแปล ก็ต้องเป็นอาคารสำนักพิมพ์ต่างชาติ ซึ่งเน้นไปที่หนังสือภาษาอังกฤษ (Hall 8) อาคารนี้อยู่ไกลหน่อย เรียกว่าชายขอบจะดีกว่า
เป็นอาคารที่รวบรวมสำนักพิมพ์ดังๆ ระดับพี่บิ๊กไว้ เช่น Wiley, SIMON&SCHUSTER, PENGUIN, McGrawHill, Random House เป็นต้น ใครนัดคุยกับสำนักพิมพ์พวกนี้ สิ่งที่ควรพึงระวังก็คือเผื่อเวลาในการเดินเท้าไปที่อาคารนี้ด้วย ประมาณ 1/2 ชั่วโมง กำลังหอบน้อยๆ ทางที่ดี 1 ชั่วโมงเลยจะชิลล์ๆ

สมมติถ้ามีนัดกับสำนักพิมพ์ เราก็จะต้องไปก่อนเวลาหน่อยแล้วก็ไปลงทะเบียนรายงานตัวว่าฉันมาแล้วนะ!!
ข้ามฟากไปดู Hall 3 ฮอลล์เจ้าบ้าน เป็นหนังสือภาษาเยอรมันล้วนๆ ได้แต่ดูความสวยงามของหนังสือ
และเมี่ยงมองไอเดียการตกแต่งบูทของเขาไป
นวนิยายเล่มล่าสุดของคุณป้าเจ ฉบับภาษาเยอรมัน
เหมือนกำลังจะมีการแจกลายเซ็นพอดี เยอรมันมุงใหญ่เลย
Hall 1 เป็นที่สิงของ Guest of Honor คือในแต่ละปีก็จะมีแขกรับเชิญพิเศษประจำปี ซึ่งปีที่เราไป ประเทศนิวซีแลนด์ได้ตำแหน่งนี้ไป ก็จะมีการแสดงต่างๆ ที่ประเทศเขาอยากจะโชว์
ปิดท้ายด้วย Hall 4 อาคารจิปาถะ มีส่วนสำนักงาน และแผนกช่วยเหลือต่างๆ, เครื่องเขียน, หนังสือลดราคา, หนังสือทำอาหาร, แผนที่ ของเล็กๆน้อยๆ, หนังสืออาร์ตดีไซน์บางส่วน
บูทสำนักพิมพ์ประเภทงานเย็บปักถักร้อย อารมณ์ kate kidston มากๆ
ปิดท้ายด้วยเรื่องเล็กๆ ที่อยากจะแบ่งปันค่ะ
1. อาหารการกินและเครื่องดื่มในงานแพง

ว่าปกติเงินยูโรแพงแล้ว
มาเจอน้ำเปล่าขวดเล็กในงาน หงายเงิบเลยจ้ะ ขวดละ 3 ยูโร!
2. ระยะเวลาในการเดินงานแบบสบายๆ สัก 2-3 วันจะดีมาก ไม่งั้นมีหวังเล็บขบนะเออ
มาดู
นิสัยการอ่านของชาวเยอรมันกันบ้าง
1. ตามข้อมูลของ Germany Publisher and Bookseller Association โดยการเก็บข้อมูลจากการตอบแบบสอบถามชาวเยอรมันหนึ่งหมื่นคน
ที่มีอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป พบว่า ร้อยละ 57 ของชาวเยอรมัน ซื้อหนังสืออย่างน้อย 1 เล่มต่อปี (และในร้อยละ 57 นี้ พบว่าร้อยละ 37 ซื้อหนังสือประมาณ 1-7 เล่ม ต่อปี ร้อยละ 10 ซื้อปีละ 11 เล่ม และร้อยละ 9 ซื้อปีละ 14 เล่ม) และร้อยละ 47 ไม่เคยซื้อหนังสือเลย
2. 9 ใน 10 คน อ่านหนังสืออย่างน้อย 1 เล่มในช่วงปีที่ผ่านมา
ดูๆ ไป ไม่น่าจะต่างจากประเทศไทยเท่าไร...เนอะ ;P
ขอบคุณทุกคนเลยนะ ที่เข้ามาอ่านกันจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้
ตอนหน้า (ถ้าไม่ขี้เกียจ) จะพาไปเที่ยวย่านอื่นๆ ของนครแฟรงก์เฟิร์ตกันนะ
[CR] พาเดินเล่นที่แฟรงก์เฟิร์ต เสนอตอน...ดมกลิ่นหนังสือที่งาน Frankfurt Book Fair 2012
ใหญ่ที่สุดในโลกเลยแหละ
เผื่อว่าปีนี้ใครสนใจะจะไปดูงานกันนะ ^^
นานมาแล้ว เคยมีใครบางคนกรอกหูเอาไว้ว่า...
"คนทำหนังสือต้องไปงานหนังสือระดับโลกอย่าง Frankfurt Book Fair ให้ได้สักครั้งในชีวิต"
แต่ปกติ ถ้าไปเที่ยวที่ไหน หรือดูงานที่ประเทศอะไร เราก็จะชอบเข้าร้านหนังสือของประเทศนั้นๆ อยู่แล้ว (มีใครชอบเดินร้านหนังสือแบบเราบ้างเอ่ย)
แต่เพราะความโชคดี ที่เรามีโอกาสได้ไปเปิดหูเปิดตาเปิดโลกของโลกหนังสือดูบ้าง พร้อมแล้วก็ตามมาเลยจ้า
จากประเทศไทยใช้เวลาบินข้ามน้ำข้ามทะเลผ่านทะเลทรายของผืนดินทวีปแอฟริกาใต้
ไปโผล่ที่สนามบินแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ใช้เวลาทั้งสิ้น 13 ชั่วโมง (ทำไมต้องพยายามขนาดน้านนน)
เรานั่งสายการบินศรีลังกันแอร์ไลน์ไป ต้องไปต่อเครื่องที่โคลัมโบนะ เลยใช้เวลามากกว่าบินตรงไปสามชั่วโมงถ้วน
ูด้านหน้าของสนามบินแฟรงก์เฟิร์ต นับว่าเป็นอีกหนึ่งฮับใหญ่ในการเดินทางต่อไปยังประเทศอื่นๆ ในแถบยุโรป
ข้อมูลของนครแฟรงก์เฟิร์ตบอกว่า เป็นเมืองการค้าและธุรกิจที่สำคัญของประเทศเยอรมนี
ตั้งอยู่ทางตะวันตกเกือบใต้ มีทีมฟุตบอลของเมืองชื่อ ไอน์ทรัค แฟรงก์เฟิร์ต ใกล้เคียงเป็นเมืองไฮเดลเบิร์ก และสตุทท์การ์ท (มีทีมฟุตบอลชื่อ วีเอฟเบ ชตุทท์การ์ท) และเมืองถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งฝากด้วยแม่น้ำไมน์ (Main)
การเดินทางเข้าเมืองไม่ยาก เพราะระบบรถไฟใต้ดินเป็นใยแมงมุมพุ่งไปทั่วเมือง
หรือใครแลดูดีมีกะตังค์ ก็เชิญจับแทกซี่ยี่ห้อเบนซ์ไปเลย คร่าวๆ ประมาณ 33 ยูโรถึงกลางเมือง (คูณด้วย 40 จะเป็นเงินบาท) เร็วทันใจวัยรุ่นโคตร เพราะเยอรมันเป็นประเทศที่ไม่มีลิมิตในการขับรถนะ เหยียบได้เหยียบเอาเลย!!!
เกิดมาเพิ่งเคยได้นั่งรถเบนซ์ก็วันนี้ละจ้ะ หุหุ
ทีนี้มาดูสถานที่จัดงานกันบ้าง
Frankfurt Messe เป็นอาคารแสดงสินค้าขนาดใหญ่โตมโหฬาร ย้ำ!! ว่าใหญ่โตมาก
เพราะเราจะไม่สามารถเดินงานแฟร์ครั้งนี้ได้หมดภายในหนึ่งวัน หรือหมดแน่ ถ้าแค่เดินแบบลวกๆ อ่ะนะ
สัญลักษณ์ของ Frankfurt Messe คือตึกสูงที่มีรูปทรงคล้ายดินสอ เวลานั่งรถไฟมาสังเกตเห็นตึกนี้เมื่อไร เป็นอันลงได้ (ชื่อสถานี Messe)
การเดินทางมาที่นี่ง่ายมาก ไม่ว่าจะพักที่ไหน
ให้ไปเปลี่ยนสายรถได้ที่ฮับใหญ่ของเมือง Frankfurt Hauptbahnhof (HBF)
แล้วต่อสาย S3, S4, S5 หรือ S6 ลงสถานี Messe เลย
สถานีนี้เป็นต้นแบบของสถานีรถไฟหัวลำโพงบ้านเราด้วยนะ
ที่หัวลำโพงแฟรงก์เฟิร์ต เป็นสถานีที่คนควั่กไขว่มากๆ
รถไฟใต้ดินของแฟรงก์เฟิร์ตจะแบ่งเป็นสาย U bahn และ S Bahn แต่ละ U และ S แยกย่อยไปอีก
เช่น U1 U2 U3 ... หรือ S1 S2 S3 ...โดยเจ้า U และ S ก็จะแยกกันวิ่งคนละชานชลา
(คล้ายๆ ที่โตเกียว สายกินซ่าก็วิ่งไป สายยามาโตเนะ ก็วิ่งไป ไม่ยุ่งกัน)
แต่ในหนึ่งชานชลาของ U และ S จะมีรถสาย S1 S2 S3 ... ที่ว่า วิ่งสลับกันมา
ดังนั้นต้องดูให้ดีๆ ว่าสายที่กำลังมาถึงคือสายที่เท่าไร
สถานีบ้านเขาไม่มีเครื่องตรวจตั๋วใดๆ ทั้งสิ้น แต่มีเครื่องซื้อตั๋วตั้งอยู่แถวชานชลา ซึ่งถ้าใครลักไก่แล้วเจอแจ๊คพ็อตนายตรวจก็จะถูกปรับแถมอับอายไปถ้วนทั่วละนะ
ทีนี้เรามาดูภาพผังงานกันบ้าง อย่าตกใจไปนะ
ขอบคุณผังงานจากสมาคมส่งออกฯ
ภายในประกอบด้วยฟอรั่มประมาณ 8 อาคาร แต่ละอาคารก็จะมีชั้น 1 ชั้น 2 ชั้น 3 ก็ว่ากันไป
แต่เอาเข้าจริงๆ ก็จัดงานไม่ถึง 8 อาคารหรอก
ด้านนอกก็มีร้านอาหาร ที่นั่งพักผ่อน เต็มไปหมด อากาศช่วงนั้นก็เรียกได้ว่าหนาวสำหรับเรานะ
อยู่ที่ 5-0 องศา แต่โชคดีที่แดดให้ไปนั่งอาบ
บะหมี่แบบญี่ปุ่น ถ้าเรากินแล้วเอาถ้วยไปคืนเขา ก็จะได้เงินคืนด้วยนะ (จำไม่ได้ว่ากี่ยูโร)
เข้าไปดูในฮอลล์กันบ้าง
ปกติแล้วงานบุ๊คแฟร์ระดับนานาชาติจะเน้นไปที่การขายลิขสิทธิ์กันเสียมากกว่าที่จะขายปลีกแบบบ้านเรา
โดย 3 วันแรกคือการเจรจาซื้อลิขสิทธิ์กัน ก็จะทำการนัดหมายล่วงหน้าเป็นเดือนว่า ฉันอยากจะคุยกะแกนะ หนึ่งเพื่อเป็นการ keep connection สอง เพื่อเป็นการอัพเดตว่ามีงานใหม่ๆ น่าสนใจอะไรบ้าง และวันที่เหลือก็จะเป็นการจำหน่ายให้กับบุคคลทั่วไป (Public Day)
อ้อ! อีกอย่าง งานบุ๊คแฟร์ระดับนานาชาติพวกนี้ ต้องซื้อบัตรเข้าด้วยนะเออ (เหี้ยมมาก!)
มาเริ่มสำรวจงานกันเลยดีกว่า
เริ่มที่ Hall 5 เป็นโซนของอินเตอร์เนชั่นแนล คือชาติต่างๆ ที่ไม่ใช่เยอรมันนั่นเอง และเป็นที่อยู่ของประเทศไทยเราด้วย ^^
ใกล้ๆ Hall พี่ไทย ก็จะเป็น Hall 6 เป็นอินเตอร์เนชั่นแนลเหมือนกัน เพียงแต่ว่า เน้นไปที่นวัตกรรมการพิมพ์ และหนังสือศิลปะเล็กๆ น้อยๆ
อาคารที่น่าสนใจสุด (และเหมาะกับเราสุดเพราะต้องเสาะแสวงหาหนังสือมาแปล ก็ต้องเป็นอาคารสำนักพิมพ์ต่างชาติ ซึ่งเน้นไปที่หนังสือภาษาอังกฤษ (Hall 8) อาคารนี้อยู่ไกลหน่อย เรียกว่าชายขอบจะดีกว่า
เป็นอาคารที่รวบรวมสำนักพิมพ์ดังๆ ระดับพี่บิ๊กไว้ เช่น Wiley, SIMON&SCHUSTER, PENGUIN, McGrawHill, Random House เป็นต้น ใครนัดคุยกับสำนักพิมพ์พวกนี้ สิ่งที่ควรพึงระวังก็คือเผื่อเวลาในการเดินเท้าไปที่อาคารนี้ด้วย ประมาณ 1/2 ชั่วโมง กำลังหอบน้อยๆ ทางที่ดี 1 ชั่วโมงเลยจะชิลล์ๆ
สมมติถ้ามีนัดกับสำนักพิมพ์ เราก็จะต้องไปก่อนเวลาหน่อยแล้วก็ไปลงทะเบียนรายงานตัวว่าฉันมาแล้วนะ!!
ข้ามฟากไปดู Hall 3 ฮอลล์เจ้าบ้าน เป็นหนังสือภาษาเยอรมันล้วนๆ ได้แต่ดูความสวยงามของหนังสือ
และเมี่ยงมองไอเดียการตกแต่งบูทของเขาไป
นวนิยายเล่มล่าสุดของคุณป้าเจ ฉบับภาษาเยอรมัน
เหมือนกำลังจะมีการแจกลายเซ็นพอดี เยอรมันมุงใหญ่เลย
Hall 1 เป็นที่สิงของ Guest of Honor คือในแต่ละปีก็จะมีแขกรับเชิญพิเศษประจำปี ซึ่งปีที่เราไป ประเทศนิวซีแลนด์ได้ตำแหน่งนี้ไป ก็จะมีการแสดงต่างๆ ที่ประเทศเขาอยากจะโชว์
ปิดท้ายด้วย Hall 4 อาคารจิปาถะ มีส่วนสำนักงาน และแผนกช่วยเหลือต่างๆ, เครื่องเขียน, หนังสือลดราคา, หนังสือทำอาหาร, แผนที่ ของเล็กๆน้อยๆ, หนังสืออาร์ตดีไซน์บางส่วน
บูทสำนักพิมพ์ประเภทงานเย็บปักถักร้อย อารมณ์ kate kidston มากๆ
ปิดท้ายด้วยเรื่องเล็กๆ ที่อยากจะแบ่งปันค่ะ
1. อาหารการกินและเครื่องดื่มในงานแพง
มาเจอน้ำเปล่าขวดเล็กในงาน หงายเงิบเลยจ้ะ ขวดละ 3 ยูโร!
2. ระยะเวลาในการเดินงานแบบสบายๆ สัก 2-3 วันจะดีมาก ไม่งั้นมีหวังเล็บขบนะเออ
มาดูนิสัยการอ่านของชาวเยอรมันกันบ้าง
1. ตามข้อมูลของ Germany Publisher and Bookseller Association โดยการเก็บข้อมูลจากการตอบแบบสอบถามชาวเยอรมันหนึ่งหมื่นคน
ที่มีอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป พบว่า ร้อยละ 57 ของชาวเยอรมัน ซื้อหนังสืออย่างน้อย 1 เล่มต่อปี (และในร้อยละ 57 นี้ พบว่าร้อยละ 37 ซื้อหนังสือประมาณ 1-7 เล่ม ต่อปี ร้อยละ 10 ซื้อปีละ 11 เล่ม และร้อยละ 9 ซื้อปีละ 14 เล่ม) และร้อยละ 47 ไม่เคยซื้อหนังสือเลย
2. 9 ใน 10 คน อ่านหนังสืออย่างน้อย 1 เล่มในช่วงปีที่ผ่านมา
ดูๆ ไป ไม่น่าจะต่างจากประเทศไทยเท่าไร...เนอะ ;P
ขอบคุณทุกคนเลยนะ ที่เข้ามาอ่านกันจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้
ตอนหน้า (ถ้าไม่ขี้เกียจ) จะพาไปเที่ยวย่านอื่นๆ ของนครแฟรงก์เฟิร์ตกันนะ