อยากสอบถามความคิดเห็นจากคนทั่วไปหน่อยครับ ว่าท่าน “มอง” คนวัยทำงานอย่างผมคนนี้ว่า “มั่นคง” หรือยัง
จริงๆแล้ว ที่มาของการอยากรู้นี่ ไม่ใช่อะไรครับ พอดีวันก่อนนั่งคุยกับที่บ้านระหว่างมื้อเย็น ก็คุยกับคุณพ่อคุณแม่ผม ท่านก็เล่าชีวิตของเพื่อนๆของท่านแต่ละคนที่มีลูกอยู่ในวัยเดียวกันกับผม
ซึ่งแต่ละคนนั้น ส่วนใหญ่ทำกิจการส่วนตัว หรือรับช่วงจากที่บ้านมาทำต่อทั้งนั้นครับ มีแค่ส่วนน้อยที่ทำงานประจำเหมือนผม
พอได้นั่งฟังเรื่องราวของแต่ละคน ผมก็ หูวว ทำไมรวยกันจังอ่ะ??
ซึ่งเอาจริงๆก็ไม่แปลก ก็แต่ละคน ลูกเจ้าของ หรือ เป็นเจ้าของเองซะทั้งนั้นนี่นา
แล้วตัวผมเองล่ะ จะเปรียบเทียบกับใคร ก็ในเมื่อผมทำงานประจำ ตอนนี้ผมอยู่ตรงจุดไหนแล้ว?
นี่คือที่มาของการอยากรู้ครับว่าคนภายนอก “มอง” คน สถานะอย่างผมอย่างไร
เริ่มเลยนะครับ
ผมเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ครับ ไม่มีพี่น้อง เลยค่อยข้างเป็นคนที่คิดเองและลงมือทำเองอยู่ตลอด ค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวเองพอสมควร แต่ก็ติดนิดสัยค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง และ (แอบ) เกเร อยู่นิดๆ
ตอนมัธยมปลาย คุณพ่อคุณแม่ส่งผมไปอยู่ต่างประเทศ ไปอยู่ homestay เรียนจนสามารถเข้ามหาลัยได้ ก็เรียนต่อมหาลัย
คือ ถึงผมจะเกเรก็จริง แต่ถ้าเวลาผมเรียน ผมตั้งใจเรียนครับ ไม่เข้าใจ ถาม ไม่เข้าใจ ถามอาจารย์อยู่ตลอด
คราวนี้เนี่ย คือโดยพื้นฐานแล้ว ทางบ้านผม ถึงจะไม่ใช่ครอบครัวที่รวยหรือมีเงินมากขนาดนั้น แต่ก็มีกินมีใช้ไม่ขัดสนครับ
ตรงนี้คือจุดเริ่มต้นของการเก็บเงินของผมครับ คุณพ่อคุณแม่ส่งให้ ผมก็ใช้ แต่ใช้แบบสุดประหยัดเลย ผมไม่เคยซื้อรถ ไม่เคยซื้อสกู๊ดเตอร์
ระหว่างที่อยู่ต่างประเทศ แต่ผมมี อืม เค้าเรียกว่าอะไรอ่ะ ที่มันมีแฮนด์จับเหมือนจักรยาน แต่ต้องยืนและใช้เท้าข้างนึงยืนบนบอร์ด อีกข้างไถๆพื้นให้ตัวเองเคลื่อนไปข้างหน้าได้ นั่นแหละ พาหนะประจำตัวผมหลายๆปีที่อยู่ที่นั่น
ผมเป็นคนที่ก่อนไปอยู่ต่างประเทศ ไม่เคยทำอาหารทานเอง แต่พอไปอยู่ปุ๊บ จะซื้อทานบ่อยๆมันก็ไม่ใช่ ผมเริ่มหัดทำอาหาร และทำทีเดียว ทำเยอะ เอาไว้ทานหลายๆวัน ผมเป็นคนที่ชอบทานของที่ตัวเองชอบซ้ำๆกันหลายๆวันครับ ซึ่งตรงจุดนี้ ผมประหยัดเงินไปพอสมควร เวลากลับเมืองไทยที คุณพ่อคุณแม่ผมไม่รู้หรอกว่าผมมีเงินเหลือจากที่ท่านให้มาขนาดนั้น แต่ผมก็เอามาเปิดบัญชีไว้เป็นของส่วนตัวเองอีก 2 – 3 บัญชี ที่ไม่อยากใช้บัญชีที่มีอยู่แล้ว เพราะคุณพ่อคุณแม่ผมเช็คได้ครับ (555) กลัวโดนยึดเงินคืน

ซึ่งผมไปเรียนตั้งแต่มัธยมปลายจนจบปริญญาโท พอจบกลับเมืองไทย ตอนนั้นผมมีเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำมากๆ
กลับมาที่เรื่องเรียน ผมเรียนมาทางสายวิทย์คอมครับแล้วมาต่อบริหาร พอจบมา ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะไปทำงานอะไร ก็สมัครไปเรื่อยเปื่อย หว่านไปเรื่อยๆ ระหว่างที่หว่านใบสมัครนั้น มีเพื่อนมาชวนเปิดร้านเสื้อผ้าครับ เปิดที่ platinum พอดีเพื่อนไปได้ล็อคมา (ด้วยความสามารถของมัน)
ก็หุ้นกันครับ 3 คน ค่าเช่ามหาโหด แต่กำไรก็ดีครับ จะว่าไป อันนี้ถือเป็นงานแรกที่ผมจับเลยก็ว่าได้
ทำอยู่ซักพัก จนวันนึงมี HR จากธนาคารแห่งหนึ่งติดต่อไปให้ไปสัมภาษณ์ สัมภาษณ์เช้า รับบ่ายเลยครับ ตอนนั้นดีใจมาก เพราะอยากทำงานประจำ คุณพ่อคุณแม่จะได้เลิกบ่น
ผมเริ่มงานธนาคารในตำแหน่ง support ระบบ เงินเดือนเดือนสตาร์ทที่ 28,000 บวกค่าครองชีพอีก 3,000 เบ็ดเสร็จก็ สามหมื่นนิดๆ (วุฒิปริญญาโทต่างประเทศครับ)
ตอนนั้นผมอายุ 24 ครับวันธรรมดาทำงานประจำ ตอนกลางคืนดูเงินเข้าเงินออกของร้าน วันเสาร์อาทิตย์เข้าร้าน
ยอมรับว่าเหนื่อยมาก แต่ผมชอบดูตัวเลขในบัญชีมันโตขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยยอมเหนื่อยตอนนี้ดีกว่า ตอนแก่จะได้สบาย
ลืมบอกไป พอได้เข้ามาทำงานธนาคารแห่งนี้ ก็เริ่มเรียนรู้เรื่องหุ้น เรื่องกองทุนต่างๆ จนเริ่มมีการหัดลงทุน ก็ลงทุนมาเรื่อยๆครับ ทำมาได้เท่าไหร่ โบนัสมา เก็บหมด ออมอย่างเดียว ผมเป็นคนดื่มเหล้านะ แต่ไม่ชอบเที่ยวกลางคืน คือ ยังไงดีล่ะ เอาเป็นว่าชอบดื่มชิวๆอยู่บ้านครับ ^^
ก็ทำอยู่ที่ธนาคารนี้หลายปี จบมาได้ offer ที่ใหม่ ก็ยังคงเป็นงานธนาคารเหมือนเดิมครับ แต่คราวนี้เป็นธนาคารต่างชาติ
เงินเดือนขยับขึ้นมาหน่อยเป็น 4 หมื่นนิดๆ ทำตำแหน่ง PM ดูแลระบบ Payment ของธนาคาร
ก็ทำอยู่ได้พักใหญ่ๆ จู่ๆมีคนมาเสนอให้ไปเป็น consultant ของบริษัทข้ามชาติที่นึง เป็นของ New Zealand
จุดเปลี่ยนมันอยู่ตรงนี้เลยครับ เจ้าของบริษัทมาสัมภาษณ์ผมเองเลย เงินเดือนผมก้าวกระโดดมาจาก 4 หมื่นนิดๆ มาเป็น 6 หมื่นกว่าๆ ไม่รวม OT ตอนนั้นถูกส่งไปเป็น consultant ประจำโรงพยาบาลกรุงเทพฯ ดูแลเรื่องระบบควบคุม cost ต่างๆ
แต่ทำอยู่ได้ 3 เดือนครับ ลาออก 555 เนิ่องจากผมไม่เหมาะกับวัฒนธรรมองค์กรนี้เท่าไหร่ (องค์กรไม่ผิดครับ ปัญหาอยู่ที่ผมเอง)
ก็ออกมาหางานใหม่ คราวนี้ มาได้เป็น consultant ของบริษัทแถวสาทร ก็กลับมา consult ให้กับลูกค้ากลุ่มธนาคารเหมือนเดิม คราวนี้ถูกส่งไปประจำหลายที่มากๆ ก็เหนื่อยมากครับ วันเสาร์อาทิตย์ทำงานด้วยบางครั้ง ยิ่งเวลามีระบบ Go Live นี่ ไม่ต้องนอนกันเลยครับ
ถึงตอนนี้ ร้านเสื้อผ้าของผมตอนนี้ มี 2 ร้านแล้วครับ ที่ platinum และที่ตลาดลุงเพิ่มหลังการบินไทย
ที่หลังการบินไทยเนี่ย ค่าเช่าเบาๆครับ ขนมๆ แต่ล็อคเล็กมากกกกก เอาเป็นว่ามีลูกค้าแค่ 2 คนร้านก็ไม่มีที่เดินแล้วอ่ะ เจ้าของร้านต้องออกมายืนข้างนอก 555
ผมทำ consultant อยู่ที่ใหม่นี่ประมาณ 1 ปี ตอนนั้นอายุ 29
มีอยู่วันนึง เปิด www.jobsdb.com ที่โต๊ะที่ทำงาน consult นี่แหละ 555 แล้วก็ไปเจอตำแหน่งผู้บริหารฝ่าย electronic banking
อยากทำครับ ใจจริงเป็นคนชอบทำงานอยู่กับที่ ไม่ชอบถูกส่งไปประจำที่อื่นๆ แถมเป็นระบบ payment ที่ผมมีประสบการ์ด้วย
สรุป สมัครครับ 555 (ตามฟอร์ม)
ธนาคารที่ผมสมัครก็ยังเป็นธนาคารต่างชาติครับ แต่คราวนี้ สัมภาษณ์ถึง 3 รอบ
HR 1 รอบ
ผู้บริหารสายงาน 1 รอบ และ ผู้บริหารระดับสูงอีก 1 รอบ
สรุป ผมได้ทำงานที่นี่ครับ (เย้!)
และที่นี่ ก็คือที่ๆผมยังทำงานอยู่ทุกวันนี้ในระดับผู้อำนวยการฝ่าย
สรุปนะครับ
ความมั่นคง (ที่ผมคิดว่าผมมี) คือตามนี้ครับ
ผมมีงานประจำทำ ในระดับบริหาร เงินเดือนตอนนี้ xxx,xxx (หักภาษีแล้ว)
ผมมีรายได้เสริม (ที่ไม่แน่นอน) จากร้านเสื้อผ้า (ปัจจุบัน เหลือร้านเดียวแล้ว) อีกก็ใกล้เคียงกับรายได้จากงานประจำ
ผมมีกองทุนอยู่ประมาณ 5 แสน สลากออมสินอีกพอๆกัน
เงินสด มีครับ เน้นที่ออมทรัพย์กับฝากประจำ มีฝากอยู่แค่ 2 แบงก์เท่านั้นครับ
ผมมีคอนโดที่ซื้อเงินสดไว้เมื่อปี 2010 สนนราคา ขออนุญาติไม่บอก แต่เพื่อนสนิทมักจะบอกว่า ราคาขนาดนี้ รวยอย่างเดียวซื้อไม่ได้ ต้องโง่ด้วย 555

ก็ซื้อเอง อยู่เองคนเดียว สบายๆครับ
ต้นปีที่ผ่านมา ผมก็เพิ่งซื้อรถ 1 คัน เป็นเงินสดเช่นกัน ยี่ห้อเคยเป็นของยุโรป ตอนนี้ถูกพี่จีนซื้อแบรนด์ไปครับ 555
สรุป ตอนนี้ ผมไม่มีหนี้สินครับ ไม่มีเลย ตอนนี้เก็บเงินไว้ใช้ในอนาคต, ตอนแก่ หรือ เผื่อฉุกเฉินอย่างเดียวครับ
ขอสอบถามความเห็นหน่อยครับว่า วัยอย่างผมตอนนี้ (32) กับทรัพย์สินที่ผมมีอยู่ บวกตำแหน่งหน้าที่ ที่กำลังทำ ผมอยู่ตรงจุดไหนแล้ว ผมถือว่าโอเคหรือยังครับ อยากรู้ความเห็นจากสังคมจริงๆครับ
ขอบคุณครับ
ท่านมองว่าอย่างผมนี่ "มั่นคง" แล้ว หรือ "ยังอีกไกล" ครับ?
จริงๆแล้ว ที่มาของการอยากรู้นี่ ไม่ใช่อะไรครับ พอดีวันก่อนนั่งคุยกับที่บ้านระหว่างมื้อเย็น ก็คุยกับคุณพ่อคุณแม่ผม ท่านก็เล่าชีวิตของเพื่อนๆของท่านแต่ละคนที่มีลูกอยู่ในวัยเดียวกันกับผม
ซึ่งแต่ละคนนั้น ส่วนใหญ่ทำกิจการส่วนตัว หรือรับช่วงจากที่บ้านมาทำต่อทั้งนั้นครับ มีแค่ส่วนน้อยที่ทำงานประจำเหมือนผม
พอได้นั่งฟังเรื่องราวของแต่ละคน ผมก็ หูวว ทำไมรวยกันจังอ่ะ??
ซึ่งเอาจริงๆก็ไม่แปลก ก็แต่ละคน ลูกเจ้าของ หรือ เป็นเจ้าของเองซะทั้งนั้นนี่นา
แล้วตัวผมเองล่ะ จะเปรียบเทียบกับใคร ก็ในเมื่อผมทำงานประจำ ตอนนี้ผมอยู่ตรงจุดไหนแล้ว?
นี่คือที่มาของการอยากรู้ครับว่าคนภายนอก “มอง” คน สถานะอย่างผมอย่างไร
เริ่มเลยนะครับ
ผมเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ครับ ไม่มีพี่น้อง เลยค่อยข้างเป็นคนที่คิดเองและลงมือทำเองอยู่ตลอด ค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวเองพอสมควร แต่ก็ติดนิดสัยค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง และ (แอบ) เกเร อยู่นิดๆ
ตอนมัธยมปลาย คุณพ่อคุณแม่ส่งผมไปอยู่ต่างประเทศ ไปอยู่ homestay เรียนจนสามารถเข้ามหาลัยได้ ก็เรียนต่อมหาลัย
คือ ถึงผมจะเกเรก็จริง แต่ถ้าเวลาผมเรียน ผมตั้งใจเรียนครับ ไม่เข้าใจ ถาม ไม่เข้าใจ ถามอาจารย์อยู่ตลอด
คราวนี้เนี่ย คือโดยพื้นฐานแล้ว ทางบ้านผม ถึงจะไม่ใช่ครอบครัวที่รวยหรือมีเงินมากขนาดนั้น แต่ก็มีกินมีใช้ไม่ขัดสนครับ
ตรงนี้คือจุดเริ่มต้นของการเก็บเงินของผมครับ คุณพ่อคุณแม่ส่งให้ ผมก็ใช้ แต่ใช้แบบสุดประหยัดเลย ผมไม่เคยซื้อรถ ไม่เคยซื้อสกู๊ดเตอร์
ระหว่างที่อยู่ต่างประเทศ แต่ผมมี อืม เค้าเรียกว่าอะไรอ่ะ ที่มันมีแฮนด์จับเหมือนจักรยาน แต่ต้องยืนและใช้เท้าข้างนึงยืนบนบอร์ด อีกข้างไถๆพื้นให้ตัวเองเคลื่อนไปข้างหน้าได้ นั่นแหละ พาหนะประจำตัวผมหลายๆปีที่อยู่ที่นั่น
ผมเป็นคนที่ก่อนไปอยู่ต่างประเทศ ไม่เคยทำอาหารทานเอง แต่พอไปอยู่ปุ๊บ จะซื้อทานบ่อยๆมันก็ไม่ใช่ ผมเริ่มหัดทำอาหาร และทำทีเดียว ทำเยอะ เอาไว้ทานหลายๆวัน ผมเป็นคนที่ชอบทานของที่ตัวเองชอบซ้ำๆกันหลายๆวันครับ ซึ่งตรงจุดนี้ ผมประหยัดเงินไปพอสมควร เวลากลับเมืองไทยที คุณพ่อคุณแม่ผมไม่รู้หรอกว่าผมมีเงินเหลือจากที่ท่านให้มาขนาดนั้น แต่ผมก็เอามาเปิดบัญชีไว้เป็นของส่วนตัวเองอีก 2 – 3 บัญชี ที่ไม่อยากใช้บัญชีที่มีอยู่แล้ว เพราะคุณพ่อคุณแม่ผมเช็คได้ครับ (555) กลัวโดนยึดเงินคืน
กลับมาที่เรื่องเรียน ผมเรียนมาทางสายวิทย์คอมครับแล้วมาต่อบริหาร พอจบมา ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะไปทำงานอะไร ก็สมัครไปเรื่อยเปื่อย หว่านไปเรื่อยๆ ระหว่างที่หว่านใบสมัครนั้น มีเพื่อนมาชวนเปิดร้านเสื้อผ้าครับ เปิดที่ platinum พอดีเพื่อนไปได้ล็อคมา (ด้วยความสามารถของมัน)
ก็หุ้นกันครับ 3 คน ค่าเช่ามหาโหด แต่กำไรก็ดีครับ จะว่าไป อันนี้ถือเป็นงานแรกที่ผมจับเลยก็ว่าได้
ทำอยู่ซักพัก จนวันนึงมี HR จากธนาคารแห่งหนึ่งติดต่อไปให้ไปสัมภาษณ์ สัมภาษณ์เช้า รับบ่ายเลยครับ ตอนนั้นดีใจมาก เพราะอยากทำงานประจำ คุณพ่อคุณแม่จะได้เลิกบ่น
ผมเริ่มงานธนาคารในตำแหน่ง support ระบบ เงินเดือนเดือนสตาร์ทที่ 28,000 บวกค่าครองชีพอีก 3,000 เบ็ดเสร็จก็ สามหมื่นนิดๆ (วุฒิปริญญาโทต่างประเทศครับ)
ตอนนั้นผมอายุ 24 ครับวันธรรมดาทำงานประจำ ตอนกลางคืนดูเงินเข้าเงินออกของร้าน วันเสาร์อาทิตย์เข้าร้าน
ยอมรับว่าเหนื่อยมาก แต่ผมชอบดูตัวเลขในบัญชีมันโตขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยยอมเหนื่อยตอนนี้ดีกว่า ตอนแก่จะได้สบาย
ลืมบอกไป พอได้เข้ามาทำงานธนาคารแห่งนี้ ก็เริ่มเรียนรู้เรื่องหุ้น เรื่องกองทุนต่างๆ จนเริ่มมีการหัดลงทุน ก็ลงทุนมาเรื่อยๆครับ ทำมาได้เท่าไหร่ โบนัสมา เก็บหมด ออมอย่างเดียว ผมเป็นคนดื่มเหล้านะ แต่ไม่ชอบเที่ยวกลางคืน คือ ยังไงดีล่ะ เอาเป็นว่าชอบดื่มชิวๆอยู่บ้านครับ ^^
ก็ทำอยู่ที่ธนาคารนี้หลายปี จบมาได้ offer ที่ใหม่ ก็ยังคงเป็นงานธนาคารเหมือนเดิมครับ แต่คราวนี้เป็นธนาคารต่างชาติ
เงินเดือนขยับขึ้นมาหน่อยเป็น 4 หมื่นนิดๆ ทำตำแหน่ง PM ดูแลระบบ Payment ของธนาคาร
ก็ทำอยู่ได้พักใหญ่ๆ จู่ๆมีคนมาเสนอให้ไปเป็น consultant ของบริษัทข้ามชาติที่นึง เป็นของ New Zealand
จุดเปลี่ยนมันอยู่ตรงนี้เลยครับ เจ้าของบริษัทมาสัมภาษณ์ผมเองเลย เงินเดือนผมก้าวกระโดดมาจาก 4 หมื่นนิดๆ มาเป็น 6 หมื่นกว่าๆ ไม่รวม OT ตอนนั้นถูกส่งไปเป็น consultant ประจำโรงพยาบาลกรุงเทพฯ ดูแลเรื่องระบบควบคุม cost ต่างๆ
แต่ทำอยู่ได้ 3 เดือนครับ ลาออก 555 เนิ่องจากผมไม่เหมาะกับวัฒนธรรมองค์กรนี้เท่าไหร่ (องค์กรไม่ผิดครับ ปัญหาอยู่ที่ผมเอง)
ก็ออกมาหางานใหม่ คราวนี้ มาได้เป็น consultant ของบริษัทแถวสาทร ก็กลับมา consult ให้กับลูกค้ากลุ่มธนาคารเหมือนเดิม คราวนี้ถูกส่งไปประจำหลายที่มากๆ ก็เหนื่อยมากครับ วันเสาร์อาทิตย์ทำงานด้วยบางครั้ง ยิ่งเวลามีระบบ Go Live นี่ ไม่ต้องนอนกันเลยครับ
ถึงตอนนี้ ร้านเสื้อผ้าของผมตอนนี้ มี 2 ร้านแล้วครับ ที่ platinum และที่ตลาดลุงเพิ่มหลังการบินไทย
ที่หลังการบินไทยเนี่ย ค่าเช่าเบาๆครับ ขนมๆ แต่ล็อคเล็กมากกกกก เอาเป็นว่ามีลูกค้าแค่ 2 คนร้านก็ไม่มีที่เดินแล้วอ่ะ เจ้าของร้านต้องออกมายืนข้างนอก 555
ผมทำ consultant อยู่ที่ใหม่นี่ประมาณ 1 ปี ตอนนั้นอายุ 29
มีอยู่วันนึง เปิด www.jobsdb.com ที่โต๊ะที่ทำงาน consult นี่แหละ 555 แล้วก็ไปเจอตำแหน่งผู้บริหารฝ่าย electronic banking
อยากทำครับ ใจจริงเป็นคนชอบทำงานอยู่กับที่ ไม่ชอบถูกส่งไปประจำที่อื่นๆ แถมเป็นระบบ payment ที่ผมมีประสบการ์ด้วย
สรุป สมัครครับ 555 (ตามฟอร์ม)
ธนาคารที่ผมสมัครก็ยังเป็นธนาคารต่างชาติครับ แต่คราวนี้ สัมภาษณ์ถึง 3 รอบ
HR 1 รอบ
ผู้บริหารสายงาน 1 รอบ และ ผู้บริหารระดับสูงอีก 1 รอบ
สรุป ผมได้ทำงานที่นี่ครับ (เย้!)
และที่นี่ ก็คือที่ๆผมยังทำงานอยู่ทุกวันนี้ในระดับผู้อำนวยการฝ่าย
สรุปนะครับ
ความมั่นคง (ที่ผมคิดว่าผมมี) คือตามนี้ครับ
ผมมีงานประจำทำ ในระดับบริหาร เงินเดือนตอนนี้ xxx,xxx (หักภาษีแล้ว)
ผมมีรายได้เสริม (ที่ไม่แน่นอน) จากร้านเสื้อผ้า (ปัจจุบัน เหลือร้านเดียวแล้ว) อีกก็ใกล้เคียงกับรายได้จากงานประจำ
ผมมีกองทุนอยู่ประมาณ 5 แสน สลากออมสินอีกพอๆกัน
เงินสด มีครับ เน้นที่ออมทรัพย์กับฝากประจำ มีฝากอยู่แค่ 2 แบงก์เท่านั้นครับ
ผมมีคอนโดที่ซื้อเงินสดไว้เมื่อปี 2010 สนนราคา ขออนุญาติไม่บอก แต่เพื่อนสนิทมักจะบอกว่า ราคาขนาดนี้ รวยอย่างเดียวซื้อไม่ได้ ต้องโง่ด้วย 555
ต้นปีที่ผ่านมา ผมก็เพิ่งซื้อรถ 1 คัน เป็นเงินสดเช่นกัน ยี่ห้อเคยเป็นของยุโรป ตอนนี้ถูกพี่จีนซื้อแบรนด์ไปครับ 555
สรุป ตอนนี้ ผมไม่มีหนี้สินครับ ไม่มีเลย ตอนนี้เก็บเงินไว้ใช้ในอนาคต, ตอนแก่ หรือ เผื่อฉุกเฉินอย่างเดียวครับ
ขอสอบถามความเห็นหน่อยครับว่า วัยอย่างผมตอนนี้ (32) กับทรัพย์สินที่ผมมีอยู่ บวกตำแหน่งหน้าที่ ที่กำลังทำ ผมอยู่ตรงจุดไหนแล้ว ผมถือว่าโอเคหรือยังครับ อยากรู้ความเห็นจากสังคมจริงๆครับ
ขอบคุณครับ