ผู้เขียนได้มีโอกาสอ่านบทสัมภาษณ์ของนักร้องท่านหนึ่งที่บอกว่าทุกวันนี้แม่ยังคงคอยเป็นห่วงอยู่เสมอ คอยโทรมาถามว่าแปรงฟันหรือยัง ถึงแม้ว่าจะโตแล้วก็ตาม ทำให้นึกถึงมุมน่ารักๆ ของแม่ผู้เขียนเองขึ้นมา บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของแม่ ส่วนเรื่องของป๋าขอเก็บไว้เขียนตอนวันพ่อละกัน ซึ่งขอบอกว่าเฮฮาไม่แพ้กัน..........
แม่ผู้เขียนอายุ 71 ปีแล้ว เป็นลูกครึ่งไทยจีน เรียนจบแค่ชั้น ป. 4 แต่แม่อ่านหนังสือและเขียนภาษาไทยได้เป็นอย่างดี ท่านเป็นนักอ่านตัวยงเหมือนกัน ด้วยวัยขนาดนี้บางท่านอาจจะคิดว่าควรจะเข้าวัดปฏิบัติธรรม.............. แต่แม่บอกว่าไม่ชอบไปนั่งพับเพียบ เมื่อย ไปไม่ไหว อยู่บ้านสบายกว่ากันเยอะ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้เพราะทุกอย่างอยู่ที่ใจ ซึ่งผู้เขียนก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง
แม่เริ่มปฏิบัติภาระกิจในแต่ละวันด้วยการตื่นตั้งแต่ตี 5 ลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าให้ตัวเองและน้องสาวคนเล็ก ซึ่งเมื่อไหร่ๆ แม่ก็มองว่ายังเป็นเด็ก (น้องคนนี้เป็นลูกหลงของแม่ เพราะห่างจากผู้เขียนซึ่งเป็นลูกคนโต 13 ปี) ฉะนั้นแม่จึงไม่เคยเห็นว่าน้องโตสักที............ หลังจากส่งน้องให้ขับรถออกไปทำงานในแต่ละวันแล้ว แม่ก็จะเริ่มทำงานบ้านต่างๆ เช่นซักผ้าด้วยเครื่อง กวาดบ้าน ถูบ้านบ้างแล้วแต่ว่าวันไหนอยากทำอะไร ที่บ้านเราไม่มีคนช่วยทำงานบ้านถึงแม้ว่าลูกๆอยากจะมีมากก็ตาม.............. แม่ให้เหตุผลว่าไม่ชอบให้คนแปลกหน้ามาเดินเพ่นพ่านอยู่ในบ้าน พวกเราเลยต้องยอมเพื่อความสุขของแม่เพราะแม่เป็นคนที่ต้องอยู่กับคนแปลกหน้ามากกว่าพวกเรา ฮา (3 ครั้ง)
ยามอยู่บ้านคนเดียวช่วงกลางวันแม่มีโทรทัศน์และรายการ AF เป็นเพื่อน ฉะนั้นแม่จึงรู้จักผู้เข้าประกวดทุกคนตั้งแต่ซีซั่นแรกจนถึงปัจจุบัน แม่มีความสุขมากเมื่อได้ดูรายการนี้............... สำหรับคนทั่วไปอาจจะไม่ชอบรายการประเภทนี้ แต่สำหรับผู้เขียนเองกลับชอบมากถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่เคยดู เหตุผลเดียวเลยก็คือรายการนี้อยู่เป็นเพื่อนแม่ตลอดเวลาตั้งแต่เช้ายันค่ำ ทำให้ไม่เหงา มีเรื่องให้เม้าท์กันทางโทรศัพท์กับอาอี้ผู้เป็นน้องสาวแม่ซึ่งชอบดูรายการนี้เหมือนกันจึงคุยกันถูกคอ............. นอกจากการดูโทรทัศน์แล้ว ผู้เขียนได้สมัครสมาชิกนิตยสารให้แม่อ่านอีก 2 ฉบับ คือ ชีวจิต และ Secret และถ้ามีหนังสือเล่มไหนที่เกี่ยวกับ AF แม่ก็จะออกไปหาซื้อ ถ้าหาเองไม่ได้ก็จะให้น้องๆ ช่วยหาให้........... เมื่อช่วงสามสี่ปีที่แล้วที่พวก AF เล่นละครเวที น้องๆต้องพยายามหาบัตรและพาแม่ไปดูให้ได้ แม่มีความสุขมาก ทุกวันนี้ยังคงพูดถึงละครที่ได้ไปดูอยู่บ่อยๆ นับว่าแม่เป็นสาวก AF ตัวจริงเสียงจริง................ ช่วงไหนที่ไม่มีรายการ AF แม่ก็ยังคงมีรายการอื่นให้ได้ติดตาม ฉะนั้นแม่จึงไม่เคยเหงา แม่เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และก้าวทันโลกด้วยการดูทีวีและอ่านหนังสือ แม่ไม่เคยตกเทรนด์ แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะรับมันได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้น
แม่จะนอนหลังอาหารกลางวันถึงบ่าย 2 แล้วก็จะตื่นมาทำโน่น ทำนี่ หรือออกไปตลาด แม่ชอบการออกไปตลาดมาก ทั้งรอบเช้าและรอบบ่าย รอบเช้าออกไปใส่บาตร รอบบ่ายออกไปซื้อกับข้าวหรือขนมต่างๆ................ ถามว่าทำไมบ้านเราจึงยังปล่อยให้แม่ออกไปตลาดเองทั้งที่อายุเยอะแล้ว ผู้เขียนมองว่ามันเป็นการกระตุ้นให้ผู้สูงอายุได้ใช้สมอง ได้ทำในสิ่งที่ชอบ จะได้ไม่เป็นโรคอัลซัลเมอร์ การไปตลาดทำให้ได้คุยกับแม่ค้า คิดเงินทอน เปรียบเทียบราคาสินค้า ได้เจอสินค้าชนิดใหม่ๆ ตลอดเวลา ฯลฯ................ ขากลับจากตลาดแม่จะมีรถรับส่งขาประจำอยู่ที่ตลาดมาส่งที่บ้าน ทำให้พวกเราอุ่นใจได้บ้าง
ทุกวันตอนประมาณ 5 โมงเย็นแม่จะโทรตามลูกๆ ว่าเย็นนี้จะกลับมากินข้าวเย็นที่บ้านหรือเปล่า จะกลับถึงบ้านตอนกี่โมง (ไม่เว้นแม้วันหยุดราชการ) ตอนกลางคืนแม่จะต้องนอนให้ทีวีดูแม่อยู่ข้างล่างจนกว่าน้องจะกลับจากทำงาน.................. ที่เขียนว่าทีวีดูแม่นั้นถูกต้องแล้วคือแม่เปิดทีวีแล้วหลับ แต่มือยังต้องกุมรีโมตไว้ตลอดเวลา ใครอย่าได้คิดมาเอารีโมตออกไปจากมือเด็ดขาด............... พอสมาชิกทุกคนในบ้านกลับมาครบแล้ว แม่จะย้ายขึ้นไปเปิดทีวีบนห้องนอนและเหมือนเดิมคือให้ทีวีดูแม่ พอ 5 ทุ่ม แม่ก็จะปิดทีวีนอนจริงๆ
บ้านเราอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ชานเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งในหมู่บ้านนี้กลางวันจะมีแต่พวกคนแก่อยู่บ้าน เมื่อก่อนตอนที่ผู้เขียนยังอยู่เมืองไทยรู้จักเพื่อนบ้านถัดไปไม่เกิน 3 หลัง............ พอหลังจากแม่ย้ายมาอยู่เป็นเพื่อนน้องยามที่ผู้เขียนต้องย้ายมาทำงานต่างประเทศเมื่อเกือบสิบปีที่แล้วนั้น ขณะนี้กลับไปบ้านทีไรจะพบว่าแม่รู้จักคนเกือบทั้งหมู่บ้านแล้ว ไม่เว้นแม้กระทั่งวินมอเตอร์ไชด์ และยามทุกคนของหมู่บ้าน........... พวกเค้าเรียกแม่ว่าอาม่า และมีน้ำใจกับแม่เสมอมา สาเหตุอาจจะเป็นเพราะแม่มีน้ำใจและมีสัมพันธไมตรีที่ดีกับคนรอบข้างเสมอ ชอบเอาขนมไปแบ่งปันให้พวกเค้า ไม่ว่าจะเป็นช่วงตรุษจีน หรือปีใหม่............. ที่หมู่บ้านเรามีศาลตา-ยายอยู่ แม่ชอบเอาของไปไหว้บ่อยๆ เสร็จแล้วก็จะเอาขนมไปแบ่งปันให้ยามหรือคนกวาดถนนของหมู่บ้าน ผู้เขียนพบว่าคนเหล่านี้เวลาเจอหน้าผู้เขียนหรือน้องๆ ก็จะแสดงความมีน้ำใจออกมาด้วยความจริงใจเสมอ ซึ่งนับว่าบารมีของแม่ได้แผ่มาถึงลูกๆ และหลาน ๆ ด้วย
แม่ชอบปลูกต้นไม้มาก แต่ต้องเป็นต้นไม้ที่แม่เห็นด้วยเท่านั้น ถ้าต้นไม้ที่ลูกต้องการไม่เป็นที่ชื่นชอบของแม่เราก็จะไม่ได้เห็นต้นไม้ชนิดนั้นในบ้านเราอย่างแน่นอน แม่จะมีเหตุผลมากมายมาคอยชักจูงเราว่าทำไมจึงไม่ให้ปลูกต้นไม้ชนิดนั้น.......... เช่นผู้เขียนอยากปลูกกุหลาบมาก แต่จนบัดนี้บ้านเรายังไม่เคยมีกุหลาบเลยสักต้นเพราะแม่ไม่ชอบบอกว่าหนอนเยอะ มีแต่ต้นมะม่วง (ที่เคยออกลูกเบี้ยวๆมาลูกเดียว) เพราะแม่อยากได้มะม่วงแบบข้างๆบ้านที่ออกลูกดกมาก แต่ผู้เขียนก็ไม่ได้เดือดร้อนกับการไม่ได้ปลูกกุหลาบ เพราะคิดดูแล้วปีนึงผู้เขียนอยู่บ้านรวมกันไม่เกิน 1 เดือน แต่แม่ต้องอยู่ทั้งปีจึงตามใจแม่............... บ้านเรายังมีต้นไม้อย่างอื่นเต็มสนาม เช่น หางกระจง จำปี ลีลาวดี ต้นโมก แสงจันทร์ และจันทร์ผา ฯลฯ แม่มีสระบัวใหญ่อยู่หน้าบ้าน (สระบัวเกิดจากป๋าของผู้เขียนดูตำราฮวงจุ้ยบอกว่าต้องมีสระน้ำอยู่หน้าบ้านเลยสร้างขึ้น แต่หลังจากเป็นสระน้ำอยู่ได้พักนึงก็กลายสภาพมาเป็นสระบัวของแม่) ซึ่งจะเป็นคนใส่ปุ๋ยและดูแลเองตลอด บัวของแม่มีดอกหลายสีและออกตลอดทั้งปี............. แม่เป็นคนมือเย็นปลูกอะไรก็งามไปหมด บางทีเพื่อนบ้านก็จะมีมาขอแบ่งไปปลูกบ้างซึ่งแม่ก็จะเต็มใจมากเพราะแม่ภาคภูมิใจกับฝีมือการปลูกต้นไม้ของตัวเอง............. แม่ซื้อต้นไม้จากรถที่เข้ามาขายในหมู่บ้าน เมื่อซื้อแล้วจะจ้างให้คนขายช่วยขุดดินปลูกให้ในที่ที่ต้องการ หลังจากนั้นก็คอยดูแลรดน้ำต้นไม้และใส่ปุ๋ย บ้านเราจ้างคนสวนของหมู่บ้านมาคอยตัดหญ้าและตัดใบไม้ให้ ซึ่งทุกคนจะดีใจมากเพราะแม่คอยให้เงินพิเศษแก่พวกเค้าเสมอ
แม่เป็นคนแก่ที่ดูแลสุขภาพตัวเองได้อย่างดีเยี่ยมถึงแม้ว่าจะเป็นเบาหวานมา 10 กว่าปีแล้ว แม่บอกว่าลูกทำงานอยู่ไกลบ้านมากไม่อยากให้ลูกต้องเป็นห่วง ส่วนน้องๆ ก็ยุ่งกับการทำงานกันทุกคน แม่จะไปหาหมอตรงเวลาทุกครั้ง ถ้ามีอาการไม่สบายก็จะรีบรักษา........... สำหรับผู้เขียนเองรู้สึกสบายใจมากที่แม่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดีทำให้ไม่เคยต้องกังวลอะไรเลย............ แม่เป็นคนที่ชอบศึกษาว่าอะไรดีมีประโยชน์แล้วนำเสนอต่อลูกๆ ซึ่งสูตรต่างๆ ก็จะได้มาจากการคุยกับเพื่อนบ้านบ้าง อ่านหนังสือ หรือดูโทรทัศน์ ซึ่งบางทีลูกๆ ก็ต้องพยายามทำใจกับสูตรต่างๆ ที่แม่นำเสนอ เพราะบางทีก็เกินความสามารถ เช่นการให้ตื่นมาดื่มน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นทุกเช้าอะไรประมาณนี้ และอื่นๆ อีกมากมาย
แม่ทำอาหารคาวหวานได้หลายชนิดและอร่อยมาก เมื่อตอนเด็กๆ บ้านเราอยู่ต่างจังหวัด มีอาชีพทำสวน ไม่ถึงกับยากจนแต่ก็ต้องประหยัด แม่ทำอาหารเลี้ยงลูก 3 คนที่มีอายุไล่ๆ กันในขณะนั้น (น้องคนที่สี่เกิดมาในยุคหลังจึงไม่ทันเหตุการณ์ในช่วงแรกๆ)......... จำได้ว่าเมื่อก่อนตอนตรุษจีนแม่ต้องโม่แป้งเป็นกระสอบด้วยโม่หิน เพื่อทำ ขนมเช่ง ขนมเทียน เป็นงานที่หนักมาก ต้องตัดใบตอง เช็ดใบตอง เหลาก้านมะพร้าวเป็นไม้กลัดไว้ห่อขนม ต้องนึ่งเป็ด นึ่งไก่........... แม่ทำข้าวตูอบควันเทียนหอมมาก ข้าวต้มมัดของแม่ก็อร่อยที่สุด เราใช้กล้วยและมะพร้าวจากสวนของเราเอง ใบตองก็ต้องเลือกเอาใบอ่อนๆเท่านั้น น้ำพริกเผาของแม่ต้อง เผาพริก หอม กระเทียมเอง............. แต่เมื่อมาอยู่กรุงเทพฯแม่ไม่ค่อยได้ทำอาหารที่ต้องมีขั้นตอนเยอะๆ แล้ว ส่วนมากทำง่ายๆ และเป็นอาหารที่เหมาะกับคนเป็นเบาหวานเป็นหลัก.......... แต่แม่ยังคงตำน้ำพริกกะปิให้กินอยู่บ่อยๆ รวมทั้งยำมะม่วงและยำแตงกวา สูตรของแม่ต้องใส่กุ้งแห้งตำละเอียดเยอะๆ เนื่องจากลูกๆ ชอบมาก บ้านเรากินข้าวครบ 3 มื้อ และสามารถกินน้ำพริกกะปิเป็นอาหารมื้อเช้าได้ อาจจะเป็นเพราะด้วยความเคยชินตั้งแต่เด็กๆ เมื่อสมัยอยู่ต่างจังหวัด........... ทุกวันนี้ผู้เขียนติดอาหารฝีมือแม่มากกว่าอาหารตามร้าน ถึงแม้ว่าเมนูของแม่จะเป็นอาหารที่ปรุงง่ายๆ แต่ด้วยรสมือที่คุ้นเคยและความรักของแม่ที่ใส่ลงไปในอาหารทำให้รู้สึกว่าอาหารทุกจานอร่อยและมีคุณค่ามาก............ อาหารหรือขนมบางอย่างแม้ว่าจะไม่ได้ทำเอง แต่แม่ก็จะมีวิธีในการพูดชักชวนให้เชื่อว่าขนมที่แม่ซื้อมานั้นอร่อยมากและได้ผ่านกระบวนการคัดเลือกอย่างดีที่สุดมาแล้ว
เวลาผู้เขียนได้กลับเมืองไทยช่วงวันหยุด ก่อนกลับมาทำงานแต่ละครั้งแม่จะถามว่าครั้งนี้จะเอาอะไรไปบ้างจะได้เตรียมได้ถูก แม่เคยทำไข่เจียวชะอมเป็นแพๆ ให้เอากลับมาทำแกงส้มชะอมกินยามอยู่ต่างประเทศคนเดียว บางครั้งทอดปลาเค็มเป็นชิ้นเล็กๆ แบ่งใส่ห่อ ซีลให้อย่างดี ทอดปลาสลิดให้ ขนมสารพัดชนิดที่ลูกชอบกินและแม่ชิมแล้วว่าอร่อยก็จะไปสรรหามาให้........... เวลาผู้เขียนบินกลับในกระเป๋าจึงเต็มไปด้วยของกินที่แม่จัดสรรให้.................. ถามว่าประเทศที่มาทำงานอดอยากขนาดนั้นเลยเหรอ ขอบอกเลยว่าไม่........... แต่เพราะเห็นแม่มีความสุขที่ได้ทำได้เตรียมให้เวลาเรากินก็สุขใจไปด้วยก็เลยยังคงเป็นแบบนี้ตลอดมา
สุดท้ายนี้อยากบอกว่ารักแม่มาก และตุลานี้ผู้เขียนก็จะได้กลับบ้านอีกครั้งแล้ว ไชโย.............. หากมีใครได้ผ่านมาอ่านบทความนี้ลองแบ่งปันมุมน่ารักๆของคุณแม่ของผู้อ่านมาให้ผู้เขียนได้ชื่นชมบ้างนะคะ
2013/9/6
ครอบครัวสุขสันต์ based on true story : ตอน ยอดคุณแม่
แม่ผู้เขียนอายุ 71 ปีแล้ว เป็นลูกครึ่งไทยจีน เรียนจบแค่ชั้น ป. 4 แต่แม่อ่านหนังสือและเขียนภาษาไทยได้เป็นอย่างดี ท่านเป็นนักอ่านตัวยงเหมือนกัน ด้วยวัยขนาดนี้บางท่านอาจจะคิดว่าควรจะเข้าวัดปฏิบัติธรรม.............. แต่แม่บอกว่าไม่ชอบไปนั่งพับเพียบ เมื่อย ไปไม่ไหว อยู่บ้านสบายกว่ากันเยอะ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้เพราะทุกอย่างอยู่ที่ใจ ซึ่งผู้เขียนก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง
แม่เริ่มปฏิบัติภาระกิจในแต่ละวันด้วยการตื่นตั้งแต่ตี 5 ลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าให้ตัวเองและน้องสาวคนเล็ก ซึ่งเมื่อไหร่ๆ แม่ก็มองว่ายังเป็นเด็ก (น้องคนนี้เป็นลูกหลงของแม่ เพราะห่างจากผู้เขียนซึ่งเป็นลูกคนโต 13 ปี) ฉะนั้นแม่จึงไม่เคยเห็นว่าน้องโตสักที............ หลังจากส่งน้องให้ขับรถออกไปทำงานในแต่ละวันแล้ว แม่ก็จะเริ่มทำงานบ้านต่างๆ เช่นซักผ้าด้วยเครื่อง กวาดบ้าน ถูบ้านบ้างแล้วแต่ว่าวันไหนอยากทำอะไร ที่บ้านเราไม่มีคนช่วยทำงานบ้านถึงแม้ว่าลูกๆอยากจะมีมากก็ตาม.............. แม่ให้เหตุผลว่าไม่ชอบให้คนแปลกหน้ามาเดินเพ่นพ่านอยู่ในบ้าน พวกเราเลยต้องยอมเพื่อความสุขของแม่เพราะแม่เป็นคนที่ต้องอยู่กับคนแปลกหน้ามากกว่าพวกเรา ฮา (3 ครั้ง)
ยามอยู่บ้านคนเดียวช่วงกลางวันแม่มีโทรทัศน์และรายการ AF เป็นเพื่อน ฉะนั้นแม่จึงรู้จักผู้เข้าประกวดทุกคนตั้งแต่ซีซั่นแรกจนถึงปัจจุบัน แม่มีความสุขมากเมื่อได้ดูรายการนี้............... สำหรับคนทั่วไปอาจจะไม่ชอบรายการประเภทนี้ แต่สำหรับผู้เขียนเองกลับชอบมากถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่เคยดู เหตุผลเดียวเลยก็คือรายการนี้อยู่เป็นเพื่อนแม่ตลอดเวลาตั้งแต่เช้ายันค่ำ ทำให้ไม่เหงา มีเรื่องให้เม้าท์กันทางโทรศัพท์กับอาอี้ผู้เป็นน้องสาวแม่ซึ่งชอบดูรายการนี้เหมือนกันจึงคุยกันถูกคอ............. นอกจากการดูโทรทัศน์แล้ว ผู้เขียนได้สมัครสมาชิกนิตยสารให้แม่อ่านอีก 2 ฉบับ คือ ชีวจิต และ Secret และถ้ามีหนังสือเล่มไหนที่เกี่ยวกับ AF แม่ก็จะออกไปหาซื้อ ถ้าหาเองไม่ได้ก็จะให้น้องๆ ช่วยหาให้........... เมื่อช่วงสามสี่ปีที่แล้วที่พวก AF เล่นละครเวที น้องๆต้องพยายามหาบัตรและพาแม่ไปดูให้ได้ แม่มีความสุขมาก ทุกวันนี้ยังคงพูดถึงละครที่ได้ไปดูอยู่บ่อยๆ นับว่าแม่เป็นสาวก AF ตัวจริงเสียงจริง................ ช่วงไหนที่ไม่มีรายการ AF แม่ก็ยังคงมีรายการอื่นให้ได้ติดตาม ฉะนั้นแม่จึงไม่เคยเหงา แม่เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และก้าวทันโลกด้วยการดูทีวีและอ่านหนังสือ แม่ไม่เคยตกเทรนด์ แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะรับมันได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้น
แม่จะนอนหลังอาหารกลางวันถึงบ่าย 2 แล้วก็จะตื่นมาทำโน่น ทำนี่ หรือออกไปตลาด แม่ชอบการออกไปตลาดมาก ทั้งรอบเช้าและรอบบ่าย รอบเช้าออกไปใส่บาตร รอบบ่ายออกไปซื้อกับข้าวหรือขนมต่างๆ................ ถามว่าทำไมบ้านเราจึงยังปล่อยให้แม่ออกไปตลาดเองทั้งที่อายุเยอะแล้ว ผู้เขียนมองว่ามันเป็นการกระตุ้นให้ผู้สูงอายุได้ใช้สมอง ได้ทำในสิ่งที่ชอบ จะได้ไม่เป็นโรคอัลซัลเมอร์ การไปตลาดทำให้ได้คุยกับแม่ค้า คิดเงินทอน เปรียบเทียบราคาสินค้า ได้เจอสินค้าชนิดใหม่ๆ ตลอดเวลา ฯลฯ................ ขากลับจากตลาดแม่จะมีรถรับส่งขาประจำอยู่ที่ตลาดมาส่งที่บ้าน ทำให้พวกเราอุ่นใจได้บ้าง
ทุกวันตอนประมาณ 5 โมงเย็นแม่จะโทรตามลูกๆ ว่าเย็นนี้จะกลับมากินข้าวเย็นที่บ้านหรือเปล่า จะกลับถึงบ้านตอนกี่โมง (ไม่เว้นแม้วันหยุดราชการ) ตอนกลางคืนแม่จะต้องนอนให้ทีวีดูแม่อยู่ข้างล่างจนกว่าน้องจะกลับจากทำงาน.................. ที่เขียนว่าทีวีดูแม่นั้นถูกต้องแล้วคือแม่เปิดทีวีแล้วหลับ แต่มือยังต้องกุมรีโมตไว้ตลอดเวลา ใครอย่าได้คิดมาเอารีโมตออกไปจากมือเด็ดขาด............... พอสมาชิกทุกคนในบ้านกลับมาครบแล้ว แม่จะย้ายขึ้นไปเปิดทีวีบนห้องนอนและเหมือนเดิมคือให้ทีวีดูแม่ พอ 5 ทุ่ม แม่ก็จะปิดทีวีนอนจริงๆ
บ้านเราอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ชานเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งในหมู่บ้านนี้กลางวันจะมีแต่พวกคนแก่อยู่บ้าน เมื่อก่อนตอนที่ผู้เขียนยังอยู่เมืองไทยรู้จักเพื่อนบ้านถัดไปไม่เกิน 3 หลัง............ พอหลังจากแม่ย้ายมาอยู่เป็นเพื่อนน้องยามที่ผู้เขียนต้องย้ายมาทำงานต่างประเทศเมื่อเกือบสิบปีที่แล้วนั้น ขณะนี้กลับไปบ้านทีไรจะพบว่าแม่รู้จักคนเกือบทั้งหมู่บ้านแล้ว ไม่เว้นแม้กระทั่งวินมอเตอร์ไชด์ และยามทุกคนของหมู่บ้าน........... พวกเค้าเรียกแม่ว่าอาม่า และมีน้ำใจกับแม่เสมอมา สาเหตุอาจจะเป็นเพราะแม่มีน้ำใจและมีสัมพันธไมตรีที่ดีกับคนรอบข้างเสมอ ชอบเอาขนมไปแบ่งปันให้พวกเค้า ไม่ว่าจะเป็นช่วงตรุษจีน หรือปีใหม่............. ที่หมู่บ้านเรามีศาลตา-ยายอยู่ แม่ชอบเอาของไปไหว้บ่อยๆ เสร็จแล้วก็จะเอาขนมไปแบ่งปันให้ยามหรือคนกวาดถนนของหมู่บ้าน ผู้เขียนพบว่าคนเหล่านี้เวลาเจอหน้าผู้เขียนหรือน้องๆ ก็จะแสดงความมีน้ำใจออกมาด้วยความจริงใจเสมอ ซึ่งนับว่าบารมีของแม่ได้แผ่มาถึงลูกๆ และหลาน ๆ ด้วย
แม่ชอบปลูกต้นไม้มาก แต่ต้องเป็นต้นไม้ที่แม่เห็นด้วยเท่านั้น ถ้าต้นไม้ที่ลูกต้องการไม่เป็นที่ชื่นชอบของแม่เราก็จะไม่ได้เห็นต้นไม้ชนิดนั้นในบ้านเราอย่างแน่นอน แม่จะมีเหตุผลมากมายมาคอยชักจูงเราว่าทำไมจึงไม่ให้ปลูกต้นไม้ชนิดนั้น.......... เช่นผู้เขียนอยากปลูกกุหลาบมาก แต่จนบัดนี้บ้านเรายังไม่เคยมีกุหลาบเลยสักต้นเพราะแม่ไม่ชอบบอกว่าหนอนเยอะ มีแต่ต้นมะม่วง (ที่เคยออกลูกเบี้ยวๆมาลูกเดียว) เพราะแม่อยากได้มะม่วงแบบข้างๆบ้านที่ออกลูกดกมาก แต่ผู้เขียนก็ไม่ได้เดือดร้อนกับการไม่ได้ปลูกกุหลาบ เพราะคิดดูแล้วปีนึงผู้เขียนอยู่บ้านรวมกันไม่เกิน 1 เดือน แต่แม่ต้องอยู่ทั้งปีจึงตามใจแม่............... บ้านเรายังมีต้นไม้อย่างอื่นเต็มสนาม เช่น หางกระจง จำปี ลีลาวดี ต้นโมก แสงจันทร์ และจันทร์ผา ฯลฯ แม่มีสระบัวใหญ่อยู่หน้าบ้าน (สระบัวเกิดจากป๋าของผู้เขียนดูตำราฮวงจุ้ยบอกว่าต้องมีสระน้ำอยู่หน้าบ้านเลยสร้างขึ้น แต่หลังจากเป็นสระน้ำอยู่ได้พักนึงก็กลายสภาพมาเป็นสระบัวของแม่) ซึ่งจะเป็นคนใส่ปุ๋ยและดูแลเองตลอด บัวของแม่มีดอกหลายสีและออกตลอดทั้งปี............. แม่เป็นคนมือเย็นปลูกอะไรก็งามไปหมด บางทีเพื่อนบ้านก็จะมีมาขอแบ่งไปปลูกบ้างซึ่งแม่ก็จะเต็มใจมากเพราะแม่ภาคภูมิใจกับฝีมือการปลูกต้นไม้ของตัวเอง............. แม่ซื้อต้นไม้จากรถที่เข้ามาขายในหมู่บ้าน เมื่อซื้อแล้วจะจ้างให้คนขายช่วยขุดดินปลูกให้ในที่ที่ต้องการ หลังจากนั้นก็คอยดูแลรดน้ำต้นไม้และใส่ปุ๋ย บ้านเราจ้างคนสวนของหมู่บ้านมาคอยตัดหญ้าและตัดใบไม้ให้ ซึ่งทุกคนจะดีใจมากเพราะแม่คอยให้เงินพิเศษแก่พวกเค้าเสมอ
แม่เป็นคนแก่ที่ดูแลสุขภาพตัวเองได้อย่างดีเยี่ยมถึงแม้ว่าจะเป็นเบาหวานมา 10 กว่าปีแล้ว แม่บอกว่าลูกทำงานอยู่ไกลบ้านมากไม่อยากให้ลูกต้องเป็นห่วง ส่วนน้องๆ ก็ยุ่งกับการทำงานกันทุกคน แม่จะไปหาหมอตรงเวลาทุกครั้ง ถ้ามีอาการไม่สบายก็จะรีบรักษา........... สำหรับผู้เขียนเองรู้สึกสบายใจมากที่แม่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดีทำให้ไม่เคยต้องกังวลอะไรเลย............ แม่เป็นคนที่ชอบศึกษาว่าอะไรดีมีประโยชน์แล้วนำเสนอต่อลูกๆ ซึ่งสูตรต่างๆ ก็จะได้มาจากการคุยกับเพื่อนบ้านบ้าง อ่านหนังสือ หรือดูโทรทัศน์ ซึ่งบางทีลูกๆ ก็ต้องพยายามทำใจกับสูตรต่างๆ ที่แม่นำเสนอ เพราะบางทีก็เกินความสามารถ เช่นการให้ตื่นมาดื่มน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นทุกเช้าอะไรประมาณนี้ และอื่นๆ อีกมากมาย
แม่ทำอาหารคาวหวานได้หลายชนิดและอร่อยมาก เมื่อตอนเด็กๆ บ้านเราอยู่ต่างจังหวัด มีอาชีพทำสวน ไม่ถึงกับยากจนแต่ก็ต้องประหยัด แม่ทำอาหารเลี้ยงลูก 3 คนที่มีอายุไล่ๆ กันในขณะนั้น (น้องคนที่สี่เกิดมาในยุคหลังจึงไม่ทันเหตุการณ์ในช่วงแรกๆ)......... จำได้ว่าเมื่อก่อนตอนตรุษจีนแม่ต้องโม่แป้งเป็นกระสอบด้วยโม่หิน เพื่อทำ ขนมเช่ง ขนมเทียน เป็นงานที่หนักมาก ต้องตัดใบตอง เช็ดใบตอง เหลาก้านมะพร้าวเป็นไม้กลัดไว้ห่อขนม ต้องนึ่งเป็ด นึ่งไก่........... แม่ทำข้าวตูอบควันเทียนหอมมาก ข้าวต้มมัดของแม่ก็อร่อยที่สุด เราใช้กล้วยและมะพร้าวจากสวนของเราเอง ใบตองก็ต้องเลือกเอาใบอ่อนๆเท่านั้น น้ำพริกเผาของแม่ต้อง เผาพริก หอม กระเทียมเอง............. แต่เมื่อมาอยู่กรุงเทพฯแม่ไม่ค่อยได้ทำอาหารที่ต้องมีขั้นตอนเยอะๆ แล้ว ส่วนมากทำง่ายๆ และเป็นอาหารที่เหมาะกับคนเป็นเบาหวานเป็นหลัก.......... แต่แม่ยังคงตำน้ำพริกกะปิให้กินอยู่บ่อยๆ รวมทั้งยำมะม่วงและยำแตงกวา สูตรของแม่ต้องใส่กุ้งแห้งตำละเอียดเยอะๆ เนื่องจากลูกๆ ชอบมาก บ้านเรากินข้าวครบ 3 มื้อ และสามารถกินน้ำพริกกะปิเป็นอาหารมื้อเช้าได้ อาจจะเป็นเพราะด้วยความเคยชินตั้งแต่เด็กๆ เมื่อสมัยอยู่ต่างจังหวัด........... ทุกวันนี้ผู้เขียนติดอาหารฝีมือแม่มากกว่าอาหารตามร้าน ถึงแม้ว่าเมนูของแม่จะเป็นอาหารที่ปรุงง่ายๆ แต่ด้วยรสมือที่คุ้นเคยและความรักของแม่ที่ใส่ลงไปในอาหารทำให้รู้สึกว่าอาหารทุกจานอร่อยและมีคุณค่ามาก............ อาหารหรือขนมบางอย่างแม้ว่าจะไม่ได้ทำเอง แต่แม่ก็จะมีวิธีในการพูดชักชวนให้เชื่อว่าขนมที่แม่ซื้อมานั้นอร่อยมากและได้ผ่านกระบวนการคัดเลือกอย่างดีที่สุดมาแล้ว
เวลาผู้เขียนได้กลับเมืองไทยช่วงวันหยุด ก่อนกลับมาทำงานแต่ละครั้งแม่จะถามว่าครั้งนี้จะเอาอะไรไปบ้างจะได้เตรียมได้ถูก แม่เคยทำไข่เจียวชะอมเป็นแพๆ ให้เอากลับมาทำแกงส้มชะอมกินยามอยู่ต่างประเทศคนเดียว บางครั้งทอดปลาเค็มเป็นชิ้นเล็กๆ แบ่งใส่ห่อ ซีลให้อย่างดี ทอดปลาสลิดให้ ขนมสารพัดชนิดที่ลูกชอบกินและแม่ชิมแล้วว่าอร่อยก็จะไปสรรหามาให้........... เวลาผู้เขียนบินกลับในกระเป๋าจึงเต็มไปด้วยของกินที่แม่จัดสรรให้.................. ถามว่าประเทศที่มาทำงานอดอยากขนาดนั้นเลยเหรอ ขอบอกเลยว่าไม่........... แต่เพราะเห็นแม่มีความสุขที่ได้ทำได้เตรียมให้เวลาเรากินก็สุขใจไปด้วยก็เลยยังคงเป็นแบบนี้ตลอดมา
สุดท้ายนี้อยากบอกว่ารักแม่มาก และตุลานี้ผู้เขียนก็จะได้กลับบ้านอีกครั้งแล้ว ไชโย.............. หากมีใครได้ผ่านมาอ่านบทความนี้ลองแบ่งปันมุมน่ารักๆของคุณแม่ของผู้อ่านมาให้ผู้เขียนได้ชื่นชมบ้างนะคะ
2013/9/6