สามก๊กฉบับลายคราม
โจโฉ...มหาอุปราชผู้ยิ่งใหญ่
ตอนที่ ๔ พ่ายศึกใหญ่
เล่าเซี่ยงชุน
เมื่อโจโฉดึงเอาตัวชีซีหรือตันฮกที่ปรึกษาของเล่าปี่มาไว้ใกล้ตัวได้แล้ว ก็เตรียมจะทำสงครามกับเล่าปี่ให้แตกหักไป พอดีได้สุมาอี้มาเป็นที่ปรึกษาคนล่าสุด และได้ข่าวว่าเล่าเปียวให้เล่าปี่อยู่รักษาเมืองซินเอี๋ย ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของเมืองเกงจิ๋ว จึงให้แฮหัวตุ้นเป็นแม่ทัพใหญ่คุมทหารสิบหมื่นยกไปตีเมืองซินเอี๋ยก่อน ชีซีก็บอกกับแฮหัวตุ้นว่า เล่าปี่ได้ขงเบ้งมาเป็นที่ปรึกษาคนใหม่แล้ว อย่าประมาทจงเร่งระวังตัวให้ดี
โจโฉจึงถามว่าขงเบ้งนี้คือผู้ใดมีความสามารถอย่างไร ชีซีก็บอกว่าขงเบ้งนั้นคือ จูกัดเหลียง เป็นคนมีสติปัญญา การในอากาศแลแผ่นดินก็รู้ดูชำนาญสิ้น โจโฉก็ถามต่อว่าเทียบกับชีซีแล้วใครจะดีกว่ากัน ชีซีก็บอกว่าตนนั้นเหมือนหิ่งห้อย แต่ขงเบ้งนั้นเหมือนรัศมีพระจันทร์ แฮหัวตุ้นก็ไม่เชื่อบอกว่าตนจะไปจับเอาตัวเล่าปี่กับขงเบ้งมาให้ได้ ถ้าไม่จริงก็ให้ตัดศรีษะของตนแทน โจโฉกำชับว่าไปได้ท่าเสียทีประการใด ให้แจ้งข่าวกลับมาอย่าได้ขาด
แฮหัวตุ้นยกกองทัพไปถึงทุ่งพกบ๋องนอกเมืองซินเอี๋ย ก็เจอกับกองทหารของจูล่ง เข้ารบกันได้เพียงห้าเพลงจูล่งก็ถอย แฮหัวตุ้นก็ตามไปประมาณห้าสิบเส้น แม้นายทหารรองจะห้ามปรามก็ไม่เชื่อ รีบตามไปจนพบกับกองทหารของเล่าปี่เมื่อเวลายามเศษ แต่ทั้งเล่าปี่และจูล่งก็ไม่ได้ต้านทาน เท่าไรนัก คงถอยต่อไปอีก
นายทหารที่คุมกองเสบียงตามหลังมา ก็เอะใจว่าเป็นเวลาค่ำมืดแล้วยกทหารฝ่าเข้าไปในระหว่างแนวเขากับดงแขม น่าจะเป็นอันตราย จึงให้นายรองหยุดกองเสบียงไว้ ตนเองรีบตามไปห้ามปรามแฮหัวตุ้นให้ถอยกลับ คราวนี้แฮหัวตุ้นก็ได้สติเห็นด้วย จึงหยุดไพร่พลไว้ แต่สายไปเสียแล้ว ทหารเอกของเล่าปี่ซึ่งซุ่มอยู่สองข้างทางได้จุดไฟขึ้นพร้อมกัน แสงเพลิงสว่างทั้งสี่ทิศ และทหารของเล่าปี่ก็ล้อมตีเข้ามา ทหารของแฮหัวตุ้นก็แตกกระเจิง บ้างก็ตายในเพลิง บ้างก็เหยียบกันตาย บ้างก็ถูกข้าศึกฆ่าตาย ศพเกลื่อนไปทั้งทุ่ง แฮหัวตุ้นไม่สามารถรับมือข้าศึกมากมาย ต้องขับม้าฝ่าเพลิงเอาตัวรอดออกมาได้ นายทหารรองก็สู้อย่างจนตรอก ถูกฆ่าตายไปคนหนึ่ง อีกสามนายติดตามแฮหัวตุ้นกลับมาได้อย่างสบักสบอม
เมื่อแฮหัวตุ้นกลับมาถึงเมืองฮูโต๋ ก็ให้ทหารมัดตัวเข้าไปหาโจโฉ คำนับยอมรับโทษตามที่ให้สัญญาไว้ แต่โจโฉเอ็นดูว่าเป็นญาติและเคยมีความชอบมามาก จึงให้แก้มัดออกและไม่เอาโทษ แล้วก็ให้เกณฑ์ทหารห้าสิบหมื่น แบ่งทหารเอกเป็นสี่คู่ ให้กองหนึ่งสองคนคุมทหารไปกองละสิบหมื่น ตนเองเป็นทัพหลวง เคลื่อนพลมุ่งไปตีเมืองซินเอี๋ยและเมืองเกงจิ๋ว
กองทหารทั้งสี่ของโจโฉยกเข้าตีเมืองซินเอี๋ย ซึ่งฝ่ายเล่าปี่ที่มีกำลังพลน้อยกว่า แต่ได้ขงเบ้งวางอุบายทดน้ำให้ท่วมบ้าง วางเพลิงเผาบ้าง ต้องเสียทหารไปมาก แต่ฝ่ายเล่าปี่ก็ต้องถอยออกจากเมืองซินเอี๋ย ผ่านเมืองซงหยง ไปถึงเมืองอ้วนเซีย
เมื่อโจโฉเคลื่อนกองทัพใหญ่มานั้น เล่าเปียวได้ป่วยและถึงแก่ความตายไปแล้ว เล่าจ๋องบุตรคนเล็กได้เป็นเจ้าเมืองเกงจิ๋วแทนบิดา รู้ว่าโจโฉยกทัพใหญ่มาจะถึงเมืองอ้วนเซีย ก็เขียนหนังสือมาขออ่อนน้อมต่อโจโฉ และต้อนรับโจโฉเข้าไปในเมืองซงหยง ชัวมอน้องชายของภรรยา เล่าเปียวซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ ก็มอบทหารทั้งยี่สิบแปดหมื่น เรือรบใหญ่น้อยเจ็ดพันเศษ กับเสบียงอาหารอีกมากมายให้กับโจโฉ จนหมดสิ้น โจโฉจึงตั้งให้เป็นแม่ทัพเรือ เพราะเมืองเกงจิ๋วอยู่ใกล้ทะเล ซึ่งฝั่งตรงข้ามเป็นเมืองกังตั๋งของซุนกวน ที่โจโฉจะต้องข้ามไปปราบปรามเป็นอันดับต่อไป
แล้วโจโฉก็ตั้งให้เล่าจ๋องเป็นเจ้าเมืองเฉงจิ๋ว แม้เล่าจ๋องจะไม่ยินดีรับตำแหน่ง และอ้อนวอนขออยู่ดูแลรักษาที่ฝังศพบิดาในเมืองนี้ โจโฉก็ไม่ยอมเล่าจ๋องกับมารดาจึงจำใจเดินทางไปเมืองเฉงจิ๋วตามคำสั่ง
เมื่อสองแม่ลูกออกจากเมืองไปได้ไม่นาน โจโฉก็ให้นายทหารคนสนิท คุมทหารตามไปฆ่าเสียทั้งแม่ทั้งลูก ให้หมดเวรหมดกรรมเสีย ไม่ต้องอยู่เป็นเสี้ยนหนามอีกต่อไป
เมื่อโจโฉจัดการกับเล่าจ๋องและมารดาเรียบร้อยแล้ว ก็ยกทหารออกจากเมืองซงหยงมุ่งไปเมืองกังเหลง เมื่อผ่านเมืองตงหยงถึงเขาเกงสันเวลาประมาณสามยาม ก็ทันกับกองคาราวานของเล่าปี่ ซึ่งอพยพผู้คนมานับหมื่นจากเมืองซินเอี๋ยจะไปเมืองกังแฮ เล่าปี่กับเตียวหุยมีทหารอยู่ประมาณสองพันจึงไม่สามารถต้านทานกองทัพของโจโฉได้ ต้องแตกกระจัดกระจายไปทั้งทหารและชาวบ้าน
จนรุ่งสว่างโจโฉพักอยู่บนเนินเขาเกงสัน ก็เห็นจูล่งห่ออาเต๊าบุตรชายตัวน้อยของเล่าปี่ไว้ในเสื้อเกราะ ควบม้าฝ่าทหารของโจโฉมาแต่ผู้เดียว ไม่มีผู้ใดจะขัดขวางได้ โจโฉก็นิยมในความกล้าหาญของจูล่ง จึงสั่งทหารไม่ให้ยิงเกาทัณฑ์ฆ่าจูล่งเสีย ให้ล้อมจับเป็นมาให้ได้ แต่ไม่ว่าผู้ใดที่เข้าไปต่อกรด้วย ก็ถูกสังหารล้มตายไปสิ้น เป็นนายกองใหญ่สองคน ทหารเอกห้าสิบคน และทหารเลวอีกนับไม่ถ้วน เห็นโลหิตติดเสื้อเกราะและตัวม้าแดงเถือกประดุจรดด้วยน้ำครั่ง จูล่งจึงหนีรอดไปได้ในที่สุด
ต่อมานายทหารเอกของโจโฉแปดนาย ที่ติดตามจูล่งไป ถึงสะพานเตียงปันเกี้ยว ก็เจอ เตียวหุยยืนม้าอยู่ฝั่งตรงข้าม ร้องท้าทายว่าผู้ใดมีฝีมือเข้มแข็งก็ข้ามมาลองกำลังดูได้ ทหารฝ่ายโจโฉเห็นมีผงคลีฟุ้งอยู่ข้างหลังเตียวหุย ก็คิดว่ามีทหารเป็นอันมาก ต่างก็ลังเลอยู่ เตียวหุยจึงให้ทหารชักกระดานทอดสะพานเสีย แล้วก็พากันหนีไป
เมื่อมีทหารมารายงานโจโฉว่าเตียวหุยหนีไปแล้ว โจโฉก็ว่าทหารของตนกลัวเตียวหุยไปเอง จึงให้ทหารซ่อมสะพานขึ้นใหม่แล้วก็ยกพลตามไปอีก ก็ไปเจอกองทหารของกวนอูที่มาทางเรือจากเมืองกังแฮ ก็คิดว่าเป็นกลลวงของขงเบ้ง จึงให้ทหารถอยกลับ กวนอูก็ไล่ติดตามมาประมาณร้อยเส้นก็หันหลังกลับไป
ฝ่ายโจโฉก็ยกทหารไปตั้งอยู่ที่เมืองเกงจิ๋ว ตระเตรียมกองทัพบกกองทัพเรือ ให้พร้อมที่จะข้ามน้ำไปตีเมืองกังตั๋งของซุนกวน ซึ่งอยู่คนละฟากฝั่งทะเลต่อไป และได้มีหนังสือไปชักชวน ซุนกวนให้ร่วมมือกำจัดเล่าปี่ แล้วจะแบ่งเมืองขึ้นของเกงจิ๋วให้กึ่งหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าขงเบ้งได้ไปเกลี้ยกล่อมซุนกวนและจิวยี่แม่ทัพใหญ่ของกังตั๋ง จนตกลงเป็นพันธมิตรกันแล้ว คนถือหนังสือของโจโฉจึงถูกตัดศรีษะส่งคืนมาแทนคำตอบ .
โจโฉก็โกรธมากให้ชัวมอแม่ทัพเรือ ยกกองทัพเรือเป็นกองหน้าเข้าปะทะกับ กองเรือของเมืองกังตั๋งเป็นครั้งแรก ผลปรากฏว่าทัพเรือของโจโฉต้องพ่ายแพ้กลับมา โจโฉก็ยิ่งเจ็บแค้นมากขึ้น คาดคั้นชัวมอว่าเหตุใดกำลังพลมีมากกว่าข้าศึกจึงแพ้ ชัวมอก็แก้ว่าทหารส่วนใหญ่เป็นชาวดอนไม่สันทัดในการรบทางเรือ จึงเอาชนะข้าศึกซึ่งชำนาญการรบทางน้ำไม่ได้ แล้วเสนอแนะให้ ทำการฝึกซ้อมทหารทั้งหมดให้เข้มแข็งเสียก่อน ชัวมอจึงเอาเรือใหญ่ไปทอดเป็นวงเหมือนตั้งค่ายในทะเล เว้นช่องไว้เข้าออกยี่สิบสี่ทาง แล้วให้ทหารลงเรือเล็กฝึกซ้อมแจวเรือทั้งทางหนีทีไล่ ทั้งกลางวันกลางคืน ส่วนทหารบกก็ตั้งค่ายเรียงรายกันไปไกลประมาณสามพันเส้น
แล้วโจโฉก็ส่ง เจียวก้าน ซึ่งเคยเป็นเพื่อนนักเรียนเก่าสำนักเดียวกันกับจิวยี่ เป็นไส้ศึกไปสืบข่าวทางเมืองกังตั๋ง ก็เสียท่าจิวยี่ทำอุบายกลับมาให้โจโฉสงสัยว่าชัวมอทรยศไปเข้ากับจิวยี่ จึงสั่งประหารชีวิตเสียโดยไม่มีเหตุผล แล้วก็กลับคิดได้ว่าเสียกลจิวยี่แล้ว จึงตั้งให้นายทหารเอกของตนเป็นแม่ทัพเรือแทน
ต่อมาถึงวันข้างแรมเดือนสิบสองหมอกลงหนัก กองเรือของจิวยี่ก็เข้ามาทำท่าจะโจมตี กองเรือของโจโฉ ทหารของโจโฉก็ไม่เห็นว่าข้าศึกยกพลมากี่ลำ ได้ยินแต่เสียงโห่ร้องตีกลองล่อโก๊ทางไหน ก็ระดมยิงเกาทัณฑ์ไปทางเรือที่เห็นตะคุ่ม ๆ นั้นดังห่าฝน เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ข้าศึกเข้ามาใกล้ จนกระทั่งใกล้สว่างเรือของข้าศึกหันหัวเรือกลับไป จึงเห็นว่า มีอยู่กันเพียงยี่สิบลำเท่านั้น จึงจัดเรือไล่ตามไปแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
โจโฉก็คิดถึงชัวมอแม่ทัพเรือของตนที่ถูกฆ่าไปแล้ว จึงทำอุบายให้ช้วต๋งกับชัวโฮ น้องชายของชัวมอ หนีไปเป็นไส้ศึกในกองทัพของจิวยี่ ต่อมาทั้งสองก็หลงกลรับรอง อุยกาย ที่จะหนีจิวยี่มาอยู่กับโจโฉ อีกไม่นานโจโฉก็ส่งเจียวก้านไปหาข่าวในกองทัพจิวยี่อีก คราวนี้เจียวก้านกลับพา บังทองมาอยู่กับโจโฉ และโจโฉก็นับถือบังทองดุจอาจารย์ บังทองจึงแนะนำให้โจโฉตรึงเรือรบใหญ่ให้ติดกันเหมือนดังค่ายบก ทหารเมืองดอนของโจโฉจะได้รบพุ่งได้เต็มที่โดยไม่เมาคลื่น โจโฉก็เห็นด้วยสั่งให้ทหารทำตาม แล้วบังทองก็ขอลากลับไปเกลี้ยกล่อมคนอื่นอีก โจโฉก็เชื่อตามเคย
ก่อนที่โจโฉจะเริ่มทำการรบใหญ่ เมื่อจัดแจงฝึกทหารบกเรือให้พร้อมที่จะเคลื่อนทัพแล้ว ก็แต่งโต๊ะเลี้ยงทหารทั้งปวง ขณะนั้นเป็นเดือนอ้ายขึ้นสิบห้าค่ำ พระจันทร์ส่องสว่าง ลมสงบ คลื่นในท้องทะเลราบดังหน้ากลอง แลเรือขนานทั้งปวงแน่นดังแผ่นดิน ถึงแม้ว่าจะเกิดคลื่นลมใหญ่มา เรือรบก็ไม่ระส่ำระสาย ทั้งทหารก็มิได้เมาคลื่น
โจโฉก็กินโต๊ะอยู่กับทหารเอก เรียงรายเป็นสองแถวประมาณสามร้อยเศษ โจโฉแลดูบนอากาศ เห็นเมืองกังตั๋งของซุนกวนอยู่ทางทิศตะวันออก และเมืองกังแฮของเล่าปี่อยู่ทางทิศตะวันตก ดูไปทางทิศเหนือทิศใต้นั้นก็สว่างด้วยแสงเดือน ก็มีอารมณ์สุขสำราญจึงกล่าวสุนทรพจน์แก่ทหารทั้งปวงว่า
แต่แรกเราก็คิดว่าจะทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เป็นสุข เราก็ได้ทำการปราบปรามศัตรูมาก็หลายตำบลแล้ว บัดนี้ยังแต่เมืองกังตั๋งกล้าแข็งอยู่เมืองเดียว ให้ท่านทั้งปวงจงประนอมกัน ตั้งใจช่วยเราคิดอ่านกำจัดซุนกวนกับจิวยี่เสียได้แล้ว บ้านเมืองก็จะอยู่เป็นสุข เรากับท่านทั้งปวงก็จะมีความสบาย
ที่ปรึกษาและทหารทั้งปวงก็ร้องฮ้อขึ้นพร้อมกัน และชวนกันคำนับแล้วว่า ขอให้เทพยดาช่วยให้สมความคิดเถิด ข้าพเจ้าทั้งปวงจะได้พึ่งท่านสืบไป
โจโฉก็เสพสุราอยู่จนถึงสองยาม ก็ชักจะเมาจึงคุยอวดว่าอันจิวยี่กับโลซกนั้นไม่รู้ตัวว่าจะตาย ด้วยทหารในกองทัพนั้นก็เอาใจออกห่างมาเข้าด้วยเป็นอันมาก ที่ปรึกษาก็ห้ามไว้ไม่ให้คุยโว เพราะอาจจะรู้ไปถึงหูข้าศึกได้ โจโฉก็ว่าอยู่กับทหารร่วมใจกันทั้งนั้น จะต้องไปกลัวอะไร แล้วก็ชี้มือไปทางเมืองกังแฮและว่า ขงเบ้งกับเล่าปี่นั้นก็มิได้คะเนในกำลังของตัวว่าเหมือนมอปลวก องอาจคิดจะทำลายภูเขาอันใหญ่ ยังจะสมความคิดแล้วหรือ
แล้วก็เปิดเผยความในใจว่า อันอายุของตนก็ได้ห้าสิบปีแล้ว แม้ได้เมืองกังตั๋งก็จะมีความยินดี ด้วยแต่ก่อนตนรู้ว่ามีหญิงงามสองคน ซึ่งตนพอใจอยู่ แต่ไปเป็นภรรยาซุนเซ็กพี่ชายของซุนกวนคนหนึ่ง เป็นภรรยาจิวยี่คนหนึ่ง เมื่อครั้งที่รบชนะอ้วนเสี้ยวได้เมืองกิจิ่วนั้น ตนได้สร้างปราสาทไว้ที่ริมแม่น้ำเจียงโห ครั้งนี้ถ้าได้เมืองกังตั๋ง ตนก็จะพาหญิงสองคนนี้ไปอยู่ที่ปราสาทนี้ ตนก็จะได้มีความสุขไปจ นกว่าจะสิ้นชีวิต
แล้วโจโฉก็ฉลองความสุขของตนไปจนดึก พอเมาหนักขึ้นก็คว้าทวนออกไปยืนที่หัวเรือแล้วประกาศว่า ทวนเล่มนี้ตนถือสำหรับมือมาแต่แรกเป็นทหาร จนปราบปรามโจรโพกผ้าเหลือง และลิโป้ อ้วนสุด อ้วนเสี้ยว ตลอดจนหัวเมืองทั้งปวง ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นชายชาติทหาร แล้วก็ร้องเพลงเป็นเนื้อความว่า ธรรมดาเกิดมาแล้วก็จะต้องตาย ให้เร่งรื่นเริงหาความสนุกสบายให้มีความสุขก่อน
ที่ปรึกษาคนหนึ่งก็เตือนว่า โจโฉยกกองทัพมาทำการสงคราม เหตุใดจึงมากล่าวคำเป็นลาง โจโฉก็โกรธด้วยกำลังเมา จึงเอาทวนคู่มือแทงที่ปรึกษาผู้นั้นตายคาที่ ทหารทั้งปวงก็ตกใจจึงพา โจโฉกลับไปค่ายบนบก
ครั้นถึงเช้าสร่างเมาก็ได้คิดว่า ตนฆ่าที่ปรึกษาเสียโดยไม่มีความผิด แต่ก็ไม่สามารถจะแก้ไขได้แล้ว นอกจากจะให้นำศพไปจัดการทำพิธีตามธรรมเนียมขุนนางผู้ใหญ่ ที่เมืองฮูโต๋
จนกระทั่งถึงวันแรมห้าค่ำเดือนอ้าย เวลายามเศษ ลมสลาตันที่เคยพัดจากกองทัพโจโฉ ก็หวนกลับพัดจากฝั่งของจิวยี่มาหากองทัพเรือของโจโฉ อุยกายที่ว่าจะหนีจากกองทัพจิวยี่ ก็นำเรือยี่สิบลำเข้ามาใกล้ค่ายเรือของโจโฉ แล้วจุดไฟขึ้นในเรือทุกลำ เรือนั้นก็ลอยตามลมเข้ามาปะทะกองทัพเรือที่ผูกตรึงติดกันอยู่ เกิดเพลิงไหม้ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถจะแยกเรือออกจากกันได้ เรือทั้งหมดเป็นพันลำจึงถูกเผาวอดวายไป โจโฉนั้นเห็นว่าไม่สามารถจะดับไฟได้ จึงลงเรือเล็กจะหนีขึ้นบก อุยกายก็ตามมาจะฆ่าโจโฉ เตียวเลี้ยวนายทหารองครักษ์ของโจโฉจึงยิงเกาทัณฑ์ถูกอุยกายตกน้ำไป โจโฉจึงรอดไปขึ้นบกได้
มหาอุปราชผู้ยิ่งใหญ่ (๔) ๓ ก.พ.๖๑
โจโฉ...มหาอุปราชผู้ยิ่งใหญ่
ตอนที่ ๔ พ่ายศึกใหญ่
เล่าเซี่ยงชุน
เมื่อโจโฉดึงเอาตัวชีซีหรือตันฮกที่ปรึกษาของเล่าปี่มาไว้ใกล้ตัวได้แล้ว ก็เตรียมจะทำสงครามกับเล่าปี่ให้แตกหักไป พอดีได้สุมาอี้มาเป็นที่ปรึกษาคนล่าสุด และได้ข่าวว่าเล่าเปียวให้เล่าปี่อยู่รักษาเมืองซินเอี๋ย ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของเมืองเกงจิ๋ว จึงให้แฮหัวตุ้นเป็นแม่ทัพใหญ่คุมทหารสิบหมื่นยกไปตีเมืองซินเอี๋ยก่อน ชีซีก็บอกกับแฮหัวตุ้นว่า เล่าปี่ได้ขงเบ้งมาเป็นที่ปรึกษาคนใหม่แล้ว อย่าประมาทจงเร่งระวังตัวให้ดี
โจโฉจึงถามว่าขงเบ้งนี้คือผู้ใดมีความสามารถอย่างไร ชีซีก็บอกว่าขงเบ้งนั้นคือ จูกัดเหลียง เป็นคนมีสติปัญญา การในอากาศแลแผ่นดินก็รู้ดูชำนาญสิ้น โจโฉก็ถามต่อว่าเทียบกับชีซีแล้วใครจะดีกว่ากัน ชีซีก็บอกว่าตนนั้นเหมือนหิ่งห้อย แต่ขงเบ้งนั้นเหมือนรัศมีพระจันทร์ แฮหัวตุ้นก็ไม่เชื่อบอกว่าตนจะไปจับเอาตัวเล่าปี่กับขงเบ้งมาให้ได้ ถ้าไม่จริงก็ให้ตัดศรีษะของตนแทน โจโฉกำชับว่าไปได้ท่าเสียทีประการใด ให้แจ้งข่าวกลับมาอย่าได้ขาด
แฮหัวตุ้นยกกองทัพไปถึงทุ่งพกบ๋องนอกเมืองซินเอี๋ย ก็เจอกับกองทหารของจูล่ง เข้ารบกันได้เพียงห้าเพลงจูล่งก็ถอย แฮหัวตุ้นก็ตามไปประมาณห้าสิบเส้น แม้นายทหารรองจะห้ามปรามก็ไม่เชื่อ รีบตามไปจนพบกับกองทหารของเล่าปี่เมื่อเวลายามเศษ แต่ทั้งเล่าปี่และจูล่งก็ไม่ได้ต้านทาน เท่าไรนัก คงถอยต่อไปอีก
นายทหารที่คุมกองเสบียงตามหลังมา ก็เอะใจว่าเป็นเวลาค่ำมืดแล้วยกทหารฝ่าเข้าไปในระหว่างแนวเขากับดงแขม น่าจะเป็นอันตราย จึงให้นายรองหยุดกองเสบียงไว้ ตนเองรีบตามไปห้ามปรามแฮหัวตุ้นให้ถอยกลับ คราวนี้แฮหัวตุ้นก็ได้สติเห็นด้วย จึงหยุดไพร่พลไว้ แต่สายไปเสียแล้ว ทหารเอกของเล่าปี่ซึ่งซุ่มอยู่สองข้างทางได้จุดไฟขึ้นพร้อมกัน แสงเพลิงสว่างทั้งสี่ทิศ และทหารของเล่าปี่ก็ล้อมตีเข้ามา ทหารของแฮหัวตุ้นก็แตกกระเจิง บ้างก็ตายในเพลิง บ้างก็เหยียบกันตาย บ้างก็ถูกข้าศึกฆ่าตาย ศพเกลื่อนไปทั้งทุ่ง แฮหัวตุ้นไม่สามารถรับมือข้าศึกมากมาย ต้องขับม้าฝ่าเพลิงเอาตัวรอดออกมาได้ นายทหารรองก็สู้อย่างจนตรอก ถูกฆ่าตายไปคนหนึ่ง อีกสามนายติดตามแฮหัวตุ้นกลับมาได้อย่างสบักสบอม
เมื่อแฮหัวตุ้นกลับมาถึงเมืองฮูโต๋ ก็ให้ทหารมัดตัวเข้าไปหาโจโฉ คำนับยอมรับโทษตามที่ให้สัญญาไว้ แต่โจโฉเอ็นดูว่าเป็นญาติและเคยมีความชอบมามาก จึงให้แก้มัดออกและไม่เอาโทษ แล้วก็ให้เกณฑ์ทหารห้าสิบหมื่น แบ่งทหารเอกเป็นสี่คู่ ให้กองหนึ่งสองคนคุมทหารไปกองละสิบหมื่น ตนเองเป็นทัพหลวง เคลื่อนพลมุ่งไปตีเมืองซินเอี๋ยและเมืองเกงจิ๋ว
กองทหารทั้งสี่ของโจโฉยกเข้าตีเมืองซินเอี๋ย ซึ่งฝ่ายเล่าปี่ที่มีกำลังพลน้อยกว่า แต่ได้ขงเบ้งวางอุบายทดน้ำให้ท่วมบ้าง วางเพลิงเผาบ้าง ต้องเสียทหารไปมาก แต่ฝ่ายเล่าปี่ก็ต้องถอยออกจากเมืองซินเอี๋ย ผ่านเมืองซงหยง ไปถึงเมืองอ้วนเซีย
เมื่อโจโฉเคลื่อนกองทัพใหญ่มานั้น เล่าเปียวได้ป่วยและถึงแก่ความตายไปแล้ว เล่าจ๋องบุตรคนเล็กได้เป็นเจ้าเมืองเกงจิ๋วแทนบิดา รู้ว่าโจโฉยกทัพใหญ่มาจะถึงเมืองอ้วนเซีย ก็เขียนหนังสือมาขออ่อนน้อมต่อโจโฉ และต้อนรับโจโฉเข้าไปในเมืองซงหยง ชัวมอน้องชายของภรรยา เล่าเปียวซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ ก็มอบทหารทั้งยี่สิบแปดหมื่น เรือรบใหญ่น้อยเจ็ดพันเศษ กับเสบียงอาหารอีกมากมายให้กับโจโฉ จนหมดสิ้น โจโฉจึงตั้งให้เป็นแม่ทัพเรือ เพราะเมืองเกงจิ๋วอยู่ใกล้ทะเล ซึ่งฝั่งตรงข้ามเป็นเมืองกังตั๋งของซุนกวน ที่โจโฉจะต้องข้ามไปปราบปรามเป็นอันดับต่อไป
แล้วโจโฉก็ตั้งให้เล่าจ๋องเป็นเจ้าเมืองเฉงจิ๋ว แม้เล่าจ๋องจะไม่ยินดีรับตำแหน่ง และอ้อนวอนขออยู่ดูแลรักษาที่ฝังศพบิดาในเมืองนี้ โจโฉก็ไม่ยอมเล่าจ๋องกับมารดาจึงจำใจเดินทางไปเมืองเฉงจิ๋วตามคำสั่ง
เมื่อสองแม่ลูกออกจากเมืองไปได้ไม่นาน โจโฉก็ให้นายทหารคนสนิท คุมทหารตามไปฆ่าเสียทั้งแม่ทั้งลูก ให้หมดเวรหมดกรรมเสีย ไม่ต้องอยู่เป็นเสี้ยนหนามอีกต่อไป
เมื่อโจโฉจัดการกับเล่าจ๋องและมารดาเรียบร้อยแล้ว ก็ยกทหารออกจากเมืองซงหยงมุ่งไปเมืองกังเหลง เมื่อผ่านเมืองตงหยงถึงเขาเกงสันเวลาประมาณสามยาม ก็ทันกับกองคาราวานของเล่าปี่ ซึ่งอพยพผู้คนมานับหมื่นจากเมืองซินเอี๋ยจะไปเมืองกังแฮ เล่าปี่กับเตียวหุยมีทหารอยู่ประมาณสองพันจึงไม่สามารถต้านทานกองทัพของโจโฉได้ ต้องแตกกระจัดกระจายไปทั้งทหารและชาวบ้าน
จนรุ่งสว่างโจโฉพักอยู่บนเนินเขาเกงสัน ก็เห็นจูล่งห่ออาเต๊าบุตรชายตัวน้อยของเล่าปี่ไว้ในเสื้อเกราะ ควบม้าฝ่าทหารของโจโฉมาแต่ผู้เดียว ไม่มีผู้ใดจะขัดขวางได้ โจโฉก็นิยมในความกล้าหาญของจูล่ง จึงสั่งทหารไม่ให้ยิงเกาทัณฑ์ฆ่าจูล่งเสีย ให้ล้อมจับเป็นมาให้ได้ แต่ไม่ว่าผู้ใดที่เข้าไปต่อกรด้วย ก็ถูกสังหารล้มตายไปสิ้น เป็นนายกองใหญ่สองคน ทหารเอกห้าสิบคน และทหารเลวอีกนับไม่ถ้วน เห็นโลหิตติดเสื้อเกราะและตัวม้าแดงเถือกประดุจรดด้วยน้ำครั่ง จูล่งจึงหนีรอดไปได้ในที่สุด
ต่อมานายทหารเอกของโจโฉแปดนาย ที่ติดตามจูล่งไป ถึงสะพานเตียงปันเกี้ยว ก็เจอ เตียวหุยยืนม้าอยู่ฝั่งตรงข้าม ร้องท้าทายว่าผู้ใดมีฝีมือเข้มแข็งก็ข้ามมาลองกำลังดูได้ ทหารฝ่ายโจโฉเห็นมีผงคลีฟุ้งอยู่ข้างหลังเตียวหุย ก็คิดว่ามีทหารเป็นอันมาก ต่างก็ลังเลอยู่ เตียวหุยจึงให้ทหารชักกระดานทอดสะพานเสีย แล้วก็พากันหนีไป
เมื่อมีทหารมารายงานโจโฉว่าเตียวหุยหนีไปแล้ว โจโฉก็ว่าทหารของตนกลัวเตียวหุยไปเอง จึงให้ทหารซ่อมสะพานขึ้นใหม่แล้วก็ยกพลตามไปอีก ก็ไปเจอกองทหารของกวนอูที่มาทางเรือจากเมืองกังแฮ ก็คิดว่าเป็นกลลวงของขงเบ้ง จึงให้ทหารถอยกลับ กวนอูก็ไล่ติดตามมาประมาณร้อยเส้นก็หันหลังกลับไป
ฝ่ายโจโฉก็ยกทหารไปตั้งอยู่ที่เมืองเกงจิ๋ว ตระเตรียมกองทัพบกกองทัพเรือ ให้พร้อมที่จะข้ามน้ำไปตีเมืองกังตั๋งของซุนกวน ซึ่งอยู่คนละฟากฝั่งทะเลต่อไป และได้มีหนังสือไปชักชวน ซุนกวนให้ร่วมมือกำจัดเล่าปี่ แล้วจะแบ่งเมืองขึ้นของเกงจิ๋วให้กึ่งหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าขงเบ้งได้ไปเกลี้ยกล่อมซุนกวนและจิวยี่แม่ทัพใหญ่ของกังตั๋ง จนตกลงเป็นพันธมิตรกันแล้ว คนถือหนังสือของโจโฉจึงถูกตัดศรีษะส่งคืนมาแทนคำตอบ .
โจโฉก็โกรธมากให้ชัวมอแม่ทัพเรือ ยกกองทัพเรือเป็นกองหน้าเข้าปะทะกับ กองเรือของเมืองกังตั๋งเป็นครั้งแรก ผลปรากฏว่าทัพเรือของโจโฉต้องพ่ายแพ้กลับมา โจโฉก็ยิ่งเจ็บแค้นมากขึ้น คาดคั้นชัวมอว่าเหตุใดกำลังพลมีมากกว่าข้าศึกจึงแพ้ ชัวมอก็แก้ว่าทหารส่วนใหญ่เป็นชาวดอนไม่สันทัดในการรบทางเรือ จึงเอาชนะข้าศึกซึ่งชำนาญการรบทางน้ำไม่ได้ แล้วเสนอแนะให้ ทำการฝึกซ้อมทหารทั้งหมดให้เข้มแข็งเสียก่อน ชัวมอจึงเอาเรือใหญ่ไปทอดเป็นวงเหมือนตั้งค่ายในทะเล เว้นช่องไว้เข้าออกยี่สิบสี่ทาง แล้วให้ทหารลงเรือเล็กฝึกซ้อมแจวเรือทั้งทางหนีทีไล่ ทั้งกลางวันกลางคืน ส่วนทหารบกก็ตั้งค่ายเรียงรายกันไปไกลประมาณสามพันเส้น
แล้วโจโฉก็ส่ง เจียวก้าน ซึ่งเคยเป็นเพื่อนนักเรียนเก่าสำนักเดียวกันกับจิวยี่ เป็นไส้ศึกไปสืบข่าวทางเมืองกังตั๋ง ก็เสียท่าจิวยี่ทำอุบายกลับมาให้โจโฉสงสัยว่าชัวมอทรยศไปเข้ากับจิวยี่ จึงสั่งประหารชีวิตเสียโดยไม่มีเหตุผล แล้วก็กลับคิดได้ว่าเสียกลจิวยี่แล้ว จึงตั้งให้นายทหารเอกของตนเป็นแม่ทัพเรือแทน
ต่อมาถึงวันข้างแรมเดือนสิบสองหมอกลงหนัก กองเรือของจิวยี่ก็เข้ามาทำท่าจะโจมตี กองเรือของโจโฉ ทหารของโจโฉก็ไม่เห็นว่าข้าศึกยกพลมากี่ลำ ได้ยินแต่เสียงโห่ร้องตีกลองล่อโก๊ทางไหน ก็ระดมยิงเกาทัณฑ์ไปทางเรือที่เห็นตะคุ่ม ๆ นั้นดังห่าฝน เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ข้าศึกเข้ามาใกล้ จนกระทั่งใกล้สว่างเรือของข้าศึกหันหัวเรือกลับไป จึงเห็นว่า มีอยู่กันเพียงยี่สิบลำเท่านั้น จึงจัดเรือไล่ตามไปแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
โจโฉก็คิดถึงชัวมอแม่ทัพเรือของตนที่ถูกฆ่าไปแล้ว จึงทำอุบายให้ช้วต๋งกับชัวโฮ น้องชายของชัวมอ หนีไปเป็นไส้ศึกในกองทัพของจิวยี่ ต่อมาทั้งสองก็หลงกลรับรอง อุยกาย ที่จะหนีจิวยี่มาอยู่กับโจโฉ อีกไม่นานโจโฉก็ส่งเจียวก้านไปหาข่าวในกองทัพจิวยี่อีก คราวนี้เจียวก้านกลับพา บังทองมาอยู่กับโจโฉ และโจโฉก็นับถือบังทองดุจอาจารย์ บังทองจึงแนะนำให้โจโฉตรึงเรือรบใหญ่ให้ติดกันเหมือนดังค่ายบก ทหารเมืองดอนของโจโฉจะได้รบพุ่งได้เต็มที่โดยไม่เมาคลื่น โจโฉก็เห็นด้วยสั่งให้ทหารทำตาม แล้วบังทองก็ขอลากลับไปเกลี้ยกล่อมคนอื่นอีก โจโฉก็เชื่อตามเคย
ก่อนที่โจโฉจะเริ่มทำการรบใหญ่ เมื่อจัดแจงฝึกทหารบกเรือให้พร้อมที่จะเคลื่อนทัพแล้ว ก็แต่งโต๊ะเลี้ยงทหารทั้งปวง ขณะนั้นเป็นเดือนอ้ายขึ้นสิบห้าค่ำ พระจันทร์ส่องสว่าง ลมสงบ คลื่นในท้องทะเลราบดังหน้ากลอง แลเรือขนานทั้งปวงแน่นดังแผ่นดิน ถึงแม้ว่าจะเกิดคลื่นลมใหญ่มา เรือรบก็ไม่ระส่ำระสาย ทั้งทหารก็มิได้เมาคลื่น
โจโฉก็กินโต๊ะอยู่กับทหารเอก เรียงรายเป็นสองแถวประมาณสามร้อยเศษ โจโฉแลดูบนอากาศ เห็นเมืองกังตั๋งของซุนกวนอยู่ทางทิศตะวันออก และเมืองกังแฮของเล่าปี่อยู่ทางทิศตะวันตก ดูไปทางทิศเหนือทิศใต้นั้นก็สว่างด้วยแสงเดือน ก็มีอารมณ์สุขสำราญจึงกล่าวสุนทรพจน์แก่ทหารทั้งปวงว่า
แต่แรกเราก็คิดว่าจะทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เป็นสุข เราก็ได้ทำการปราบปรามศัตรูมาก็หลายตำบลแล้ว บัดนี้ยังแต่เมืองกังตั๋งกล้าแข็งอยู่เมืองเดียว ให้ท่านทั้งปวงจงประนอมกัน ตั้งใจช่วยเราคิดอ่านกำจัดซุนกวนกับจิวยี่เสียได้แล้ว บ้านเมืองก็จะอยู่เป็นสุข เรากับท่านทั้งปวงก็จะมีความสบาย
ที่ปรึกษาและทหารทั้งปวงก็ร้องฮ้อขึ้นพร้อมกัน และชวนกันคำนับแล้วว่า ขอให้เทพยดาช่วยให้สมความคิดเถิด ข้าพเจ้าทั้งปวงจะได้พึ่งท่านสืบไป
โจโฉก็เสพสุราอยู่จนถึงสองยาม ก็ชักจะเมาจึงคุยอวดว่าอันจิวยี่กับโลซกนั้นไม่รู้ตัวว่าจะตาย ด้วยทหารในกองทัพนั้นก็เอาใจออกห่างมาเข้าด้วยเป็นอันมาก ที่ปรึกษาก็ห้ามไว้ไม่ให้คุยโว เพราะอาจจะรู้ไปถึงหูข้าศึกได้ โจโฉก็ว่าอยู่กับทหารร่วมใจกันทั้งนั้น จะต้องไปกลัวอะไร แล้วก็ชี้มือไปทางเมืองกังแฮและว่า ขงเบ้งกับเล่าปี่นั้นก็มิได้คะเนในกำลังของตัวว่าเหมือนมอปลวก องอาจคิดจะทำลายภูเขาอันใหญ่ ยังจะสมความคิดแล้วหรือ
แล้วก็เปิดเผยความในใจว่า อันอายุของตนก็ได้ห้าสิบปีแล้ว แม้ได้เมืองกังตั๋งก็จะมีความยินดี ด้วยแต่ก่อนตนรู้ว่ามีหญิงงามสองคน ซึ่งตนพอใจอยู่ แต่ไปเป็นภรรยาซุนเซ็กพี่ชายของซุนกวนคนหนึ่ง เป็นภรรยาจิวยี่คนหนึ่ง เมื่อครั้งที่รบชนะอ้วนเสี้ยวได้เมืองกิจิ่วนั้น ตนได้สร้างปราสาทไว้ที่ริมแม่น้ำเจียงโห ครั้งนี้ถ้าได้เมืองกังตั๋ง ตนก็จะพาหญิงสองคนนี้ไปอยู่ที่ปราสาทนี้ ตนก็จะได้มีความสุขไปจ นกว่าจะสิ้นชีวิต
แล้วโจโฉก็ฉลองความสุขของตนไปจนดึก พอเมาหนักขึ้นก็คว้าทวนออกไปยืนที่หัวเรือแล้วประกาศว่า ทวนเล่มนี้ตนถือสำหรับมือมาแต่แรกเป็นทหาร จนปราบปรามโจรโพกผ้าเหลือง และลิโป้ อ้วนสุด อ้วนเสี้ยว ตลอดจนหัวเมืองทั้งปวง ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นชายชาติทหาร แล้วก็ร้องเพลงเป็นเนื้อความว่า ธรรมดาเกิดมาแล้วก็จะต้องตาย ให้เร่งรื่นเริงหาความสนุกสบายให้มีความสุขก่อน
ที่ปรึกษาคนหนึ่งก็เตือนว่า โจโฉยกกองทัพมาทำการสงคราม เหตุใดจึงมากล่าวคำเป็นลาง โจโฉก็โกรธด้วยกำลังเมา จึงเอาทวนคู่มือแทงที่ปรึกษาผู้นั้นตายคาที่ ทหารทั้งปวงก็ตกใจจึงพา โจโฉกลับไปค่ายบนบก
ครั้นถึงเช้าสร่างเมาก็ได้คิดว่า ตนฆ่าที่ปรึกษาเสียโดยไม่มีความผิด แต่ก็ไม่สามารถจะแก้ไขได้แล้ว นอกจากจะให้นำศพไปจัดการทำพิธีตามธรรมเนียมขุนนางผู้ใหญ่ ที่เมืองฮูโต๋
จนกระทั่งถึงวันแรมห้าค่ำเดือนอ้าย เวลายามเศษ ลมสลาตันที่เคยพัดจากกองทัพโจโฉ ก็หวนกลับพัดจากฝั่งของจิวยี่มาหากองทัพเรือของโจโฉ อุยกายที่ว่าจะหนีจากกองทัพจิวยี่ ก็นำเรือยี่สิบลำเข้ามาใกล้ค่ายเรือของโจโฉ แล้วจุดไฟขึ้นในเรือทุกลำ เรือนั้นก็ลอยตามลมเข้ามาปะทะกองทัพเรือที่ผูกตรึงติดกันอยู่ เกิดเพลิงไหม้ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถจะแยกเรือออกจากกันได้ เรือทั้งหมดเป็นพันลำจึงถูกเผาวอดวายไป โจโฉนั้นเห็นว่าไม่สามารถจะดับไฟได้ จึงลงเรือเล็กจะหนีขึ้นบก อุยกายก็ตามมาจะฆ่าโจโฉ เตียวเลี้ยวนายทหารองครักษ์ของโจโฉจึงยิงเกาทัณฑ์ถูกอุยกายตกน้ำไป โจโฉจึงรอดไปขึ้นบกได้