เกร็ดสามก๊ก ๑๖ ก.ย.๕๖

กระทู้สนทนา
เกร็ดสามก๊ก

ขุนพลเมืองใต้

ตอนที่ ๒ แค้นยังมิได้ชำระ

เล่าเซี่ยงชุน

ต่อมาเมื่อโจโฉยกกองทัพใหญ่โตมาตีเมืองกังตั๋ง และแตกพ่ายไปอย่างยับเยินนั้น นายทหารเอกของซุนกวนก็ได้แสดงฝีมือกันหลายคน

อุยกายยอมเจ็บตัวโดยให้จิวยี่เฆี่ยนจนหลังลาย เพื่อให้ไส้ศึกของโจโฉเชื่อ แล้วก็ทำหนังสือให้งำเต๊กถือไปสมัครอยู่กับโจโฉ เมื่อถึงเวลานัดก็นำเรือเชื้อเพลิงแล่นไปหาโจโฉ เพื่อจุดไฟเผากองทัพเรือของโจโฉ โดยมีเรือรบของกังตั๋งคุมขบวนโดย ฮันต๋ง จิวท่าย เจียวขิม และตันบู คนละสามร้อยลำคอยป้องกันเมื่ออุยกายเข้าไปจุดไฟ แล้วนำกำลังเข้าตีกองทัพเรือของโจโฉพร้อมกัน

กำเหลงก็คุมทหารบกไปปล้นเสบียงของโจโฉที่ตำบลฮัวหลิม ลิบองเป็นกองหนุนของกำเหลง ไทสูจู้ก็ยกไปดักทหารโจโฉที่ตำบลหับป๋ากันไม่ให้ทัพบกของโจโฉยกมาช่วยทัพเรือ เล่งทองก็ไปดักโจโฉที่ตำบลอิเหลง ตังสิดก็ยกทหารไปปล้นค่ายของโจโฉที่ริมแม่น้ำฮันฉวน ส่วนพัวเจี้ยงยกทหารไปดักอยู่ทางที่จะไปเมืองฮันหยง คอยหนุนช่วยตังสิด

ทั้งหมดนั้นเป็นการวางแผนและสั่งการ โดยจิวยี่แม่ทัพใหญ่ทั้งสิ้น และตนเองกับเทียเภาก็คุมเรือกองหลวง เตงฮองกับชีเซ่งเป็นกองเรือปีกซ้ายขวา กับได้นัดหมายกับซุนกวนซึ่งเป็นกองหลวงทัพบก และมีลกซุนเป็นกองหน้า ยกหนุนไปทางตำบลอุยเต้

ดังนั้นเมื่ออุยกายเอาเรือเชื้อเพลิงไปเผากองทัพเรือโจโฉได้สำเร็จ กองทหารของจิวยี่บนบก ก็ลงมือเข้าตีตามแผนพร้อมกันทุกตำบล แต่ตัวอุยกายถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์ตกน้ำ ดีที่ฮันต๋งตามมาทันจึงช่วยลากขึ้นเรือ แล้วชักลูกเกาทัณฑ์ออกจากไหล่ได้ แต่หัวเกาทัณฑ์หักติดเนื้ออยู่ ฮันต๋งจึงเอากระบี่ผ่าดึงหัวเกาทัณฑ์ออกได้ และเอาผ้าพันบาดแผลไว้ กับถอดเสื้อของตนให้อุยการใส่แก้หนาว อุยกายจึงรอดไปได้

แล้วกองเรือทั้งหมดของกังตั๋งก็เข้าโจมตีกองทัพเรืออันใหญ่โตของ โจโฉที่กำลังวุ่นวายดับไฟอยู่ จนแตกกระเจิงไปหมด บ้างก็ถูกฆ่าตาย บ้างก็ตกน้ำตาย บ้างก็ถูกไฟคลอกตาย จิวยี่จึงได้ชัยชนะโดยเด็ดขาด

ตัวโจโฉกับนายทหารเอกและคนสนิท ที่หนีไปทางบก ก็โดนลิบองกับเล่งทองไล่ต้อนก็หนีไปจนเจอกับกำเหลง แม้จะมีทหารเอกมาช่วยโจโฉอีกสองคน ก็ถูกกำเหลงฆ่าตายทั้งคู่ จนต้องหนีเตลิดไปอีกทาง ก็พบทหารเอกของเล่าปี่ดักอยู่ตลอดทาง สุดท้ายได้พบกับกวนอู ซึ่งระลึกถึงอุปการคุณของโจโฉเมื่อครั้งก่อน จึงปล่อยให้ โจโฉรอดชีวิตไปได้ในที่สุด

ศึกทางเมืองกังตั๋งสงบเงียบอยู่ได้ห้าหกปี จนโจโฉ บำรุงกำลังทหารได้เข้มแข็งดีแล้ว ก็ยกทัพไปตีเมืองกังตั๋งอีก เป็นการแก้ตัว ซุนกวนก็ยกกองทัพออกมาป้องกันเมืองที่ตำบลปากน้ำญี่สู เมื่อสองแม่ทัพมาพบกัน ซุนกวนก็ชี้หน้าว่าโจโฉ

“ มหาอุปราชเป็นใหญ่อยู่ในเมืองหลวง ประกอบด้วยยศศฤงคารบริวารเป็นอันมาก มีความสุขดุจหนึ่งอยู่ในวิมาน ควรหรือยังมิอิ่มใจอีกเล่า ลุอำนาจแก่โลภ มิได้พิเคราะห์ด้วยปัญญาให้เป็นธรรม ยกทหารมาจะทำร้ายแก่เราไม่สมควรเลย “

โจโฉก็ตอบว่า

“ ซึ่งเรายกทหารมาทั้งนี้ ใช่จะมีความปรารถนาสมบัติของท่านนั้นหามิได้ ด้วยตัวท่านอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วมิได้มีกตัญญูต่อเจ้า แข็งเมืองไว้มิได้ไปอ่อนน้อม พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงให้เรายกกองทัพมาจับตัวท่าน “

ซุนกวนก็หัวเราะเยาะเอาว่า

“ ท่านเจรจาฉะนี้หามีความอายไม่ ตัวเราอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้นี้ ใช่จะไม่มีกตัญญูนั้นหาไม่ ผู้ใดมิได้ปรากฏว่าเราเป็นขบถต่อแผ่นดิน ได้ยินแต่เขาเล่าลือกันว่า ท่านอีกล่วงบังคับขุนนางทั้งปวง มีใจกำเริบคิดการใหญ่หลวงหยาบช้าต่อเจ้า เรามีน้ำใจเจ็บร้อนด้วยคิดจะกำจัดศัตรูแผ่นดินเสีย “

โจโฉก็โกรธร้องประกาศให้ทหารเอกเข้าไปจับซุนกวน แต่กลับเห็นจิวท่ายและฮันต๋งคุมทหารยิงเกาทัณฑ์ระดมมาจากซอกเขาทางซ้าย และ ตันบู กับ พัวเจี้ยงยิงเกาทัณฑ์ ตีกระหนาบมาทางขวา จนต้องถอยทัพออกจากสมรภูมิ

การศึกครั้งนี้ปรากฏว่าได้รบติดพันกันอยู่ เป็นเวลาเดือนเศษ กองทัพของ ซุนกวน เป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ก็เอาชนะโจโฉไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะทหารเอกของโจโฉมีฝีมือที่กล้าแข็งหลายคนโดยเฉพาะ เคาทู ยอดทหารเสือคู่ใจของโจโฉ ได้แก้ไขเหตุการณ์อันคับขันรอดไปได้

จนถึงปีใหม่เป็นเทศกาลฝนตกหนัก ซุนกวนจึงส่งหนังสือขออย่าศึกกับโจโฉ มีความว่า

“ ตัวเรากับมหาอุปราชก็เป็นข้าของพระเจ้าเหี้ยนเต้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ตั้งให้ท่านเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ ควรที่ท่านจะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน ให้อาณาประชาราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข แลกลับยกกองทัพมาทำอันตรายแก่เรา ให้อาณาประชาราษฎรได้รับความเดือดร้อนทั้งนี้ ก็ผิดด้วยประเพณีเสนาบดีผู้ใหญ่ ประการหนึ่งก็เป็นฤดูฝน ทหารทั้งปวงได้ความลำบากนัก ขอท่านได้ยกกองทัพกลับไปเถิด แม้จะขืนอยู่ทำการสืบไปก็จะมีภัยถึงตัวท่าน “

โจโฉแจ้งในหนังสือแล้วก็หัวเราะว่า ซุนกวนมีความคารวะแก่เราว่าเป็นผู้ใหญ่ แล้วก็ยอมเลิกทัพกลับไปเมืองฮูโต๋ ซุนกวนจึงยกพลกลับเมืองกังตั๋ง

ต่อมา เล่าปี่ กับ ขงเบ้ง ยกทหารเข้าตีจนยึดเมืองเสฉวนได้ และขับไล่ เล่าเจี้ยง เจ้าเมืองเก่าซึ่งเป็นญาติ ให้ออกไปอยู่บ้านนอกแล้ว ก็ตั้งตัวเป็นใหญ่ใน แคว้นตะวันตกต่อไป ทางฝ่ายโจโฉก็ยกกองทัพไปตีและยึดเมืองฮันต๋งไว้ได้ เตียวฬ่อซึ่งเป็นเจ้าเมืองก็ยอมอ่อนน้อมด้วย จึงรอดชีวิตได้ไปเป็นเจ้าเมืองปาต๋งซึ่งเป็นเมือง เล็ก ๆ เล่าปี่ก็สะดุ้งใจ กลัวว่าโจโฉจะเลยมาตีเมืองเสฉวน จึงมีหนังสือขอเป็นไมตรีกับซุนกวน ให้ยกกองทัพไปตีเมืองหับป่าให้โจโฉพะวักพะวน เสฉวนจะได้ปลอดภัย ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ได้หักล้างชิงดีกัน จน จิวยี่ ช้ำใจตายไป

ซุนกวนก็ตกลงด้วยและเรียกตัว กำเหลง ลิบอง เล่งทองมาหารือว่า

“ บัดนี้โจโฉยกมาตีเมืองฮันต๋ง เราคิดจะไปตีเมืองหับป๋า ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด “

ลิบองจึงว่า

“ โจโฉให้จูก๋งอยู่รักษาเมืองโลกั๋ง จูก๋งมาตั้งอยู่ ณ เมืองอ้วนเซีย บัดนี้เป็นเทศกาลข้าวโพดสาลีสุข จูก๋งจึงให้เกี่ยวข้าวโพดสาลีซ่องสุมไว้ในเมืองหับป๋า ขอให้ยกไปตีเอาเมืองอ้วนเซียเสียก่อน แล้วจึงยกล่วงไปตีเอาเมืองหับป๋า เห็นจะได้โดยง่าย “

ซุนกวนก็เห็นชอบด้วย จึงจัดแจงทหารได้สิบหมื่น ให้กำเหลงกับลิบองเป็นกองหน้า เจียวขิมกับพัวเจี้ยงเป็นกองหลัง ตัวซุนกวนกับทหารเอกสี่นายเป็นทัพหลวง ยกทัพเรือข้ามฟากไปตีเมืองไฮจิ๋ว แล้วยกเป็นกระบวนทัพบกไปตั้งค่ายใกล้เมืองอ้วนเซีย

เมื่อซุนกวนได้พานายทหารไปตรวจดู การป้องกันของฝ่ายในเมืองแล้ว ก็กลับมาปรึกษากันว่าจะใช้วิธีใดจึงจะได้เมืองอ้วนเซียโดยง่าย ตังสิดแนะให้เกณฑ์ทหารขนดินมาถมให้เป็นเนินสูงเท่ากำแพงเมือง หลาย ๆ กอง แล้วให้ทหารขึ้นไประดมยิงเกาทัณฑ์ ให้ข้าศึกเสียขวัญ ละทิ้งหน้าที่เสีย แล้วจึงเอาบันไดหกพาดให้พลเดินเท้าปีนเข้าเมืองได้สะดวก ก็จะยึดเมืองได้โดยง่าย

แต่ลิบองค้านว่า

“ อันจะทำเหมือนท่านว่านั้นช้านัก เห็นกองทัพเมืองหับป๋าจะมาช่วยกันทันที อันทหารเราก็มีกำลังอยู่ ขอให้ยกเข้าโจมตีแต่เวลาเดียว ก็จะได้เมืองอ้วนเซีย แล้วจะได้ล่วงไปทำการเมืองหับป๋า “

ซุนกวนก็เห็นด้วย จึงให้ทหารหุงหาอาหารกินตั้งแต่ยามสาม พอเวลาสิบเอ็ดทุ่มก็ยกทหารข้ามคูเมือง เข้าไปโจมตีทำลายประตูเมือง เสียงฆ้องกลองโห่ร้องอื้ออึงดังแผ่นดินจะถล่ม แล้วกำเหลงกับลิบองซึ่งเป็นนายกองหน้า ก็ขับทหารเอาบันไดและพะองพาดกำแพงปีนขึ้นไปรบพุ่งเป็นสามารถ

กำเหลงปีนขึ้นไปถึงกลางพะอง แล้วเอาโซ่เหวี่ยงคล้องใบเสมาบนกำแพงเมืองจะโหนขึ้นไปให้ได้ จูก๋ง ผู้รักษาเมืองก็ให้ทหารเอาก้อนศิลากรวดทรายทิ้งสกัดไว้ กำเหลงก็เหวี่ยงโซ่ขึ้นไปถูกจูก๋งล้มลง กำเหลงกับทหารปีนขึ้นไปบนเชิงเทินได้ ก็ช่วยกันตีรันฟันแทงจนจูก๋งตายคาที่ ทหารในเมืองทั้งหลายก็พากันอ่อนน้อมหมดสิ้น

ฝ่าย เล่งทอง คุมทหารตามซุนกวนมาถึงเมืองอ้วนเซีย ก็พากันเข้าไปในเมืองอย่างสะดวกดาย ซุนกวนก็ปูนบำเหน็จทแกล้วทหารน้อยใหญ่ และแต่งโต๊ะเลี้ยงดูทหารและขุนนางทั้งปวงเป็นที่เอิกเกริก สำหรับกำเหลงนั้นมีความดีความชอบมากเพราะเข้าเมืองได้ก่อน จึงให้นั่งกินที่โต๊ะขุนนางผู้ใหญ่

ระหว่างกินเลี้ยงกันอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา เล่งทองก็เกิดความแค้น ครั้งที่กำเหลงฆ่าบิดาของตนขึ้นมาอีก จึงชายตาดูกำเหลงและบอกแก่นายทหารในงานว่าจะรำกระบี่ให้ดู แล้วก็ลุกขึ้นรำกระบี่ไปทางที่กำเหลงนั่งอยู่นั้น

กำเหลงก็รู้ทันว่าเล่งทองยังมีใจพยาบาทตน หวังจะทำร้ายทีเผลอ จึงว่า

"...เล่งทองรำผู้เดียวนั้นไม่สู้งาม ตัวเราชำนาญถือทวนสองเล่ม เราจะรำให้ท่านทั้งปวงดู......"

แล้วก็คว้าทวนคู่มือลุกขึ้นออกไปรำบ้าง ลิบองก็กลัวว่าทั้งสองจะเข้าสู้รบกันกลางงาน จึงลุกขึ้นคว้าโล่เขน รำอยู่หว่างกลางคู่อาฆาตทั้งสอง ซุนกวนก็ออกมาห้าม ทั้งสามจึงต้องวางอาวุธแล้วคุกเข่าลงคำนับ ซุนกวนจึงว่าแก่เล่งทองว่า

“ การซึ่งท่านพยาบาทกำเหลงนั้น เราก็ได้ขอเสียแต่ครั้งก่อนแล้ว เหตุใดจึงมาทำครั้งนี้อีกเล่า “

เล่งทองก็ไม่ตอบได้แต่ก้มหน้าร้องไห้อยู่ ซุนกวนจึงปลอบโยนว่า

"....ท่านกับกำเหลงเหมือนหนึ่งปลาข้องเดียวกัน จงตั้งใจประนอมทำราชการด้วยกันให้ปกติเถิด....."

เล่งทองก็นิ่งเงียบไป แต่ไม่รู้ว่าจะกลืนความแค้นไว้รอโอกาสข้างหน้าหรือไม่.

##########


วางเมื่อ ๑๖ ก.ย.๕๖ เวลา ๐๘.๓๙
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่