ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศจะตกเป็นของท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมแห่งวิชาชีพไว้ให้บริสุทธิ์
เมื่อได้ยินคำปณิธานนี้ เรา(ดิฉัน)เชื่อว่าพวกเราชาว ม.อ.(ลูกพระราชบิดา) จะระลึกอยู่เสมอว่าตนเองต้องทำแต่สิ่งดีๆเพื่อตอบแทนคุณให้กับแผ่นดินที่เราอยู่ เพราะมหาลัยได้ปลูกฝัง และบ่มเพาะสิ่งเหล่านี้มา ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้มากกว่าที่จะเป็นผู้รับ รับรู้ถึงความเป็นสงขลานครินทร์โดยการทำความดีเพื่อตอบแทนสังคม คิดถึงเรื่องส่วนรวมก่อน ที่จะคิดถึงประโยชน์ของตัวเองอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้กรอกหูเราทุกวัน จากมาร์ชของมหาลัยที่เปิดทั้งเช้าและเย็น แต่ปณิธานนี้กลับไม่เคยฝังลึกหรือซึมซาบไปถึงก้นบึ้งของใจ เราก็ยังถือประโยชน์ส่วนตนเป็นกิจที่หนึ่งมาตลอด เป็นระยะเวลา4ปี
แต่มาวันนี้ เมื่อเราก้าวออกจากรั้วสีบลู(ก้าวออกจากรั้วมหาลัย) ทำให้เรารู้ซึ้งถึงคำปณิธานนี้ เพราะเราต้องทำงานทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ส่วนรวม ทั้งงานราษงานหลวงประเดประดังเข้ามาแบบไม่ได้ตั้งใจ ทั้งค่ายอาสาออกนอกสถานที่ การจัดในสถานที่(ของมหาลัยเอง) ไปเป็นพิธีกรจำเป็นตามกิจกรรมต่างๆ ทั้งในมหาลัย นอกมหาลัย ต้องคอยประสายงานกับอาจารย์ตลอด จนบางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า นี่คงเป็นผลกรรมแต่ตอนปริญญาตรี ที่ถือประโยชน์ส่วนตนมาโดยตลอด พอได้ออกมาสู่โลกกว้าง จึงได้รู้ว่า การจะอยู่ร่วมกับผู้คนในสังคมได้นั้น บางครั้งก็ต้องสละผลประโยชน์ส่วนตนออกไปบ้าง ถึงจะทำให้เรา อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีสุข


ปล.วันนี้จขกท.มาแนวดราม่าปนซึ้ง55555555555555555 แต่ทั้งหมดออกมาจากใจล้วนๆค่ะ

ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง<<เรียนมา4ปีปณิธานนี้ ไม่เคยลึกซึ้งจนมาถึงว
เมื่อได้ยินคำปณิธานนี้ เรา(ดิฉัน)เชื่อว่าพวกเราชาว ม.อ.(ลูกพระราชบิดา) จะระลึกอยู่เสมอว่าตนเองต้องทำแต่สิ่งดีๆเพื่อตอบแทนคุณให้กับแผ่นดินที่เราอยู่ เพราะมหาลัยได้ปลูกฝัง และบ่มเพาะสิ่งเหล่านี้มา ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้มากกว่าที่จะเป็นผู้รับ รับรู้ถึงความเป็นสงขลานครินทร์โดยการทำความดีเพื่อตอบแทนสังคม คิดถึงเรื่องส่วนรวมก่อน ที่จะคิดถึงประโยชน์ของตัวเองอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้กรอกหูเราทุกวัน จากมาร์ชของมหาลัยที่เปิดทั้งเช้าและเย็น แต่ปณิธานนี้กลับไม่เคยฝังลึกหรือซึมซาบไปถึงก้นบึ้งของใจ เราก็ยังถือประโยชน์ส่วนตนเป็นกิจที่หนึ่งมาตลอด เป็นระยะเวลา4ปี
แต่มาวันนี้ เมื่อเราก้าวออกจากรั้วสีบลู(ก้าวออกจากรั้วมหาลัย) ทำให้เรารู้ซึ้งถึงคำปณิธานนี้ เพราะเราต้องทำงานทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ส่วนรวม ทั้งงานราษงานหลวงประเดประดังเข้ามาแบบไม่ได้ตั้งใจ ทั้งค่ายอาสาออกนอกสถานที่ การจัดในสถานที่(ของมหาลัยเอง) ไปเป็นพิธีกรจำเป็นตามกิจกรรมต่างๆ ทั้งในมหาลัย นอกมหาลัย ต้องคอยประสายงานกับอาจารย์ตลอด จนบางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า นี่คงเป็นผลกรรมแต่ตอนปริญญาตรี ที่ถือประโยชน์ส่วนตนมาโดยตลอด พอได้ออกมาสู่โลกกว้าง จึงได้รู้ว่า การจะอยู่ร่วมกับผู้คนในสังคมได้นั้น บางครั้งก็ต้องสละผลประโยชน์ส่วนตนออกไปบ้าง ถึงจะทำให้เรา อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีสุข
ปล.วันนี้จขกท.มาแนวดราม่าปนซึ้ง55555555555555555 แต่ทั้งหมดออกมาจากใจล้วนๆค่ะ