คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 7
ค่านิยมไม่ได้เปลียนไปจากร้อยกว่าปีก่อน ทั้งที่ตอนนี้มันน่าจะเปลี่ยนได้แล้ว ทุกวันๆ เราเห็นผู้หญิงจีนอายุยี่สิบมีลูกสองคน ไม่ได้เรียนหนังสือ หรือผู้หญิงจีนเรียนจบปุ๊ปแต่งงานปั๊บรีบปั๊มลูก ทุกวันนี้เราคุยกับนักศึกษาหญิงหลายคน ส่วนใหญ่บอกว่าพ่อแม่อยากให้เป็นแบบนั้น การหาแฟนเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่การหาแฟนที่ "เหมาะสม" ( มีเงิน ฐานะดี แก่กว่า มีบ้าน รถ) นั้นยิ่งยากไปใหญ่ การเรียนมายืดยาวนานเพียงแค่มีวิชาเพื่อหางานประจำทำแต่ไม่ได้หมายความให้ใช้ชีวิตหรือเดินทางตามหาความฝันได้ แต่ตอนอยู่ซีอาน ได้เจอนักศึกษาคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วย และคิดว่าตัวเองจะขบถ จะออกไปเรียนเมืองนอก เดินทางตามหาความฝัน และจะใช้ชีวิตที่ไม่ต้องแคร์ "ผู้ชาย" และถ้าหากจะมีสามี ขอเลือกเอง ( ตั้งแต่มาอยู่จีนได้ปีเศษๆ เพิ่งเจอคนเดียว ในบรรดานักศึกษาหลายร้อยคน ฮ่าๆ)
ไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่อายุเกินยี่สิบห้าแล้วยังไม่ได้แต่งงานจะอยู่ยากในสังคมจีนหรอกค่ะ แต่ผู้หญิงที่ "แต่งงานแล้ว" และแต่งมาสักพัก (หลายปี) แล้วยังไมมีลูก ก็จะถูกถามอยู่เป็นประจำ สม่ำเสมอ ( ด้วยค่านิยมที่แต่งงานแล้วต้องมีลูกเลย) จนอิฉันบางทีอยากหาอะไรอุดปากคนถาม (เพลีย) ครอบครัวยังไม่ถามขนาดนี้เลย ( ดิฉันแต่งงานมานานสามปีกว่าแล้วกับสามีอเมริกัน อยู่ด้วยกันมาสี่ประเทศ ตอนนี้อยู่จีนและยังจะเดินทางต่อเรื่อยๆ และยังไม่คิดจะมีลูกถึงแม้ว่าอายุจะเข้าเลขสามกว่าๆแล้ว)
ค่านิยมเดิมๆ ในสังคมที่ก้าวเร็วกว่าสามจีสี่จี ไม่ว่าจะโหมเร่งพัฒนาขนาดไหน แต่คนก็ยังเดิมๆ ที่น่าสงสารคือผู้หญิง และผู้ชายในสังคมน่ะค่ะ
ไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่อายุเกินยี่สิบห้าแล้วยังไม่ได้แต่งงานจะอยู่ยากในสังคมจีนหรอกค่ะ แต่ผู้หญิงที่ "แต่งงานแล้ว" และแต่งมาสักพัก (หลายปี) แล้วยังไมมีลูก ก็จะถูกถามอยู่เป็นประจำ สม่ำเสมอ ( ด้วยค่านิยมที่แต่งงานแล้วต้องมีลูกเลย) จนอิฉันบางทีอยากหาอะไรอุดปากคนถาม (เพลีย) ครอบครัวยังไม่ถามขนาดนี้เลย ( ดิฉันแต่งงานมานานสามปีกว่าแล้วกับสามีอเมริกัน อยู่ด้วยกันมาสี่ประเทศ ตอนนี้อยู่จีนและยังจะเดินทางต่อเรื่อยๆ และยังไม่คิดจะมีลูกถึงแม้ว่าอายุจะเข้าเลขสามกว่าๆแล้ว)
ค่านิยมเดิมๆ ในสังคมที่ก้าวเร็วกว่าสามจีสี่จี ไม่ว่าจะโหมเร่งพัฒนาขนาดไหน แต่คนก็ยังเดิมๆ ที่น่าสงสารคือผู้หญิง และผู้ชายในสังคมน่ะค่ะ
แสดงความคิดเห็น
เริ่มเหนื่อยใจ กับค่านิยม ว่าผู้หญิงต้องแต่งงาน มาอยู่ที่จีนเหนื่อยใจยิ่งกว่า
เกิดเป็นผู้หญิงที่ไทยก้อลำบากแล้ว มาอยู่จีนยิ่งลำบากไปกันใหญ่ เครดิต เวบผู้จัดการ
รอยเตอร์- สีว์ จยาเจี๋ย สาวโสดวัย 31 ปี ผู้มีใบหน้าอ่อนเยาว์ เป็นพนักงานบริษัทในนครเซี่ยงไฮ้ ต้องเผชิญแรงกดดันจากทั้งจากครอบครัวและเพื่อนพ้อง ที่อยากเห็นเธอเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ระหว่าง 5 ปีมานี้ เธอได้ไปนัดบอด ทั้งเข้าร่วมกิจกรรมจัดหาคู่นับครั้งไม่ถ้วน เพื่อคัดสรรสามี
ทว่า เจ้าหนุ่มที่คู่ควรกับหญิงสาวที่มีอาชีพการงานดี เงินเดือนสูงเป็นสองเท่าของรายได้เฉลี่ยทั่วไปของชาวเซี่ยงไฮ้ อยู่ในมหานครเซี่ยงไฮ้อย่างเธอนั้น ก็ช่างหายากหาเย็นเสียจริงๆ นี่คือ เรื่องใหญ่ของสาวจีนจำนวนมากที่มีการศึกษาดี มีอาชีพรายได้งาม อาศัยในเมืองใหญ่ ทว่า ตามจารีตประเพณีสังคมจีน สามีต้องมีสถานภาพทางสังคมเหนือกว่าภรรยา
สีว์ เล่าถึงความห่วงใยในเรื่องคู่ครองของผู้เป็นพ่อแม่ ว่า “พ่อแม่ของฉันได้แนะนำชายโสดทุกคนที่พวกเขารู้จัก...แต่กึ่งหนึ่งของชายโสดที่ฉันพบ เป็นพวกที่มีบุคคลิกเงียบ เก็บตัว ไม่ออกสังคม ส่วนพวกผู้ชายที่ชอบสังคม ก็ไม่ชอบหาคู่ด้วยวิธีการนัดบอด”
ขณะที่คู่รักจำนวนมากได้เข้าร่วมพิธีแต่งงานในวันแห่งความรักตามประเพณีจีน ซึ่งชาวจีนเรียกว่า “ชีซี” อันตรงกับวันแรม 7 ค่ำ เดือน 7 ตามปฏิทินจันทรคติ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันอังคารที่ 13 ส.ค. สำหรับ สีว์และสาวใหญ่อีกหลายล้านคนในแผ่นดินใหญ่ ก็ยังมองหาคู่ครองราวงมเข็มในมหาสมุทร สืบเนื่องจากจารีตลำดับชั้นในการสมรสของจีน ที่ขัดแย้งกับการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างพลิกผันของจีนซึ่งมีประชาชากรมากที่สุดในโลก
สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่จีนเรียกว่า “เซิ่งหนี่ว์” (剩女)ซึ่งแปลตามตัวอักษรได้ว่า “ผู้หญิงที่เหลือ” อันหมายถึง ผู้หญิงเก่ง ที่มีอาชีพการงานดี และยังไม่แต่งงานจนล่วงเข้าสู่วัยปลาย 20
“ชาวจีนยังยึดติดกับความคิดเก่าที่ว่า ในความสัมพันธ์ใดๆ ผู้ชายต้องสูงกว่าในทุกด้าน รวมทั้งส่วนสูงของร่างกาย อายุ การศึกษา และรายได้ ความเชื่อนี้ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ ที่ว่า ผู้ชายเกรดเอต้องแต่งงานกับผู้หญิงเกรดบี, ผู้ชายเกรดบีต้องแต่งงานกับผู้หญิงเกรดซี, และผู้ชายเกรดซีต้องแต่งงานกับผู้หญิงเกรดดี และมีเพียงผู้หญิงเกรดเอ และผู้ชายเกรดดี เท่านั้น ที่หาคู่ไม่ได้ ” หนี หลิน ผู้จัดรายการโทรทัศน์ “จัดหาคู่” ซึ่งได้รับความนิยมสูง ในนครเซี่ยงไฮ้ กล่าว
จากข้อมูลเว็บไซต์ “จยาหยวน ด็อม คอม” (Jiayuan.com) ในกรุงปักกิ่ง มากกว่าสามของกลุ่มผู้หญิงในวัยปลาย 20 และวัย 30 กำลังมองหาสามี นอกจากนี้รายงานของกลุ่มสื่อจีน ยังระบุจำนวน “ผู้หญิงที่เหลือ” ในนครหลวงปักกิ่ง เท่ากับ 500,000 ราย
ทั้งนี้ จีนมีกลุ่มประชากรเพศชายมากกว่าเพศหญิง อันเป็นผลพวงจากนโยบายลูกคนเดียวกอปรด้วยวัฒนธรรมความเชื่อที่ชื่นชอบลูกผู้ชายมากกว่า จากการสำรวจในปี 2554 ระบุว่า หนุ่มโสดที่เกิดในช่วงยุคทศวรรษ 1970 มีจำนวนมากเป็นสองเท่าของกลุ่มผู้หญิงวัยเดียวกัน
แต่ “ผู้ชายที่เหลือ” หรือ “”เซิ่งหนาน” (剩男) ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองระดับรองๆลงไป และฐานะการเงินไม่อู้ฟู่นัก ขณะที่ “ผู้หญิงที่เหลือ” นั้น เป็นผู้หญิงทำงานผู้เก่งกาจ กระเป๋าหนักในเมืองใหญ่
ทางการก็ได้พยายามยื่นมือเข้าช่วยเหลือ “ผู้หญิงที่เหลือ” อย่าง สีว์ โดยได้จัดกิจกรรมหาคู่เป็นประจำ
นางสาว ลูซี่ หวัง วัย 32 ปี ครูสอนภาษาอังกฤษ ได้เข้าร่วมกิจกรรมจัดหาคู่ เล่าว่า ผู้ชายทุกคนที่เธอพบ ไม่เป็นเพลย์บอย ก็เป็นลูกแหง่ติดแม่
“บางครั้ง ฉันก็คิดว่า ตัวเองมีอะไรผิดปกติไปหรือเปล่า ในกลุ่มผู้ชายตั้ง 20,000 คน ที่เข้าร่วมงาน ฉันไม่พบคนที่ชอบเลยสักคน”