สรุป Creative Unfold 2013 : Meet the unmet, วันแรก : มาค้นหาความต้องการของลูกค้าที่เค้าไม่รู้ตัวกัน :)

Creative Unfold 2013 : Meet the unmet, วันแรก

Creative Unfold เป็นงานที่จัดขึ้นมา เพื่อเปิดมุมมอง และพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยที่จัดขึ้นทุกปี โดยปีนี้จะเน้นธีมไปในเรื่องของการค้นหาความต้องการที่ลูกค้ายังไม่รู้ตัว (Unmet Need)

ผมคิดว่าเป็นงานที่ดีมากๆเลยนะ เพราะความคิดสร้างสรรค์มันคือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาสิ่งใหม่ๆให้ดีกว่าเดิม, และเพราะความคิดสร้างสรรค์นี่แหละ ที่เป็นตัวเพิ่มคุณค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างมาก

ตัวอย่างเช่น ทุกคนรู้หรือเปล่าครับ ว่านิยาย Harry Potter โดย J.K Rowling นั้นสร้างรายได้มากกว่าการส่งออกซิลิคอนชิพทั้งปีของเกาหลีซะอีก (ตัวเลขผมไม่แน่ใจ จดไม่ทัน), โดยที่ Harry Potter นั้นเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ และซิลิคอนชิพเป็นเพียงแค่การผลิต (โอเค อาจจะมีพวกค่า R&D หรืออะไรก็ตาม แต่นี่ก็เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นว่า ความคิดสร้างสรรค์นั้น มีมูลค่าขนาดไหน)

ผู้บรรยายวันนี้มีทั้งหมด 4 คน

Yoon C. Lee, Head of Samsung Electronics America's Product Innovation

Chris Down, First Service Designer Founder in UK, Co-founder of Life|Work

Don Tae Lee, Co-president of Tangerine, UK-based Design Consultancy

Dai Fujiwara, Cutting-edge fashion innovator behind the success of Issey Miyake

ยังไงเนื้อหาผมขอสรุปเป็นภาพรวมนะครับ เพราะถ้าเขียนทั้งหมดคงยาวไป แต่ถ้าวันไหนว่างๆ จะสรุปละเอียดในหัวข้อที่น่าสนใจละกันครับ

คุณ Yoon C. Lee มีแนวคิดที่มานำเสนอน่าสนใจมาก และเป็นการแสดงออกถึงกระบวนการคิดที่ดูเป็น Asia ดี นั่นคือ Ying&Yang in insight to concept

Yoon บอกว่า ภาพรวมของการ Design นั้นแบ่งออกมาได้เป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งของ Function กับ Emotion

Function คือเรื่องของการใช้งาน, Emotion คืออารมณ์สุนทรีย์ในการใช้

ซึ่งการ Design นั้น ต้อง balance ทั้งสองส่วนไว้, อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี, น้อยเกินไปก็ไม่ดี เช่น แจกันใส่ดอกไม้ ถ้าเน้นแต่ function จนเกินไป เป็นแค่กระบอกไว้แค่ใส่ดอกไม้มันก็ไม่น่าใช้, แต่ถ้าเน้นแต่ Emotion มากเกินไป จนรูปร่างงดงามมากแต่ใส่ดอกไม้ไม่ได้ มันก็ไม่มีค่า, ต้อง balance ให้ดีๆ

จนเค้าสรุปว่า design = function marry emotion, คือมันต้องกลมกลืนกันจนมันเหมือนแต่งงานกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน

และในการ design นั้น การ bias จนไม่ balance ก็ส่งผลเหมือนกัน, แต่เค้าก็บอกว่า มันไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่การเน้นไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งมากๆ มันจะทำให้เราไปเจาะตลาดเล็กๆ (Niche Market) แทน

ถ้าเราต้องการขายตลาดใหญ่ (Mass Market) เราต้อง Balance หลายๆส่วนให้ดี

แล้วจะ Balance ยังไงละ?

อันนี้จะเริ่มโยงไปเรื่อง Insight และการสังเกตสิ่งรอบตัว

Yoon บอกว่า ทุกสิ่งนั้นมีสองขั้วเสมอ และลักษณะของคนเหมือนกัน เช่น

คนเกาหลีจะมีลักษณะ ซับซ้อน, ลงมือทำ, นอบน้อม, เน้นผลลัพธ์

คนอเมริกันจะมีลักษณะ เรียบง่าย, ช่างคิด, เชื่อมั่นในตัว, เน้นกระบวนการ (ทั้งหมดนี้เป็นแค่ตัวอย่าง จริงๆมีมากกว่านี้เยอะมาก)

เราจะสังเกตลักษณะได้จากสิ่งเล็กๆน้อยๆรอบตัว เช่น ไฟในห้องน้ำ, สัญญาณจราจร, ลักษณะคำที่ใช้, การแต่งกาย, การเขียน, การทักทาย

Yoon บอกว่าในการทำ Project นึงนั้น ผู้ริเริ่มคิด ควรจะอยู่ใน Process ตั้งแต่ต้นจนจบ, เพราะคนที่รู้ว่าควรทำทำไมดีที่สุด คือคนเริ่มคิด ซึ่งจะส่งผลต่อการวาง Design Process

ปิดท้ายด้วย Balanced design come from balanced state

เวลาเราจะวิเคราะห์และจะออกแบบอะไร เราควรอยู่ในภาวะที่ไม่เอนไปด้านไหนมากเกินไป, ไม่ bias, เพราะเมื่อเรามองทุกอย่างด้วยความเป็นกลาง เราจะเข้าใจที่มาและเหตุผลของสิ่งรอบตัว

คนที่สอง : Chris Down

เค้ายกตัวอย่างของ Design ที่ตอบโจทย์ Unmet need ที่ Classic ในมุมมองของเค้า นั่นคือ รถเต่า Volkswaken

เค้าบอกว่า เมื่อก่อนคนก็มองว่ารถเป็นรถธรรมดา มีไว้ขับก็พอ, แต่พอ Volkswagen ที่ออกแบบรถให้สวยงามขึ้น ผลปรากฎคือคนชอบมันมาก, เพราะตอนนั้นคนเราก็อยากขับรถสวยๆ แต่ไม่มีใครรู้ตัว เพราะทุกคนชินชากับรถธรรมดาๆไปแล้ว

Idea ที่ดี ต้องมี 3 factors : People เพื่อตอบโจทย์ Unmet need, Business model เพื่อส่ง Value ไปยังลูกค้า, Technology เพื่อช่วยในการตลาดและการขยายไปยังวงกว้าง, Chris บอกว่า หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมต้อง Technology (ผมก็รู้สึกตะหงิดๆ เพราะ Technology เองมันก็ยังไม่ใช่แก่นจริงๆในมุมมองของผม) เค้าบอกว่ายากที่จะเลี่ยงไม่ให้ Technology เป็นส่วนหนึ่งแล้ว เพราะมันพิสูจน์ตัวมันเองแล้วว่า ทรงประสิทธิภาพขนาดไหน (ผมเลยโอเค)

หลังจากนั้น เค้าก็ยกตัวอย่าง Case เยอะมาก (Airbnb, nike+ Grubclub, Lyft, funding circle เผื่อทุกคนสนใจไปหาข้อมูล เพราะผมคงอัดในนี้ไม่ไหว)

แล้วเค้าก็แนะนำกระบวนการทำงานแบบ Lean startups

เค้าบอกว่า การวางแผนนานๆ มันกินเวลาเกินไปและสุดท้ายก็ต้องเอามาแก้อยู่ดี เพราะยังไงก็ต้องเจอปัญหาระหว่างทาง, คุณแค่คิดให้ได้ Concept และเริ่ม design ให้แข็งพอยืนได้พอ และลงลุยเลย เมื่อเจอปัญหาระหว่างทางก็ปรับปรุงไป คุณจะได้เห็นสนามจริงๆ

จับคนที่เกี่ยวข้องทุกคนมาอยู่ในห้องเดียวกัน และสุมหัวแก้ปัญหาเลย ไม่ต้องทำเป็น Process ส่งต่อ เพื่อที่ทุกคนจะได้เห็นภาพจริงๆ (เป็นวิธีที่ระห่ำดีนะ แต่ผมก็ชอบ)

คนที่สาม Don Tae Lee สำหรับคนนี้ ผมต้องขอโทษจริงๆเพราะเค้าพูดเป็นภาษาเกาหลี และล่ามก็แปลไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่

สรุปสั้นที่สุดเลยคือ เอาตัวเองออกมาจากที่ๆเคยชิน เพื่อออกจากกรอบเดิมๆ, เอาหลายๆอย่างมาเสริมกัน เช่นเกาหลีเก่งเรื่องการเคลือบเรือ เค้าก็เอา Technology ส่วนนั้นมาใช้เคลือบกระทำ ทำให้เป็นกระทะที่ทอดแล้วไม่ติดคราบ, และ ทุกคนเก่งกันหมด ทำให้บางครั้งเราจะทำงานไม่เป็นทิศเป็นทาง เพราะเชื่อว่าไปทางตัวเองจะถูกที่สุด จึงต้องมี Single vision หรือวิสัยทัศน์ และสอดแทรกมันไปทุกๆส่วน ตั้งแต่การออกแบบตึก, กระบวนการทำงาน ไปจนถึง font และสีที่ใช้

และคนที่สี่ Dai Fujiwara ซึ่งวันนี้ ผมฟินคนนี้สุดแล้ว ถึงแม้อาจจะเอาไปใช้ในการทำงานของผมไม่ได้ก็เถอะ (555+) เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ Fashion design ล้วนๆ

Dai Fujiwara แสดงให้เห็นเลยว่า ทำไม Story ถึงสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจแฟชั่นได้มากมายขนาดไหน ทั้งๆที่มันก็คือการตัดผ้าไปสวมใส่เหมือนๆกัน

Fujiwara ยกตัวอย่าง 4 ตัวอย่าง ที่ใช้หลักการ A-POC หรือ A Piece of Cloth

A-POC เดิมที เป็นเทคนิคการตัดผ้า ที่ทำให้ลูกค้าสามารถ design รูปแบบและขนาดเองได้ ซึ่งภายหลัง Fujiwara ยึดถือเป็นปรัชญาในการทำงานเลย (ซึ่ง Abstract มากๆ)

ตัวอย่างแรก Fujiwara ยึดถือหลัก Natural painting ที่ทุกอย่างจะเป็นหนึ่งเดียวกัน(ตามหลักการวาดภาพของจีน) เค้าจึงออกแบบให้เสื้อทุกตัวนั้นมาจากผ้าผืนเดียวกัน และทุกส่วนเชื่อมถึงกันไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง (ซึ่งเป็นที่มาของ A-POC), ดูมี Story มั้ยครับ, เพราะทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียว เราจึงทำให้เสื้อทุกตัวมาจากผ้าผืนเดียวกัน

ตัวอย่างที่สอง Fujiwara เน้นไปที่หลักการ Color hunting หรือ สีที่จะใช้ ควรเป็นสีของสิ่งนั้นจริงๆ, Collection ที่เค้าต้องทำตอนนั้นเกี่ยวกับ Ocean, Amazon, Galaxy, เค้าก็ออกเรือไปทะเลจริงๆ แล้วนำสีฟ้าทุกโทนสีไปเทียบใต้น้ำ เพื่อดูว่าสีไหน คือสีทะเลที่แท้จริง, บุกเข้าป่าไป เพื่อเอาสีมาเทียบว่า โทนสีไหนคือของใบไม้ เปลือกไม้ ดิน, ไปทุ่งหญ้าซาวันน่า เพื่อเปรียบเทียบว่า โทนสีไหนคือโทนสีของสิงโต! , คือใครได้ฟัง Story เข้าไป คงเพิ่มความอยากได้ไม่มากก็น้อย

ตัวอย่างที่สาม คือ Fujiwara อยากเล่าเรื่องเกี่ยวกับคาราเต้ เพราะคาราเต้มีเสน่ห์ในตัวของมัน เค้าจึงออกแบบเสื้อที่สามารถใส่เล่นคาราเต้ได้ เสื้อทุกตัวก็ไม่มีปัญหา จนกระทั่งมาเสื้อสูท เพราะเสื้อสูทจะมีทรงของมัน ที่ทำให้ยืดหดไม่ได้ ซึ่งไม่เหมาะกับการเล่นคาราเต้, แต่เค้าก็ออกแบบได้! โดยการสร้างส่วนยืดหยุ่นเป็นส่วนๆแทน, ในการเดิน Fashion show ของ Collection นี้ เค้าเปิดตัวด้วยการให้นักคาราเต้ใส่ชุดสูทนั้น มาเล่น คาราเต้จริงๆโชว์ ซึ่งเป็นคาราเต้ที่สวยงามมาก

ตัวอย่างที่สี่คือ เค้าจะออกจาก Issay Miyake แล้ว (ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดนะ) แต่เค้าอยากให้กระบวนการเหล่านิ้ยังคงหมุนเวียนอยู่, เค้าก็นึกถึงการหมุนเวียน, ดนตรี Rondo(ที่เกี่ยวข้องกับการหมุนเวียน), ภาพวาดแบบ Paradox ที่เป็นเรื่องของการหมุนเวียน, สุดท้ายเค้าได้ไอเดียจากการพับกระดาษ (ดังรูป) ว่าทุกอย่างล้วนไปข้างหน้าและย้อนกลับเป็นวัฐจักร แล้วสุดท้ายนั้น เค้าเอาการพับกระดาษนั้นมาทำเป็นเสื้อ!, Fashion show ครั้งนั้น เค้าให้คนมาพับกระดาษจริงๆ แล้วก็ใส่นายและนางแบบมันตรงนั้นเลย เพื่อแสดงให้เห็นถึง concept ที่มา ก่อนจะเดิน Fashion Show และมีคนเล่นเพลง Rondo คลอระหว่างเดิน, คือมันเป็น Story ที่อลังการมาก ผมไม่เคยใช้เสื้อผ้าของ Issay Miyake เลย แต่เห็นปุ๊บแล้วอยากจะได้ทันที

เสื้อของ Issay Miyake คงไม่มีมูลค่าขนาดนี้ ถ้าขาด Story ไป

4 คนนี้แสดงอะไรให้พวกเราเห็น?

เค้าแสดงให้เห็นว่า "ความคิด" นั้นทรงพลังขนาดไหน

มันเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนได้

มันอยู่รอบตัวเรา

มันทำให้เศรษฐกิจเติบโตมากมายเพียงใด

ความคิดสร้างสรรค์ นั้นบอกความหมายได้ตรงตัวอยู่แล้ว

มันคือการคิด "เพื่อสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่ง"

แค่คุณเริ่มคิด คุณก็เริ่มสร้างบางอย่างแล้ว

หากคุณต้องการจะพิชิตสิ่งใด คุณต้องเริ่มสร้างบางอย่าง, ซึ่งนั้นหมายถึงคุณต้องเริ่มคิด คุณต้องเริ่มสร้างสรรค์

การตลาด รากฐานของมันอย่างหนึ่งคือ Creative Thinking

หากคุณทำสิ่งที่คนอื่นก็ทำ มันจะแตกต่างจากคนอื่นอย่างไร? มันจะโดดเด่นได้หรือ?

มันคงไม่ค่อยสนุก ถ้าต้องทำเหมือนกับคนอื่นๆ และกลายเป็นอะไรที่เหมือนๆกันไปหมด

เราจะพิชิตตลาดได้อย่างไร ถ้าเรายังเป็น Somebody เหมือนกับคนอื่นๆ ไม่ได้เป็น The one ที่โดดเด่น

Creative Unfold ยังคงมีต่อวันพรุ่งนี้อยู่ ผมก็จะสรุปมาให้ทุกคนอ่านเหมือนเดิมนะครับ

อาจจะมีผิดตกหรืออะไรก็ตาม ก็ขอกราบอภัยทุกท่านด้วยครับ ผมเก็บได้ไม่ 100% จริงๆ

#ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผมได้ฟังมาและมุมมองของผม เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยยังไง มาคุยกันได้ครับ เพราะผมอยากเห็นหลายๆมุมมอง ยิ้ม

พันธิตร

ขอขอบคุณ : TCDC, OKMD, สำนักนายกรัฐมนตรี ที่จัดงานดีๆอย่างนี้ขึ้นมานะครับ ผมเชื่อว่าเป็นประโยชน์กับหลายฝ่ายจริงๆ

เพจของผมครับ : https://www.facebook.com/pantitmarketing

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่