"เมืองไทยในมุมมองฝรั่ง"
เป็นเรื่องยาวนิดนึง ผมเขียนไว้นานแล้วแต่มาเปิดดูพบว่าสะกดผิดกับมีคำแปลกๆเพียบเลยจะค่อยๆทะยอยแก้แล้วลงไปเป็นช่วงๆนะครับ
แท๊ก ไกลบ้าน : เพื่ออยากให้คนไทยในต่างแดนได้อ่าน
แท๊ก ก้นครัว : เพราะมีเรื่องเกี่ยวกับอาหารการกิน(จริงๆต้องขอบคุณกระทู้ที่พูดคุยกันเรื่องอาหารไทยที่ฝรั่งเห็นแล้วว้าวไว้ด้วยที่ทำให้ผมนึกได้และเอามาแชร์อีกรอบ)
แท๊ก บลู : เป็นเรื่องราวการท่องเที่ยวเมืองไทย
แท๊ก มาบุญครอง : เพราะมีเรื่องของ Sim Card และผมเล่นห้องนี้บ่อยด้วย อยากให้ลองอ่านครับ
เมื่อ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ (8-10 กุมภาพันธ์ 2556)ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสพาฝรั่งกลุ่มนึงไปเที่ยว เหตุมาจากลูกสาวเพื่อนแม่ผมไปแต่งงานกับหนุ่มชาวฟินแลนด์ และครอบครัวของหนุ่มฟินแลนด์นั้นเขาอยากมาเที่ยวเมืองไทยมากๆ (แต่เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวมิได้มา เพราะติดเรียนป.เอกกันทั้งคู่ที่ฟินแลนด์) ทำให้ฝรั่งผู้ร่วมทริปมีทั้งหมด 5 ท่านคือ
1.ครอบครัว พ่อแม่ลูก ได้แก่ "โทมัส" คนพ่อ "พาพู" คนแม่ และ "อินดี้" ลูกสาววัย 4 ขวบ
2."เบ๊คก้า" และ "ไอวี่" 2 คนนี้เป็นพ่อกับแม่ของโทมัสตามลำดับ
วันศุกร์ตอนเช้าตรู่พอขึ้นรถมินิบัสที่เราเหมาไว้ใช้ในทริปนี้โดยเฉพาะก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองกาญฯ ที่ๆ เราจะพาฝรั่งกลุ่มนี้ไปพักผ่อน 3 วัน 2 คืน ก่อนที่ผมจะพาเหล่าฝรั่งไปเที่ยวตัวผมเองก็ขอพักผ่อนก่อน.....หลับทันทีตั้งแต่ 20 นาทีแรกที่รถออก
หลังจากหลับไปได้ไม่เกิน 30 นาที ก็มีคนมาสะกิดแขนผม พอลืมตาขึ้นมาตาสีดำแบบไทยแท้ของผมก็ประสานเข้ากับตาสีฟ้าของพ่อหนุ่มชาวฟินแลนด์ผู้มาท่องเที่ยวในทริปนี้อย่างจัง
หลังจากแนะนำตัวกันเล็กน้อยตามารยาท พ่อหนุ่มคนนั้นก็คือ โทมัส ผู้ที่มรส่วนสูงและรูปร่างที่สมส่วนรวมทั้งหน้าตาอันหล่อเหลาตามสไตล์สชาวแกดิเนเวี่ยน โทมัสบอกช่วยให้ผมดู Sim Card ค่ายมือถือสีส้มให้หน่อย เขาซื้อมาแล้วใช้ไม่ได้
หลังจากลูบ ๆ คลำ ๆ ซักพักผมก็ถึงทราบว่าใน Sim นั้นไม่มีเงินซักแดงและไม่มีโปรโมชั่นอะไรติดมาเลยทั้งอินเตอร์เน็ตหรือไว้โทรเข้าออก ผมบอกโทมัสว่ายูต้องไปเติมเงินที่ 7-11 ก่อนนะถึงจะใช้งานได้ โทมัสทำหน้ามุ่ยเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆเก็บ Sim Card นั้นไป
ผมแอบเห็นป้ายราคาแปะอยู่หน้า Sim 399 บาท....เพ็ดเฟ่ Sim เปล่าๆขายได้ไงฟระตั้ง 399 ไม่มีโปรอะไรให้ใช้เลย ผมจึงไม่แปลกใจเลยโทมัสทำไมเเขาถึงหน้ามุ่ยแบบนั้น
ก่อนที่เขาจะรู้สึกแย่และกลายเป็นปัญหาระดับประเทศไปมากกว่านี้ ผมเลยชวนโทมัสคุยซะหน่อย คุยปะกิดกันแบบงูๆปลาๆนี่แหละ เนื่องจากเราพูดภาษาไทยและเขาพูดภาษาฟินแลนด์ ภาษาปะกิดจึงเป็นภาษารองของเราทั้งสองประเทศ
สนทนากันจนได้ใจความว่าปัจจุบันโทมัสทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์อยู่ที่โน่นและเป็นหนึ่งใน Co-Founder ของ Ravio บริษัทที่สร้างเกม Angry Birds สุดฮิตนั้นเอง แต่ทำงานกันได้ 6 สัปดาห์โทมัสก็ลาออกจาก Ravio
โทมัสถามกลับว่าผมหละทำงานอะไร...ผมก็บอกเขาไปว่าเพิ่งเรียนจบด้าน Education ตอนนี้ว่างงานและกำลังหางานทำ โทมัสทำหน้าตะลึงว่าไอ้หมอนี่หน้าตาแบบนี้เรียนจบครูมาเนี่ยนะ เลยถามต่อว่ายูสอนอะไรเด็กๆ ผมก็ตอบไปว่าพลศึกษา เขายิ่งตกใจกว่าเดิมอีก "ยูเนี่ยนะเป็น PE Teacher" เขาบอกคนเป็นครูบ้านเขาเนี่ย เงินดีมาก ดีกว่าเขาที่เป็นโปรแกรมเมอร์ซะอีก เขาเลยบอกว่ายูต้องเป็นครูนะรับรองยูรวยแน่ๆแถมยังมีแต่คน Respect ไปไหนก็สะดวกสบาย.....ผมยิ้มรับเล็กน้อยแล้วก็คิดในใจว่าครูในเมืองไทยตอนนี้ก็ "รวยแต่เขือ" กันถ้วนหน้าแล้วนะครับ เราคุยกันต่อจนถึงที่เที่ยวที่แรก
จุดหมายแรกคือวัดถ้ำเสือซึ่งตั้งอยู่บนเขาสูง มีบันไดให้เดินขึ้นกับรถกระเช้าให้นั่ง แน่นอนพวกเราเกือบทุกคนเลือกที่จะนั่งรถกระเช้า ยกเว้นไอวี่ สาวใหญ่วัยเหยียบ 60 รูปร่างอ้วนท้วม ผู้ซึ่งเลือกเดินขึ้นบันไดเพียงลำพัง และในความเห็นผม ผมว่าบันได

สูงสัสๆ น่าจะประมาณ 200 ขั้นได้
ไอวี่เดินขึ้นบันไดอย่างกระชับกระเชง แถมถึงก่อนพวเราที่นั่งรถกระเช้าเสียอีก เมื่อรถกระเช้าถึงด้านบนพวกเราก็เดินเข้าไปแสดงความยินดีกับเธอ ประหนึ่งเธอเพิ่งพิชิตเอเวอร์เรสยังไงอย่างงั้น ไอวี่ยิ้มรับทั้ง ๆ ที่หน้าแดงเหมือนลูกมะเขือเทศบวกกับเหงื่อเม็ดเบ้อเริ่มเต็มหน้าไปหมด เธอพูดเสียงดังว่า ไอสบายมากกกกกกกกกกก แถมยังทำท่าเบ่งกล้ามแล้วบอกว่า “ไอแอมไอรอนวูแมน” ซะด้วย เราปล่อยให้เหล่าฝรั่งได้เดินดูวิวข้างบนวัดประมาณ 30 นาทีท่ามกลางอากาศอันร้อนอบอ้าวตามสไตล์เมืองกาญฯ
หลังจากลงมาขึ้นรถบัสฝรั่ง 5 คนนี้เห็นได้ชัดว่าทุกคนตัวแดงแจ๋ เหงื่อท่วมตัวราวกับยืนตากฝนทั้งวัน ผมจึงเอาน้ำเย็น ๆ ให้เขาดื่มคลายร้อนพร้อมกับถามว่าอากาศร้อนไหม? ทุกคนยิ้มรับแล้วบอกว่า “วีอาร์ฟีลกู๊ดมาก ๆ.....พวกเรายินดีมากที่จะเจออากาศร้อนๆ แบบนี้และต่อให้ร้อนแค่ไหนพวกเราก็จะไม่บ่นซักคำ ถ้าเป็นไปได้พวกเราก็ขอเลือกที่จะตายแบบร้อนๆ”…..ผมงงเล็กน้อยกับคำพูดเหล่านี้ แต่ก็ยังไม่พูดอะไร ปล่อยให้พวกเขาพักคลายร้อนก่อนดีกว่า
ระหว่างทางไปกินข้าวเที่ยงก็เลยถามโทมัสว่าบ้านยูตอนนี้อากาศเป็นไงมั้ง โทมัสตอบกลับมาว่าตอนนี้อุ่นขึ้นเยอะแล้ว กำลังสบาย ๆ ที่ “ -2องศา ”........เอิ่ม -2 นี่เย็นกว่าตู้เย็นบ้านผมอีกนะ โทมัสพูดต่อว่าปีนี้หน้าหนาวบ้านเขาหนาวมากเป็นประวัติการณ์คือ -20 องศา ทั้งๆที่ปกติอุณภูมิจะอยู่แถวๆ -10 องศาโดยประมาณ
โทมัสบอกต่อว่าอิจฉาประเทศยูเหมือนกันนะ ได้เจอแต่แสงแดดกับบรรยกาศที่อบอุ่นทั้งปี......ผมเลยบอกโทมัสไปว่าถ้าเป็นไปได้ยูอยู่ให้ถึงเดือนเมษา รับรองยูฟินไทยแลนด์จนไม่อยากกลับฟินแลนด์แน่นอน โทมัสยิ้มรับพร้อมกับยืนยันคำเดิมว่าร้อนแค่ไหนก็บ่หยัน
ระหว่างทางไปกินอาหารผมก็ยังคุยกับโทมัสต่อ แผนการหลังจากกลับจากเมืองกาญกับอยุธยาเสร็จแล้วเขาจะล่องใต้ลงภูเก็ตต่อ โทมัสบอกทุกคนในครอบครัวเขาอยากเห็น อยากเล่นทะเล และอยากอาบแดดให้ผิวเป็นน้ำผึ้งแบบคนไทยด้วย ผมบอกโทมัสว่ายูควรไปทางเหนืออย่างเชียงรายด้วยนะที่เที่ยวเยอะมากกกกกก
ผมถามโทมัสว่าฟินแลนด์มีอะไรน่าเที่ยวบ้าง....โทมัสกระอักกระอ่วนกลอกตาคิดอยู่แปปนึงก่อนจะเงียบแล้วบอกว่า ยูไปถามแม่ยูละกัน (แม่ผมเคยไปฟินแลนด์มาแล้ว) เพราะเขาไม่รู้จะแนะนำที่เที่ยวที่ประเทศเขาให้ผมฟังยังไงดี.....จุดนี้ผมตีความหมายว่าบ้านเขาไม่มีอะไรที่มันเป็น Signature แบบบ้านเราที่มีวัดพระแก้ว วัดโพธิ์ ที่พูดปุ๊ปฝรั่งต้องร้อง อ๋อออ ทุกคน
รถบัสเราขับผ่านตลาดสดเมืองกาญ ฉับพลันฝรั่ง 4 คนก็ลุกขึ้นแล้วฮือฮากับสิ่งที่อยู่ข้างทาง ด้วยความสงสัยเลยมองออกไปบ้างว่าเขาฮือฮาอะไร.....คำตอบที่ผมเห็นก็คือ "แผงผลไม้"....ใช่แล้ว แผงผลไม้ตลาดบ้านเราที่แสนจะธรรมด๊า ธรรมดานี่แหละ โทมัสบอกผมว่าเขามาเมืองไทยหนึ่งในจุดหมายหลักก็คือ "ผลไม้" นี่แหละ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "มังคุด"
ตรงนี้แม่อธิบายให้ฟังว่าที่ฟินแลนด์ขายมังคุดโดยคิดราคา "เป็นลูก".....ถูกต้องแล้วครับไอ้ผลไม้ม่วง ๆ ที่บ้านเราขายเป็นกิโลเดินไปห้างไหนตลาดไหนก็เจอ แต่บ้านเขาขายเป็นลูกครับ หนึ่งลูกตก 60-70 บาท แต่บ้านเรา 60-70 บาทได้มาเป็น 10 ลูก แดร๊กกันจนมือม่วงเลยทีเดียว
EDIT : สำหรับท่านที่มาทีหลังผมได้เพิ่มรูปภาพเพิ่มเติมแล้วนะครับ อ่านจนจบแล้วสามารถเลื่อนลงไปรับชมได้ที่หลังความเห็น 52 เป็นต้นไป
เมืองไทยในมุมมองฝรั่ง
เป็นเรื่องยาวนิดนึง ผมเขียนไว้นานแล้วแต่มาเปิดดูพบว่าสะกดผิดกับมีคำแปลกๆเพียบเลยจะค่อยๆทะยอยแก้แล้วลงไปเป็นช่วงๆนะครับ
แท๊ก ไกลบ้าน : เพื่ออยากให้คนไทยในต่างแดนได้อ่าน
แท๊ก ก้นครัว : เพราะมีเรื่องเกี่ยวกับอาหารการกิน(จริงๆต้องขอบคุณกระทู้ที่พูดคุยกันเรื่องอาหารไทยที่ฝรั่งเห็นแล้วว้าวไว้ด้วยที่ทำให้ผมนึกได้และเอามาแชร์อีกรอบ)
แท๊ก บลู : เป็นเรื่องราวการท่องเที่ยวเมืองไทย
แท๊ก มาบุญครอง : เพราะมีเรื่องของ Sim Card และผมเล่นห้องนี้บ่อยด้วย อยากให้ลองอ่านครับ
เมื่อ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ (8-10 กุมภาพันธ์ 2556)ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสพาฝรั่งกลุ่มนึงไปเที่ยว เหตุมาจากลูกสาวเพื่อนแม่ผมไปแต่งงานกับหนุ่มชาวฟินแลนด์ และครอบครัวของหนุ่มฟินแลนด์นั้นเขาอยากมาเที่ยวเมืองไทยมากๆ (แต่เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวมิได้มา เพราะติดเรียนป.เอกกันทั้งคู่ที่ฟินแลนด์) ทำให้ฝรั่งผู้ร่วมทริปมีทั้งหมด 5 ท่านคือ
1.ครอบครัว พ่อแม่ลูก ได้แก่ "โทมัส" คนพ่อ "พาพู" คนแม่ และ "อินดี้" ลูกสาววัย 4 ขวบ
2."เบ๊คก้า" และ "ไอวี่" 2 คนนี้เป็นพ่อกับแม่ของโทมัสตามลำดับ
วันศุกร์ตอนเช้าตรู่พอขึ้นรถมินิบัสที่เราเหมาไว้ใช้ในทริปนี้โดยเฉพาะก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองกาญฯ ที่ๆ เราจะพาฝรั่งกลุ่มนี้ไปพักผ่อน 3 วัน 2 คืน ก่อนที่ผมจะพาเหล่าฝรั่งไปเที่ยวตัวผมเองก็ขอพักผ่อนก่อน.....หลับทันทีตั้งแต่ 20 นาทีแรกที่รถออก
หลังจากหลับไปได้ไม่เกิน 30 นาที ก็มีคนมาสะกิดแขนผม พอลืมตาขึ้นมาตาสีดำแบบไทยแท้ของผมก็ประสานเข้ากับตาสีฟ้าของพ่อหนุ่มชาวฟินแลนด์ผู้มาท่องเที่ยวในทริปนี้อย่างจัง
หลังจากแนะนำตัวกันเล็กน้อยตามารยาท พ่อหนุ่มคนนั้นก็คือ โทมัส ผู้ที่มรส่วนสูงและรูปร่างที่สมส่วนรวมทั้งหน้าตาอันหล่อเหลาตามสไตล์สชาวแกดิเนเวี่ยน โทมัสบอกช่วยให้ผมดู Sim Card ค่ายมือถือสีส้มให้หน่อย เขาซื้อมาแล้วใช้ไม่ได้
หลังจากลูบ ๆ คลำ ๆ ซักพักผมก็ถึงทราบว่าใน Sim นั้นไม่มีเงินซักแดงและไม่มีโปรโมชั่นอะไรติดมาเลยทั้งอินเตอร์เน็ตหรือไว้โทรเข้าออก ผมบอกโทมัสว่ายูต้องไปเติมเงินที่ 7-11 ก่อนนะถึงจะใช้งานได้ โทมัสทำหน้ามุ่ยเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆเก็บ Sim Card นั้นไป
ผมแอบเห็นป้ายราคาแปะอยู่หน้า Sim 399 บาท....เพ็ดเฟ่ Sim เปล่าๆขายได้ไงฟระตั้ง 399 ไม่มีโปรอะไรให้ใช้เลย ผมจึงไม่แปลกใจเลยโทมัสทำไมเเขาถึงหน้ามุ่ยแบบนั้น
ก่อนที่เขาจะรู้สึกแย่และกลายเป็นปัญหาระดับประเทศไปมากกว่านี้ ผมเลยชวนโทมัสคุยซะหน่อย คุยปะกิดกันแบบงูๆปลาๆนี่แหละ เนื่องจากเราพูดภาษาไทยและเขาพูดภาษาฟินแลนด์ ภาษาปะกิดจึงเป็นภาษารองของเราทั้งสองประเทศ
สนทนากันจนได้ใจความว่าปัจจุบันโทมัสทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์อยู่ที่โน่นและเป็นหนึ่งใน Co-Founder ของ Ravio บริษัทที่สร้างเกม Angry Birds สุดฮิตนั้นเอง แต่ทำงานกันได้ 6 สัปดาห์โทมัสก็ลาออกจาก Ravio
โทมัสถามกลับว่าผมหละทำงานอะไร...ผมก็บอกเขาไปว่าเพิ่งเรียนจบด้าน Education ตอนนี้ว่างงานและกำลังหางานทำ โทมัสทำหน้าตะลึงว่าไอ้หมอนี่หน้าตาแบบนี้เรียนจบครูมาเนี่ยนะ เลยถามต่อว่ายูสอนอะไรเด็กๆ ผมก็ตอบไปว่าพลศึกษา เขายิ่งตกใจกว่าเดิมอีก "ยูเนี่ยนะเป็น PE Teacher" เขาบอกคนเป็นครูบ้านเขาเนี่ย เงินดีมาก ดีกว่าเขาที่เป็นโปรแกรมเมอร์ซะอีก เขาเลยบอกว่ายูต้องเป็นครูนะรับรองยูรวยแน่ๆแถมยังมีแต่คน Respect ไปไหนก็สะดวกสบาย.....ผมยิ้มรับเล็กน้อยแล้วก็คิดในใจว่าครูในเมืองไทยตอนนี้ก็ "รวยแต่เขือ" กันถ้วนหน้าแล้วนะครับ เราคุยกันต่อจนถึงที่เที่ยวที่แรก
จุดหมายแรกคือวัดถ้ำเสือซึ่งตั้งอยู่บนเขาสูง มีบันไดให้เดินขึ้นกับรถกระเช้าให้นั่ง แน่นอนพวกเราเกือบทุกคนเลือกที่จะนั่งรถกระเช้า ยกเว้นไอวี่ สาวใหญ่วัยเหยียบ 60 รูปร่างอ้วนท้วม ผู้ซึ่งเลือกเดินขึ้นบันไดเพียงลำพัง และในความเห็นผม ผมว่าบันได
ไอวี่เดินขึ้นบันไดอย่างกระชับกระเชง แถมถึงก่อนพวเราที่นั่งรถกระเช้าเสียอีก เมื่อรถกระเช้าถึงด้านบนพวกเราก็เดินเข้าไปแสดงความยินดีกับเธอ ประหนึ่งเธอเพิ่งพิชิตเอเวอร์เรสยังไงอย่างงั้น ไอวี่ยิ้มรับทั้ง ๆ ที่หน้าแดงเหมือนลูกมะเขือเทศบวกกับเหงื่อเม็ดเบ้อเริ่มเต็มหน้าไปหมด เธอพูดเสียงดังว่า ไอสบายมากกกกกกกกกกก แถมยังทำท่าเบ่งกล้ามแล้วบอกว่า “ไอแอมไอรอนวูแมน” ซะด้วย เราปล่อยให้เหล่าฝรั่งได้เดินดูวิวข้างบนวัดประมาณ 30 นาทีท่ามกลางอากาศอันร้อนอบอ้าวตามสไตล์เมืองกาญฯ
หลังจากลงมาขึ้นรถบัสฝรั่ง 5 คนนี้เห็นได้ชัดว่าทุกคนตัวแดงแจ๋ เหงื่อท่วมตัวราวกับยืนตากฝนทั้งวัน ผมจึงเอาน้ำเย็น ๆ ให้เขาดื่มคลายร้อนพร้อมกับถามว่าอากาศร้อนไหม? ทุกคนยิ้มรับแล้วบอกว่า “วีอาร์ฟีลกู๊ดมาก ๆ.....พวกเรายินดีมากที่จะเจออากาศร้อนๆ แบบนี้และต่อให้ร้อนแค่ไหนพวกเราก็จะไม่บ่นซักคำ ถ้าเป็นไปได้พวกเราก็ขอเลือกที่จะตายแบบร้อนๆ”…..ผมงงเล็กน้อยกับคำพูดเหล่านี้ แต่ก็ยังไม่พูดอะไร ปล่อยให้พวกเขาพักคลายร้อนก่อนดีกว่า
ระหว่างทางไปกินข้าวเที่ยงก็เลยถามโทมัสว่าบ้านยูตอนนี้อากาศเป็นไงมั้ง โทมัสตอบกลับมาว่าตอนนี้อุ่นขึ้นเยอะแล้ว กำลังสบาย ๆ ที่ “ -2องศา ”........เอิ่ม -2 นี่เย็นกว่าตู้เย็นบ้านผมอีกนะ โทมัสพูดต่อว่าปีนี้หน้าหนาวบ้านเขาหนาวมากเป็นประวัติการณ์คือ -20 องศา ทั้งๆที่ปกติอุณภูมิจะอยู่แถวๆ -10 องศาโดยประมาณ
โทมัสบอกต่อว่าอิจฉาประเทศยูเหมือนกันนะ ได้เจอแต่แสงแดดกับบรรยกาศที่อบอุ่นทั้งปี......ผมเลยบอกโทมัสไปว่าถ้าเป็นไปได้ยูอยู่ให้ถึงเดือนเมษา รับรองยูฟินไทยแลนด์จนไม่อยากกลับฟินแลนด์แน่นอน โทมัสยิ้มรับพร้อมกับยืนยันคำเดิมว่าร้อนแค่ไหนก็บ่หยัน
ระหว่างทางไปกินอาหารผมก็ยังคุยกับโทมัสต่อ แผนการหลังจากกลับจากเมืองกาญกับอยุธยาเสร็จแล้วเขาจะล่องใต้ลงภูเก็ตต่อ โทมัสบอกทุกคนในครอบครัวเขาอยากเห็น อยากเล่นทะเล และอยากอาบแดดให้ผิวเป็นน้ำผึ้งแบบคนไทยด้วย ผมบอกโทมัสว่ายูควรไปทางเหนืออย่างเชียงรายด้วยนะที่เที่ยวเยอะมากกกกกก
ผมถามโทมัสว่าฟินแลนด์มีอะไรน่าเที่ยวบ้าง....โทมัสกระอักกระอ่วนกลอกตาคิดอยู่แปปนึงก่อนจะเงียบแล้วบอกว่า ยูไปถามแม่ยูละกัน (แม่ผมเคยไปฟินแลนด์มาแล้ว) เพราะเขาไม่รู้จะแนะนำที่เที่ยวที่ประเทศเขาให้ผมฟังยังไงดี.....จุดนี้ผมตีความหมายว่าบ้านเขาไม่มีอะไรที่มันเป็น Signature แบบบ้านเราที่มีวัดพระแก้ว วัดโพธิ์ ที่พูดปุ๊ปฝรั่งต้องร้อง อ๋อออ ทุกคน
รถบัสเราขับผ่านตลาดสดเมืองกาญ ฉับพลันฝรั่ง 4 คนก็ลุกขึ้นแล้วฮือฮากับสิ่งที่อยู่ข้างทาง ด้วยความสงสัยเลยมองออกไปบ้างว่าเขาฮือฮาอะไร.....คำตอบที่ผมเห็นก็คือ "แผงผลไม้"....ใช่แล้ว แผงผลไม้ตลาดบ้านเราที่แสนจะธรรมด๊า ธรรมดานี่แหละ โทมัสบอกผมว่าเขามาเมืองไทยหนึ่งในจุดหมายหลักก็คือ "ผลไม้" นี่แหละ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "มังคุด"
ตรงนี้แม่อธิบายให้ฟังว่าที่ฟินแลนด์ขายมังคุดโดยคิดราคา "เป็นลูก".....ถูกต้องแล้วครับไอ้ผลไม้ม่วง ๆ ที่บ้านเราขายเป็นกิโลเดินไปห้างไหนตลาดไหนก็เจอ แต่บ้านเขาขายเป็นลูกครับ หนึ่งลูกตก 60-70 บาท แต่บ้านเรา 60-70 บาทได้มาเป็น 10 ลูก แดร๊กกันจนมือม่วงเลยทีเดียว
EDIT : สำหรับท่านที่มาทีหลังผมได้เพิ่มรูปภาพเพิ่มเติมแล้วนะครับ อ่านจนจบแล้วสามารถเลื่อนลงไปรับชมได้ที่หลังความเห็น 52 เป็นต้นไป